ผมอ่านคำสัมภาษณ์ของ ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ในวารสารเล่มหนึ่ง ทำให้ผมนึกย้อนไปถึง เวทีระดมความคิด การพัฒนาชุมชนเพื่อกำหนดอนาคตของมูเสคี ที่บ้านวัดจันทร์ (มูเสคี = คนลุ่มน้ำแจ่ม) ทางออกที่เป็นมิติร่วมกันที่เราคุยกันในเวทีก็คือ "ยุทธศาสตร์การปรับตัว"
ปรับตัวเพื่อเรียนรู้กับเงื่อนไขใหม่ๆแรงกระแทกระลอกใหม่ตลอดเวลา
ปรับตัวเพื่ออยู่รอดในวิถีโลกาภิวัฒน์ที่เชี่ยวกราก
อ่านเพิ่มเติมที่ มันจะมาแล้ว เอาอะไรกั้นไว้ก็ไม่ไหว : แล้วเราจะรับมืออย่างไร?? คำถามท้าทายคนบ้านวัดจันทร์
จะมีประโยชน์อันใด หากเราจะเลือกวิธีเด็ดขาดมันแทบเป็นไปไม่ได้เพราะเราไม่ได้ปิดเมือง เรายังต้องรับรู้ข่าวสาร สังคมที่เป็นไปจากระบบที่เหนือชุมชน
ผมให้ข้อคิดเห็นในเวทีว่า "ในชุมชนเรามีอยู่ ๔ ระบบ และ ๓ ใน ๔ ระบบนั้นเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ อีก ๑ ระบบเรากำหนดไม่ได้ หากเราสามารถเรียนรู้เรื่องของเรา สามารถยกระดับพัฒนาทุนที่เป็นของเราได้เเล้ว เป็นการเตรียมความพร้อม เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี"
ระบบใหญ่ๆที่อยู่ในชุมชนทั้ง ๔ ระบบที่ผมกล่าวไป หมายถึง
ผมมองว่าหากเราเรียนรู้และชัดเจน เราสามารถจัดการได้ (ผมหมายถึงการจัดการความรู้ด้วย)ในต้นทุนที่เรามี ใน ๓ ระบบเเรกแล้วนั้น หมายถึง "เราพร้อม" จากนั้นเราใช้กระบวนการเสริมพลังชุมชน (Empowerment) เพื่อพัฒนาและยกระดับการจัดการโดยชุมชน โดยมี เครื่องมือและกระบวนการที่ผมได้เรียนรู้ในชุมชนอื่น เช่น การวิจัยโดยมีชุมชนเป็นฐาน,การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ และกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
หลังจากที่ผมเปิดเวทีระดมความคิดในกลุ่มแกนนำบ้านวัดจันทร์ในค่ำคืนที่ผ่านมาแล้ว เราได้ข้อสรุปในการนำความคิดที่เราระดมกัน ไปนำเสนอในเวทีใหญ่ ซึ่งเป็นเวทีประชาคมเพื่อพัฒนาโจทย์และเเสวงหาภาคีร่วม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมและพี่เลี้ยงทั้งหมดก็คงต้องคิดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนกับการก้าวไปแต่ละขั้นแต่ละตอน
ผอ.ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ ได้พูดคุยกับผมหลังเวทีระดมความคิด ถึงแนวทางที่เราควรจะก้าวต่อ ท่านได้บอกว่า "ควรจะตีเหล็กในขณะที่กำลังร้อน" ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะในเวทีเห็นอารมณ์ เห็นความคิดที่ช่วยกันคิด นั้นเป็นบรรยากาศของความรู้สึกร่วม จุดประกายอารมณ์ ความรู้สึก แรงบันดาลใจของผู้คน (Bonding and collective learning)อย่างเห็นได้ชัด
"พรุ่งนี้ขอช่วยนำเสนอไอเดีย รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนระดมความคิดนี้ ผ่านไปยังเวทีประชุมหัวหน้าส่วนราชการ ที่เป็นคณะกรรมการพัฒนาโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ด้วยนะครับ"
ผอ.บอกให้ผมในดึกดื่นหลังจากเสร็จเวที ผมตอบรับท่านด้วยความยินดี เพราะตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อความคิด จากเวทีเล็ก ที่รวมแกนนำความคิดเล็กๆสู่ภาคีร่วมที่หลากหลาย ให้เป็น วาระของชุมชน
ในช่วงเช้ามีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ ที่รวมเอาหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่(มหาดไทย เกษตร ศึกษา และ อปท.) เป็นการประชุมประจำเดือนที่จัดขึ้นเป็นประจำของโครงการหลวงที่นี่ ...ส่วนผมเป็นผู้สังเกตการณ์เงียบๆในเวทีประชุม
ในช่วงท้ายการก่อนเลิกการประชุม เป็นช่วงที่ผมมีโอกาสขึ้นไปนำเสนอเรื่องราวการพัฒนาชุมชนโดยใช้การวิจัยท้องถิ่นเข้าไปเป็นเครื่องมือ แต่ผมไม่ได้นำเสนอโดยตรงว่าเราควรทำอะไร? ทำเพื่ออะไร?และเราจะเดินทางสู่เป้าหมายใด?
