..จริงแล้วงานวันครูโลก 2006 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 5-6 ตุลาคม 2549 ณ อาคาร 9 ศูนย์การประชุม อิมแพค เมืองทองธานี จ๊ะจ๋าได้มีโอกาสเข้าร่วมเพียงช่วงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา ในการประชุมสมัชชาการศึกษานานาชาติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2 ซึ่งในห้องประชุมย่อย 6 หัวข้อเรื่องคือ การศึกษาและฝึกอบรมเพื่อตามทันโลกที่เปลี่ยนแปลง
ช่วงเช้า มีหัวข้อเรื่อง การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้ ซึ่งมี 2 ช่วงย่อย คือ ช่วงแรกนำเสนอความเป็นมาของการนำการจัดการความรู้ใช้เป็นเครื่องมือการทำงานใน “โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้ (Ed-KM)” พร้อมทั้งนำผู้ปฏิบัติมาพูดคุย ผ่านเรื่องเล่า ซึ่งมีการซักถามถึงความเป็นมา การผ่านพ้นอุปสรรคในการดำเนินงานได้อย่างไร ผลที่เกิดขึ้นหลังจากนำ KM เข้าไปใช้ใน สพท. /โรงเรียน และแนวทางการทำงานต่อไปข้างหน้า โดยวิทยากรหลักคือ ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ และ Best practice คือ อ. อนุสรณ์ ฟูเจริญ ผอ. สพท. สุพรรณบุรี เขต 2 และ อ. ปาริชาติ ปรียาโชติ ผอ. โรงเรียนปรียาโชติ
ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ ได้กล่าวแนะนำโครงการ ความเป็นมาของโครงการ และอุปสรรคการดำเนินงานในอดีต ว่าเป็นเพราะวัฒนธรรมองค์กรทางการศึกษาและการไม่เปิดใจ (ใจไม่รับและศรัทธา) และพบว่ากับเครื่องมือที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนวัฒนธรรมในองค์กรและการเปิดใจคือ การจัดการความรู้ และเน้นย้ำว่า การจัดการความรู้เพิ่มภาระงาน แต่ ใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น
อ. อนุสรณ์ ฟูเจริญ ผอ. สพท. สุพรรณบุรี เขต 2 ได้เล่าผ่านเรื่องเล่าถึงที่มาที่ไปของการนำเครื่องมือการจัดการความรู้ไปใช้ใน สพท. สุพรรณบุรี เขต 2 เริ่มจากความสนใจส่วนตัวก่อนเข้าร่วมโครงการฯ ของ ดร. สุวัฒน์ ทำความรู้จักด้วยการศึกษาและอ่านแนวคิด Tacit Knowledge และ Explicit Knowledge ผ่านการสืบค้นจากอินเทอร์เนต ประจวบเหมาะกับมีโครงการของ ดร. สุวัฒน์ จึงสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ทันที ขณะนี้อยู่ในช่วงปฏิบัติและปรับใช้ และพบรูปแบบที่เหมาะสมกับ สพท. สุพรรณบุรี เขต 2 ซึ่งมี 3 ประเด็นคือ
1. ใช้ KM เป็นเครื่องมือควบคู่ PAR&D (Participatory Action Research & Development - การวิจัยพัฒนาแบบมีส่วนร่วม) เสริมสร้างพลังขับเคลื่อน กลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา
2. ใช้ KM ควบคู่ PAR&D สร้างความรู้จริงในการพัฒนา
3. ใช้ KM เป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานและได้ยกกรณีตัวอย่าง วิธีการนำ KM ไปใช้ในบริบทของตน โดยเริ่มจากมองไปที่วิสัยทัศน์ขององค์กร มองกลยุทธ์ ปรับรูปแบบและวิธีการพัฒนา ควบคู่กับการวิจัยและพัฒนา และใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดึงความฝังลึกของคนหน้างานจัดเก็บเป็นคลังความรู้ ทั้งในรูปเอกสารและเว็บไซต์ (Mangmoom & Blog)
หลังจากนั้น อ. ปาริชาติ ปรียาโชติ ผอ. โรงเรียนปรียาโชติ เล่าว่า เป็นโอกาสที่ดีที่โรงเรียนตนเข้าร่วมโครงการฯ ดร.สุวัฒน์ และคิดว่าเป็นการเปิดรับสิ่งใหม่ โดยยึดถือว่า ไม่มีผิดไม่มีถูกทางความคิด และเมื่อได้รับการฝึกอบรมจากทีมโครงการฯ ก็นำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูในโรงเรียนปรียาโชติ และหันมามองดูถึงงานของตนสามารถที่จะสวมใส่กับเครื่องมือที่ได้รับการฝึกอบรม (ทุนของโรงเรียน) และพบว่า จะเริ่มที่งาน “การศึกษาพิเศษ” ซึ่งอยู่ในวิสัยทัศน์ขอโรงเรียน ทดลองผ่านเรื่องเล่า สกัดขุมความรู้ แก่นความรู้ และคัดกรองสำดับความสำคัญ และได้มีโอกาสนำเสนอนวัตกรรมของเขต จ. นครสวรรค์ โดยนำเรื่องเล่าจัดทำในรูป E-book และขณะนี้ได้จัดทำในรูป E-book 9 เรื่องแล้ว ได้แก่ การศึกษาพิเศษการอยู่ร่วมกัน ปั้นดาวก้าวเคียงเรือน การดูแลคุณภาพชีวิตนักเรียนที่ดี เป็นต้น
