เมื่อต้องรับลูกต่อ ให้ไปถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและหลักการจัดการความรู้ให้กับสำนักพัฒนาเกษตรกร ซึ่งได้รับมอบหมายก่อนปฏิบัติการจริง 1.30 ชั่วโมง แล้วดิฉันจะทำอย่างไรดีละ?
ฉะนั้น จึงได้เริ่มต้นงานที่ว่า เราลงไปคุยกับเจ้าของงานว่า "เขาต้องการอะไร? ที่เป็นเป้าหมายของการจัดครั้งนี้" หลังจากนั้นก็ทราบวัตถุประสงค์ ซึ่งก่อนที่จะจากกันก็ได้บอกผู้จัดว่า "ช่วยเตรียม กระดาษฟาง บัตรคำ ปากกาเคมี และเทปกาวย่น ให้ด้วยนะ" แล้วค่อยพบกันเวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม
หลังจากนั้น ดิฉันก็มาตัดต่อ Power Point ที่ คุณสำราญ สารบรรณ เตรียมไว้ โดยดิฉันใช้สไลด์ ประมาณ 7 แผ่น ที่ลำดับเรื่องราวตามความคิดของตนเอง โดยจะใช้เนื้อหาดังกล่าวมาสรุปเชื่อมกับการปฏิบัติที่ดิฉันออกแบบไว้โดยใช้เวลา ประมาณ 1.30 ชั่วโมง
เมื่อถึงเวลานัดพบ ดิฉันได้ชวนน้องสร้อย ไปด้วยเพื่อให้น้องเขาได้เรียนรู้และเห็น "การจัดกระบวนการมีส่วนร่วม" ในเหตุการณ์จริง และเป็นลูกมือเราในการปฏิบัติงาน โดยสอนน้องเขาจากการกระทำจริง
การเริ่มต้นกระบวนการดิฉันได้ตั้งคำถามว่า...
"เราในฐานะของบุคลากรที่อยู่ในหน่วยงานแห่งนี้....ลองคิดดูซิว่า...ตกลงแล้ววิชาชีพของ สพก. ต้องมีอะไรบ้าง?" แล้วแจกบัตรคำให้เขียน ซึ่งเมื่อแต่ละคนเขียนเสร็จก็นำมาติดที่บอร์ด แล้วทำการจัดกลุ่มข้อมูลได้ทั้งหมด 8 เรื่อง แล้วก็ถามต่อว่า...
"จากทั้ง 8 เรื่อง ท่านลองประเมินดูซิว่า...ตอนนี้เราทำสิ่งเหล่านี้เป็นอยู่ในระดับไหน?" โดยให้เกณฑ์ 1 - 5 หลังจากนี้แต่ละคนก็ประเมินตนเอง แล้วสรุปว่า นี่คือวิชาชีพขององค์กร และตอนนี้ความรู้ของเราที่มีอยู่นั้น อยู่ในระดับ "ปานกลาง"เป็นส่วนใหญ่ ที่มาจากคนกลุ่มเดียวนะค่ะ หลังจากนั้น ก็ถามต่อว่า...
"ท่านลองย้อนนึกดูซิว่า...ตอนนี้องค์กรเรามีองค์ความรู้อะไรบ้างที่ทำเป็น" แล้วก็ให้ประเมินเช่นเดิมแล้วสรุปได้ว่า มีประมาณ 11 เรื่อง หลังจากนี้ก็ถามต่อว่า...
