เมื่อผู้หญิงคนหนึ่ง เลิกดูทีวีหนึ่งสัปดาห์: อิสระภาพทางเลือก


บางทีอาจจะงดดูทีวีต่อไปอีกสักพัก...และอาจพบว่ามีทางเลือกหลากหลายที่จะปลดพันธนาการเงื่อนไขที่เอาตัวไปผูกเองนั้นได้

         นึกย้อนไปเมื่ออายุ 7 ขวบ ..การดูทีวีสำหรับเด็กบ้านนอกที่ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก...ก็คือการไปรวมตัวกันที่บ้านของท่านปลัดอำเภอ หลังจากกินข้าวมื้อเย็นเสร็จแล้ว..และก็เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ..เพราะเวลากลางวันคือเวลาที่ต้องช่วยทำงาน และกลางคืนวันอื่นๆ ก็นอนดึกไม่ได้จะต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ประกอบกับระบบไฟฟ้าในหมู่บ้านจะมีให้ใช้ตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงห้าทุ่มด้วย

      ทีวีจึงเป็นอุปกรณ์ที่น่าใฝ่ฝัน และการดูทีวีคือช่วงเวลาที่เฝ้ารอคอย เพื่อจะได้ดูการ์ตูน ดูหนัง ตามที่ท่านปลัดและภรรยาจะเปิดให้ลูกของท่านดู เมื่อถึงเวลาปิดทีวี เด็กๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

     อาปาและแม่ซื้อทีวีเครื่องแรกและเครื่องเดียวเป็นเครื่องใหญ่หนัก ที่ซื้อมาตอนหลังเมื่อท่านปลัดมีปัญหาในที่ทำงานและต้องคดี ขณะเดียวกันกับระบบไฟฟ้าในหมู่บ้านที่เริ่มมีให้ใช้ทั้งวันทั้งคืนทำให้หลายๆครอบครัวซื้อหาทีวีเป็นสมบัติส่วนตัว ทำให้การไปตระเวณดูทีวีบ้านของคนอื่นกลายเป็นเรื่องแปลกไปซะแล้ว

     แต่พฤติกรรมการดูทีวีในวัยเด็กก็ยังต่อเนื่องจนถึงชั้นมัธยม ตรงที่จะเปิดดูเฉพาะตอนเย็นหลังอาหารแล้ว และดูรวมกันทั้งครอบครัว ตามช่องทีวีที่อาปาและแม่เลือกให้ดู

     ทีวีเครื่องแรกที่เป็นสมบัติส่วนตัวซื้อก็เมื่อทำงานได้หลายปีแล้วเพื่อใช้ดูที่หอพัก จำได้ว่าเป็นยี่ห้อโซนี่ระบบสองภาษา แต่ก็ได้ดูบ้างไม่ได้ดูบ้าง เพราะทีวีถ่ายทอดรายการถึงเที่ยงคืนและไม่มีภาคกลางวัน การเป็นพยาบาลที่อยู่เวรกลางคืนบ่อยกว่ากลางวันจึงสวนทางกับเวลาของการถ่ายทอด

     แล้วก็ยกทีวีเครื่องนี้กลับบ้านไปให้อาปาและแม่ใช้แทนเครื่องเก่าที่เสียไปตามกาลเวลา จากนั้นก็ซื้ออีกเครื่องไว้ดูในห้องทำงานที่บ้านและก็ยกให้อาปาไปอีก

      เครื่องที่ใช้ปัจจุบัน เปลี่ยนยี่ห้อเป็นซันโย เพราะแรงโฆษณาการลดแลกแจกแถมในตอนนั้น ที่ซื้อก็เพราะเกิดเหตุ 11 กันยายน เครื่องบินพุ่งชนตึกในสหรัฐอเมริกา และต้องการติดตามดูข่าว