สิ่งที่ ผอ.ปาริชาติ ได้เรียนรู้คือ KM คือเครื่องมือที่ให้ตนได้เรียนรู้จุดเด่น จุดแข็งที่ภาคภูมิใจ ได้เรียนรู้แนวทางและจัดทำแผนพัฒนาของโรงเรียนได้ รวมทั้ง ได้สร้างคุณค่าของคนเกิดขึ้นมากมาย จากการฟังเรื่องเล่าของครูในโรงเรียน และตนมีโอกาสในการรับรู้คุณค่าของครูเพิ่มขึ้นมากและสามารถบอกต่อได้ และเน้นย้ำว่า ได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของคนว่ามีค่ามากแค่ไหน และทำให้ตนหันกลับไปมองที่ก้นบึ้งจิตใจของคน
เมื่อจบการสนทนาแล้วก็ถึงช่วงซักถาม มีคำถามที่น่าสนใจคือ ในการนำ KM เป็นเครื่องมือการทำงาน จะผสมผสานงานเก่าและงานใหม่ได้อย่างไร การขอคำแนะนำในการใช้ KM พัฒนาให้องค์กรทางการศึกษาสู่มุ่งหมายให้สำนึก และทำอย่างไรให้คนตระหนักรู้
มุมมองของผอ. อนุสรณ์ได้ให้คำตอบในบริบทของตนว่า “ทำอย่างไรให้ KM เนียนอยู่ในเนื้องาน จะไม่เริ่มจากการบรรยาย แต่เริ่มจากการนำกิจกรรมสำคัญในการความรู้ดึงความรู้ฝังลึก ตนได้เริ่มนำ KM เข้าไปในกระบวนการทำงานของตนเองก่อน โดยทีมงานสพท. เช่น นำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เข้าไปการประชุมผู้บริหาร 159 โรงเรียน ของ สพท. สุพรรณบุรี 2 เปลี่ยนจากการประชุมเดิมๆ เป็นการใช้กิจกรรมดึงเอาความรู้ฝังลึก ประสบการณ์ของแต่ละโรงเรียนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เช่นหัวข้อ เรื่องระบบการช่วยเหลือนักเรียน ไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมรู้ตัว ความรู้ฝังลึกก็เริ่มเผยออกมา และจะทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระเพิ่ม ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นงานของเราเอง ”
มุมมองของผอ.ปาริชาติ “ไม่ได้มองว่า KM เป็นเรื่องใหม่ โดยเปรียบเทียบว่า KM คือการทานข้าวที่เหมาะสมกับสถานการณ์ไหน เช่น การกินข้าวนอกบ้าน หรือในบ้าน จะใช้ภาชนะแบบไหนที่เหมาะสม และให้ดึงผสมผสานระหว่างกัน ทุกคนต้องเข้าใจธรรมชาติ และคิดว่าการทำความรู้สึกร่วมกันและการเห็นถึงความสำคัญร่วมกัน ความรู้จะพรั่งพรูออกมาโดยไม่ต้องถามกันมากมาย”
มุมมองของดร. สุวัฒน์ “การจัดการความรู้เป็นกระบวนการ ของการดึงเอาความรู้ฝังลึกของแต่ละคนในองค์กรมาพัฒนาวิธีการทำงาน การจัดการเรียนการสอน แต่เราให้ความสำคัญของคนทำงาน เมื่อองค์กรให้เห็นความสำคัญกับคนทำงาน คนเหล่านั้นก็เกิดความภาคภูมิใจ มีความสุขในการทำงาน การจัดการความรู้จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดการเรียนรู้บ่อยๆ วิเคราะห์บ่อยๆ จะก่อให้เกิดจิตสำนึก ตระหนักรู้ Knowledge Management จะก่อให้เกิด Learning Management”
สิ่งที่จ๊ะจ๋าได้เรียนรู้วันนี้คือ ขุมทรัพย์มากมาย แหละนี่คือ ประกายไฟหนึ่งที่แวดวงการศึกษาต้องการผลักดันให้เกิดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันและลึกลงไปในการทำงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้จนถึงการตระหนักรู้ ถึงจะใช้เวลามากเท่าไหร่ แต่การเรียนรู้ไม่เคยหยุดนิ่ง ถ้าเราใฝ่รู้ทุกอย่าง และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้า องค์กรก็จะเกิดการเรียนรู้ทั่วทั้งองค์กร จนอาจเรียกว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้
สามารถคลิกเข้าไปอ่านความเป็นมาของโครงการดร. สุวัฒน์ได้ที่ Link