19.
เมื่อ อ. 20 พ.ย. 2550 @ 16:32
วิถีของผม ยิ่งทำยิ่งชัด การได้พบเครือข่ายเป็นการสร้างพลังให้ผมยิ่งขึ้นทวีคูณ
http://gotoknow.org/blog/thawesin/142220
และทางสายนี้ทำให้เราเห็นความมุ่งมั่นที่จะทำให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะสังคมในองค์กร และนอกองค์กร จนผมไม่แยกแยะมันแล้ว
ผมพยายามขยายเผ่าพันธุ์ทั้งในองค์กรและนอกองค์กรเช่นกัน
อ่านแล้วก็ปิติเป็นอย่างยิ่งที่คนคนหนึ่งเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา ในสมัย 14 ตุลาเราเรียกภาวะแบบนี้ว่า "การเกิดใหม่" คือเกิดทางสติปัญญา ครับ
ตอนนี้พยายามพัฒนาตนให้พร้อม เรียนรู้ให้มาก เชื่อว่าเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีสำหรับตนเอง และแบ่งปันให้กับคนอื่นด้วย เพื่อก่อให้เกิดทั้งเป็น การหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต และ เพิ่มพูนทักษะ แผ่กระจายสู่ผู้คนรอบข้าง
การพัฒนาสังคมเล็กหรือใหญ่ ต้องเกิดความรู้สึกดังกล่าว เพราะเราดันสังคมเพียงคนเดียวทำไม่ได้ ต้องคนรอบข้างและกว้างออกไป นั่นคือการสร้างคน ต้องสร้างคน
"คนแซ่เฮ" เรามีความเชื่อในความไม่เป็นทางการ สบายๆ สนุกสนาน เคารพในความหลากหลาย แต่เปี่ยมไปด้วยพลังกายพลังใจ ในการขับเคลื่อน ก่อให้เกิดปัญญา และสร้างสรรสิ่งที่ดีสู่สังคม
เราเห็นสังคมในระบบมาแล้ว และมีข้อสรุปมากมายถึงข้อจำกัดการพัฒนาคนภายใต้ระบบ ซึ่งเรามิอาจหลุดออกมาได้ตราบใดที่ยังสังกัดองค์กร เมื่อ คนแซ่เฮเกิดขึ้น กลายเป็นแบบให้ขบคิดต่อไปอย่างน้องคนดอยกล่าว
ความมุ่งมั่นของพวกเราถึงยังเป็นส่วนน้อย แต่มันแรง ชัด ไม่แพ้GSM และภูมิคุ้มกันที่มีกัน สร้างความเปลี่ยนแปลงได้แน่
ผมมีความเชื่อในความมุ่งมั่น ตั้งใจ พลังความรักและศรัทธา มันจะก่อให้ปัญญา แล้วจะพร้อมรับสิ่งที่ถาโถมเข้ามาได้
การเปลี่ยนแปลงต้องมีจุดเริ่ม แรงผลักและความต่อเนื่องภายใต้ เป้าหมายเชิงบวก จุดเริ่มคือ การมาพบปะแลกเปลี่ยนกัน แรงผลักคือ ความรักความศรัทธา ความต่อเนื่องคือกิจกรรมต่างๆที่ก่อประโยชน์ต่อสังคมและตนเอง
ดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรม แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม ส่วนใหญ่เป็นการลงทุน ต้องอาศัยการบ่มเพาะ ดูเหมือนช้า แต่ยั่งยืน มันต้องพิสูจน์โดยปัญญาปฏิบัติ ทำถึงจะรู้
การที่เรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมและพยายามเข้าใกล้สิ่งนั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ถึง การพัฒนาจิตลงสู่ภาวะอันแท้จริงของสรรพสิ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกันและกัน ส่วนใหญ่แตะเพียงรูปธรรม แต่ไม่เห็นนามธรรม เมื่อเราสัมผัสนามธรรม เมื่อนั้นจิตของเราพัฒนาสู่การหยั่งรู้ครับ