     จากข่าวหนึ่งสู่ข่าวหนึ่ง กลายเป็นว่าทุกเช้าเมื่อเดิมตื่นนอนแล้วรำไท้จี๋ชี่กง ก็เปลี่ยนเป็นปั่นจักรยานหน้าทีวี ดูทีวีไปปั่นจักรยานไป หยุดปั่นจักรยานแล้วก็ยังเปิดทีวีเอาเสียงบ้าง โดยเฉพาะวันหยุด เบื่อช่องหนึ่งไปช่องหนึ่ง ยิ่งทีวีออกอากาศทั้งวันทั้งคืน รีโมทจึงทำงานเต็มที่

ทีวีกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องมี และได้รู้เห็นอะไรหลายๆอย่าง แต่ก็แถมมากับความหงุดหงิดเวลาที่พิธีกรหยิบเอาข่าวมาวิพากษ์วิจารณ์ตอนเช้าๆ จนทำให้อยากไปหารายละเอียดเพิ่มตามเนต ตามหนังสือพิมพ์ ในวันทำงานตอนกลางวันกินข้าวกับเพื่อนร่วมงานก็เปิดทีวีดูข่าวภาคเที่ยง ดูแล้วก็ออกความเห็นกันไปต่างๆนานา บางทีก็ขัดกันเถียงกัน ก็เรื่องข่าวเดิมๆ ที่ซ้ำจากตอนเช้า 

   เย็นๆ เพื่อนๆ ที่เคยกินข้าวคุยกันก็เปลี่ยนไป ทุกคนเร่งกลับไปดูละคร นัดกันยากขึ้นๆ และกลายเป็นเลิกนัดมีอะไรก็โทรศัพท์คุยกัน หรืออีเมล์ให้กันแทนทั้งๆที่อยู่จังหวัดเดียวกัน

เมื่อข่าวเดิมๆ เริ่มซ้ำซาก ก็หันไปติดตั้งเคเบิ้ลทีวีด้วยเหตุผลว่าเอาไว้ดูข่าวต่างประเทศ และดูหนัง

  ดูเหมือนอิสระมากขึ้นแต่เหงาง่ายขึ้น..

เคเบิ้ลทีวีก็ไม่ได้ต่างจากทีวีในประเทศเลย ข่าวก็ซ้ำไปมา หนังก็วนเวียน จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมถึงรับแต่ข้อมูลซ้ำซากอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน  หนำซ้ำยังปล่อยเวลาอันมีค่าอยู่กับข้อมูลเดิมๆ เรื่องเดิมๆ นานๆจะได้ดูสารคดีหรือรายการดีๆ แต่ก็ทำให้ต้องนอนดึกไปเรื่อยๆ ทำราวกับว่ารายการดีๆ เหมาะสำหรับคนนอนดึกไปเสียอย่างนั้น

 แล้วก็ตัดสินใจเลิกดูทีวีสักหนึ่งอาทิตย์ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ที่ตรงกับคำเชิญชวนร่วมสัปดาห์งดดูทีวีพอดิบพอดี

หนึ่งสัปดาห์ที่ไม่ได้ดูหน้าตาพิธีกร ไม่ได้ฟังเสียงผ่านจอสี่เหลี่ยม ไม่ได้ดูละคร ...ไม่ได้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงจนเห็นชัดเพราะยังคงใช้อินเตอร์เนต ยังคงฟังวิทยุ ยังคงอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ และยังคงฟังการสนทนาวิพากษ์วิจารณ์ข่าวจากผู้ร่วมงาน

แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือใจนิ่งขึ้นบ้าง มีทางเลือกในการได้เลือกอ่านข่าวและหนังสือเจาะเรื่องที่ต้องการมากขึ้น และไม่ติดกับดักเวลาที่ถูกกำหนดโดยรายการทีวี

ต่อไป....คิดว่าอาจจะงดดูทีวีต่อไปอีกสักพัก...และคาดว่าอาจจะพบว่ามีอีกหลายทางเลือกที่จะปลดพันธนาการเงื่อนไขที่เอาตัวไปผูกเองนั้นและน่าจะเป็นทางเลือกที่เป็นอิสระตามวิถีของตนเองได้มากขึ้น และนำไปสู่เส้นทางความเพียงพอของชีวิตได้เหมาะสมมากขึ้น