"จากประสบการณ์ที่ท่านทำงานและสั่งสมมา ท่านลองคิดดูซิว่า...ตกลงแล้วตอนนี้ ท่านมีองค์ความรู้อะไรบ้าง?ที่ท่านทำเป็น และแลกกันกับคนอื่นได้" ซึ่งช่วงนี้ทุกคนจะคิดนานมาก และสนทนาระหว่างกัน และบางคนก็บอกว่า...นึกไม่ออก...ไม่มี ฉะนั้น จึงนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า...1. ความรู้ที่ท่านมีในตัวท่านเองของแต่ละคน ท่านสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกันได้ แล้วถ้านำมารวมกัน ก็จะมหาศาลที่เป็นขององค์กร 2. ถ้าองค์กรหรือท่านจะวางเป้าหมายงานที่ได้รับมอบหมายท่านก็สามารถนำความรู้เหล่านี้มาใช้ได้เลย และมีคนที่ทำเป็นอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้งานบรรลุผลได้ ประมาณ 50 % แล้ว ส่วนที่ขาดหายเราก็ต้องค้นคว้าหรือพัฒนาขึ้นมา
บุคลากรของสำนักพัฒนาเกษตรกร
หลังจากนั้นก็ได้ยกตัวอย่างชิ้นงานขึ้นมา 1 เรื่อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ลองออกแบบดูว่า "ถ้าต้องการทำงานเรื่องนี้ให้บรรลุผลเราต้องใช้ความรู้อะไรบ้าง?...และในแต่ละขั้นตอนงานจะต้องใช้ความรู้อะไรบ้าง?" ซึ่งทำแบบคร่าว ๆ ให้เห็นเค้าโครงเท่านั้น
เราต้องปฏิบัติด้วยตนเองถึงจะเข้าใจ
แล้วก็สรุปว่า...ฉะนั้น ถ้าเราหรือองค์กรไม่มีองค์ความรู้หรือยังไม่ได้ค้นองค์ความรู้ ออกมา ก็จะเป็นที่มาของการตั้ง KV ไม่ได้ หรือ ตั้งได้แต่ไม่ชัดเจน ซึ่งการจัดการความรู้ ที่เรารู้จักกันว่า KM จึงเป็นเครื่องมือการทำงานให้ได้เร็วและไวขึ้น โดยเฉพาะ KM เป็นทางลัดของการทำงานให้ท่านได้ ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร? ก็คงอยู่ที่ท่านละจะปฏิบัติกันเมื่อไหร่?
คอยสะท้อนข้อมูลเพื่อกระตุ้นการคิด
หลังจากนั้น ดิฉันก็ได้ฉายสไลด์ที่เป็นเนื้อหาแต่ละภาพ ๆ ที่เตรียมมา ซึ่งใช้เวลา ประมาณ 5 นาที ในการเติมและสรุปความคิดรวบยอดของเนื้อหากับประสบการณ์ในชั้นเรียนครั้งนี้ เพราะได้เปรียบเทียบและหยิบยกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาประกอบการพูดคุย และสุดท้ายที่ประชุมก็พูดว่า "ทำไม...KM ง่ายแบบนี้...ไม่เห็นยากอย่างที่เขาทำ ๆ กัน"
ฉะนั้น จากคำพูดดังกล่าวทำให้การจัดกระบวนการกลุ่มของดิฉันบรรลุผล เพราะได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า...วันนี้ดิฉันต้องการกระตุ้น ให้กลุ่มบุคคลเป้าหมายเห็น "KM ไม่ใช่เรื่องยาก เห็นแล้วพอเข้าใจ และอยากทำ KM" การทำงานวันนี้ จึงบรรลุผล เพราะเขารู้ว่า จะค้นองค์ความรู้ขององค์กรได้อย่างไร องค์ความรู้ที่เป็นวิชาชีพนั้นจะต้องทำให้เกิดขึ้น และเขาจะก้าวเดินงานจัดการความรู้ได้อย่างไร?จากตัวของเขาเองเป็นผู้กำหนดและปักธง.
ยอดเยี่ยมจริงๆ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในตอนท้าย พอประเมินได้ว่างานนี้ประสบผลสำเร็จ ดูจากผู้ร่วมเวทีและเห็นบอกว่ามีการนัดต่อในครั้งต่อไป
ขอชม...เลยคะ...ว่านี่แหละคือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดการถ่ายวนความรู้...ได้อย่าง...ธรรมชาติและก่อเกิดความรู้หมุนวน...Tacit K. กับ Explicit K.
ขอชื่นชมคะ
*^__^*
กะปุ๋ม
เป็นการเขียนเล่าเรื่องในบล็อกได้น่าอ่านมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ และยินดีด้วยกับรางวัลจาก สคส. นะค่ะ http://gotoknow.org/blog/play/49455