ผมเริ่มต้นด้วยสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ปาย รวมถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ท่าทีของประชาสังคมต่อการแก้ไขปัญหา เหตุการณ์ทางสังคม (Social Event) สุดท้าย มาถึงประเด็น "ปายถึงคราล่มสลาย" จริงหรือ?
ผมเห็นว่าผู้เข้าร่วมประชุมให้ความสนใจกันมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงของเมืองปายผ่านการนำเสนอให้เห็นภาพพัฒนาการการก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยว จากปี ๒๕๓๓ จนถึงปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่สร้างชื่อเสียงและสุดท้ายก็คือ ปัญหาที่หมักหมมยากเกินที่เยียวยา
จากปายสู่วัดจันทร์...ช่วงกลางๆการนำเสนอภาพและสถานการณ์ทั้งหมด ประเด็นการเดินทางของทุนนิยมที่รุนแรงที่กำลังคืบคลานมาที่บ้านวัดจันทร์ ผมทิ้งประเด็นให้ทุกท่านในที่ประชุมได้ตั้งคำถามถึงอนาคต ทางเลือกที่เราต้องทำ...
"เราควรจะมีการเปิดเวทีประชมคมเพื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน" ท่าน ผอ.โรงเรียนบ้านแจ่มหลวง บอกกับผมในช่วงรับประทานอาหารกลางวัน
หลายท่านได้นั่งหารือถึงเรื่องที่ผมนำเสนอออกไปก่อนช่วงมื้อเที่ยง บ้างก็พูดถึงสิ่งที่ชุมชนทำอยู่ ฐานทุนที่กำลังสะสม รวมไปถึงวิธีการใหม่ๆที่น่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา ที่สำคัญคือ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนแบบบูรณาการ ที่นี่ยังไม่เกิด
การพายเรือต้านแรงน้ำ แรงลม การประสานสอดคล้อง จังหวะจ้วงพายสำคัญที่สุด
ในการขับเคลื่อนเรือน้อยในนที
-------------------
ผมถือว่าผมเสร็จภารกิจในเบื้องต้น ผมนึกถึงบรรยากาศในช่วงเวทีแกนนำชุมชนเมื่อคืน ที่ระดมความคิดอย่างเมามัน จนถึงเวทีคณะกรรมการพัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ เช้าวันนี้ ...ผลลัพธ์ที่ได้คือ การสร้างความรู้สึกร่วม ที่ได้ผล
ผมเตรียมตัวขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน น้องน้ำหวานได้ทักผมว่า "ดูพี่เอกน่าตาครุ่นคิด สงสัยว่ามีการบ้านที่หนักอึ้งในใจแน่ๆเลย" เธอกระเซ้าผมพร้อมหัวเราะเบาๆ
น้ำหวานก็มีส่วนพูดถูกบ้าง เพราะในหัวผมตอนนี้กำลังคิดไปถึงเวทีใหญ่ที่เป็นเวทีประชาคม คิดไปถึงกระบวนการต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับสถานการณ์ที่เราจุดประกายนี้ไว้ โดยไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป ที่ผ่านมาเรามัวแต่หาความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) คงไม่มีอยู่จริง แต่ที่ยั่งยืนที่สุด เราสามารถสร้างให้เกิดได้ก็เห็นแต่การพึ่งตนเองของคนท้องถิ่นเท่านั้นถึงจะอยู่รอดจากระบบเหนือชุมชนที่ครอบงำเราตลอดเวลา
----------------------------------
บทเพลง ทา ของ ชิ สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์
สวัสดีครับ คุณเอก
บุญรักษา ครับ :)
ผมว่า...
การประเมินความแรงและขนาดของกระแสน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ...
เพราะแม้ว่าฝีพายเราจะมีพละกำลังและความสามัคคีกันมากเพียงใด แต่ถ้าขนาดเรือเราเล็กเกินไป ก็ไม่อาจทานกระแสความเชี่ยวกรากของน้ำได้รับ....
เป็นกำลังใจให้คนทำงานและคนในชุมชนให้เข้มแข็งพอที่จะต้านกระแสน้ำได้นะครับ...
ขอบคุณครับ...
คุณเอก เคยได้ยินไหมค่ะ พูดที่ว่าขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่
รถม้าลำปาง ขุนนางเชียงใหม่ ครูใหญ่แม่ฮ่องสอน
ตอนนี้คุรเอก ถ้าจะได้ทั้งสามอย่างครบเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้ ทำงานด้วยความสุข อย่าหวังอะไรมากนะค่ะ
หวังมากทุกข์มาก เสียสุขภาพจิต และอาจทำให้ท่าใบหน้าท่านดูสูงอายุนะค่ะ อิอิ
ขออภัย อิอิ
พิมพ์ผิดเยอะเลย
สวัสดีครับ อ.Wasawat Deemarn
ผมเริ่มต้นด้วยความหนักหน่วงของบันทึกตั้งแต่มันจะมาแล้ว เอาอะไรกั้นไว้ก็ไม่ไหว : แล้วเราจะรับมืออย่างไร?? คำถามท้าทายคนบ้านวัดจันทร์ แล้ว และบันทึกนี้ยังเข้มขึ้นอีกบ้าง ช่างขัดกับบันทึกประชานิยมใน Gotoknow จริงๆ แต่มีเสียงเพลงมาประกอบบ้างเพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่าน
ดีใจครับที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นท่านแรก...
ผมคาดหวังในการเขียนเหมือนกันครับ อยากให้เป็นพื้นที่ที่แลกเปลี่ยน มุมมองการพัฒนาในแต่ละท่านที่มีประสบกาณ์แตกต่างจากผม
กระบวนการที่สำคัญ อาจเป็นเรื่อง การสร้างจุดร่วม โดยใช้อารมณ์ร่วม สร้างบรรยากาศของการคิด การระดมความคิด หากสำเร็จเราก็จะได้รูปแบบการเคลื่อนเริ่มแรก
เราพูดกันในเวทีเช่นกันครับ ว่าอย่าฝากความหวังกับใครๆเลย...เพราะนอกจากไม่ได้ตามหวังแล้ว เรายังสุ่มเสี่ยงถูกหลอกอีก (ผมมองแง่ลบมากไปหรือเปล่า) แต่ก็จริงครับ การทุจริตทางนโยบาย ตามน้ำ หรือ วิธีการใดก็แล้วแต่ที่ผู้มีอำนาจทำย่ำยีประเทศ เราล้วนได้รับผลลัพธ์ถ้วนหน้ากัน
เราต้องสะกดคำว่า "พอเพียง" เสมอๆ ในขณะที่หลายๆคนสวาปามทุนที่เรามีอยู่แบบไม่รู้จักอิ่ม รู้จักพอ
เราต้องพึ่งตัวเองเสมอ เพื่อป้องกันตัวเอง เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต น้ำมันรถแพงกว่าสามสิบบาท น้ำมันพืชก็ปาเข้าไปครึ่งร้อย...เราจะทำยังไงครับ หากเรายังพึ่งพาข้างนอกตลอดเวลา...
เราจะตายครับ
เขียนไปเขียนมารู้สึกจะเข้มข้นไปเรื่อยๆ เอาเป็นว่า ผมขอบคุณท่าน อ. Wasawat Deemarn มากครับ ข้อเสนอแนะแบบจริงใจของท่านทำให้ผมมีความสุขครับที่ได้อ่าน
ขอบคุณครับ
:)
ดิเรกครับ
ขอบคุณมากครับ ผมตามไปอ่านบันทึก "ท่าตอน"แล้ว ดีมากเลยครับ ภาพสวย ได้บรรยากาศ ชวนให้คิดถึงอดีต
ผมเปรียบการพัฒนาบางครั้งก็เหมือนการพายเรือ ซึ่งคนอยู่บนเรือจำเป็นต้องจ้วงพายในจังหวะที่เหมาะสมสอดคล้อง
รวมถึงที่เพื่อนได้เขียนมาด้วยครับ
"...การประเมินความแรงและขนาดของกระแสน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ...
เพราะแม้ว่าฝีพายเราจะมีพละกำลังและความสามัคคีกันมากเพียงใด แต่ถ้าขนาดเรือเราเล็กเกินไป ก็ไม่อาจทานกระแสความเชี่ยวกรากของน้ำได้ครับ...."
ครูเอ
ครับ
แสดงว่า กระผมตกที่นั่งลำบากกระนั้นหรือ?
ไม่เป็นไรครับ สนามรบสร้างวีรบุรุษครับ หากผมตกระกำลำบากวันนี้ วันหน้าผมต้องเป็นผู้ที่สบายๆใช่มั้ยครับ :)
ช่างคิดกันจังครับ อ่านแล้วก็ขำๆนะครับ
"รถม้าลำปาง ขุนนางเชียงใหม่ ครูใหญ่แม่ฮ่องสอน" ล้วนไม่มีใครอยากเป็น
เรื่อง "หน้าแก่"นั้นเห็นท่าจะยาก
ตอนที่ไป ม.แม่ฟ้าหลวง นศ.ต่างชาติท่านหนึ่ง พอทราบอายุผมเธอร้องอุทานจนผมตกใจ เธอบอกว่า "Look so young" อิอิ
แบบนี้พอไหวมั้ยละครับ ;)
มาให้กำลังใจในการทำงาน
เราเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่ง
ถ้าจะให้ดี เราจะต้องช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ให้สำเร็จค่ะ
สวัสดีครับ คุณบัวปริ่มน้ำ
ผมพอทราบมาบ้างกรณีที่ "ดอนหอยหลอด" มีน้องคนหนึ่งเป็นผู้ประสานงาน Node สกว.ตรงนั้นครับ ได้แลกเปลี่ยนกันในบริบทตรงนั้นส่วนหนึ่ง
น่าสนใจมากครับ ผมจะไปหาข้อมูลเพื่อเพิ่มเติมความรู้
ขอบคุณมากครับผม
สวัสดีครับพี่อุบล จ๋วงพานิช
ขอบคุณครับสำหรับกำลังใจนะครับ
ผมเป็นเพียงผู้ที่เข้าไปช่วยในกระบวนการคิดช่วงเริ่มต้นครับ และ จากนั้นเป็นการดำเนินการของคนท้องถิ่นที่นั่น ว่าจะคิดต่อในประเด็นใด ก็ช่วยได้ตามกำลังความสามารถที่มีอยู่ครับ
เป็นเพียงหนึ่ง jigsaw ครับผม...
สวัสดีครับน้องปืน บีเวอร์
ปืนสบายดีนะครับ ผมก็สบายดี งานก็ยังคงสม่ำเสมอ พัฒนาตัวเองเรื่อยๆตามเส้นทางครับ
เรื่องของท้องถิ่นคนกำหนดวิถีต้องคนท้องถิ่นเองครับ
ผมกำลังจะเดินทางไปทำกระบวนการที่โครงการหลวงดอยวาวี หากอยู่ใกล้จะชวนปืนไปด้วย
ขอบคุณมากครับ
การขับเคลื่อนของสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่มีวันหยุดนิ่ง บ้างก็คิดทำลาย บ้างก็คิดบำรุงรักษา เหมือนธรรมชาติเสริมสร้างให้เกิดความสมดุจ แต่รู้สึกว่าธรรมชาติถูกรบกวนเสียจนเกินกว่าจะต้านทานได้ กลับมาทบทวนตัวเราบ้างก็ดีนะ มนุษย์ห่วงโซอาหารเส้นสุดท้าย
ขอบคุณ Dekdoi ที่มาร่วมคารวะจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของ "มูเสคี"
ตะบรึ ครับ พะตี่แอะพอ
เจอกันที่ประชุม สกว.เชียงใหม่ ๑๐.๐๐ น. วันที่ ๒๓ ครับผม
ผมได้อ่านบทความข้างบนแต่ยังอ่านไม่หมดแต่ดีใจที่ยังมีผู้ที่คิดคล้ายกันซึ่งค่อนข้างจะหาคนที่กล้าคิดและแสดงออกอย่างนี้ไม่มากอาจจะติดกระแสสังคมอยู่แต่ก็ไม่เป็นไร ผมมีความไฝ่ฝันที่จะไปที่ดินแดนแห่งนี้มานานพึ่งจะมีโอกาศไปเมื่อ 23-24 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมาประทับใจ สมกับที่มีความตั้งใจอยากจะไป ไปเกือบ 20 คน ผ่านไปเกือบปีเจอกันเมื่อไหร่ก็ยังคุยเรื่องแจ่มหลวงวัดจันทร์อย่างสนุกสนานและประทับใจ
พรสิทธิ์