คุณๆ ละคะ ...ทีวีกับวิถีชีวิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

  

หมายเลขบันทึก: 93170เขียนเมื่อ 29 เมษายน 2007 10:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 22:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

สวัสดีค่ะ คุณจันทรรัตน์ เจริญสันติ  

ดิฉันก็เลิกให้ทีวีมากำกับเวลาดูของดิฉันนานแล้วค่ะ แต่ก่อนจะดูเยอะมาก เปิดตลอด เดี๋ยวนี้อาจเปิดเหมือนกัน แต่ปิดเสียงหรือหรี่เสียงมากๆ ค่ะ ไม่ค่อยได้ตั้งใจดูอะไรเป็นพิเศษ

เพราะทุกอย่างที่ทีวีไทยนำเสนอ มักจะเป็นรายการประเภทเดียวกัน ซ้ำๆ เช่น ข่าว ข่าว ข่าว บันเทิง บันเทิง บันเทิง รูปแบบไม่ต่างกันมากนักค่ะ

ส่วนใหญ่แล้วเมื่อไหร่ว่างอาจเปิดทีวี หรือเมื่ออยากติดตามข่าวบางข่าวเท่านั้นค่ะ แต่ต้องบอกว่าตอนนี้ได้อะไรดีๆ จาก G2K มากกว่าในทีวีเยอะเลยค่ะ

สวัสดีค่ะ ดร.กมลวัลย์

ขอบคุณค่ะ ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อาจารย์ผ่านช่วงเวลาตัดสินใจจากที่ดูเยอะมาเป็นอย่างปัจจุบัน มานานหรือยังคะ ....

  • ผมเด็กบ้านนอก สมัยยั้นยังไม่มีทีวี ที่บ้านซื้อวิทยุมาเครื่องแรก
  • พอไปอยู่กรุงเทพทีวีออกอากาศ นั่งหน้าจอทั้งวัน สมัยนั้นขาว-ดำ มีไม่กี่ช่อง แต่ก็ตื่นตาตื่นใจมาก
  • เป็นรอยต่อระหว่างหนังขายยา ที่ปีหนึ่งๆจะมีมาฉายในหมู่บ้านไม่เกิน 3 ครั้ง
  • เห็นรถมาดีใจวิ่งตามไม่คำนึงถึงฝุ่นใดๆ ข้าวเย็นก็ไม่กิน มันตื่นเต้น
  • ทุกวันนี้มีทีวีหลายเครื่อง มีทุกระบบ แต่ไม่ค่อยได้ดู ข่าวถ้าเด็กๆไม่เปิดก็ไม่ได้ดู
  • ตามข่าวทางหนังสือพิมพ์
  • เวลาที่วีถ่ายทำเรื่องที่นี่ไปออก ก็ไม่รู้เรื่อง แป๊ดโทรมาบอก เอ้อเร้อ!! บางรายการรู้ภาษาก็จะส่งสำเนาเทปมาให้ บางแห่งทะลึ่งจะให้เราซื้ออีก ลูกอีช่างงก มาถ่ายฟรีเลี้ยงข่าว มันยังใจดำขนาดนี้
  • สรุป เรื่องทีวี ผมคล้ายๆกับอาจารย์ เอาไว้มีข่าวถล่มตึก ค่อยกลับไปดู อิอิๆ

สวัสดีค่ะอาจารย์

หนิงเป็นคนที่เข้าห้องปุ๊บ เปิดปั๊บค่ะ  เรียงๆกัน  แอร์ ทีวี ตู้เย็น  555  อันหลังนี่  ดื่มน้ำค่ะ  ดื่มน้ำจริงๆ  อิอิ

จะว่าติดทีวีไหม  ไม่หรอกค่ะ  เปิดแค่เป็นเพื่อนค่ะ  ให้มีเสียงบ้างเพราะอยู่คนเดียว  ส่วนช่องไหนก็ช่องนั้นไม่ค่อยได้เปลี่ยนช่องด้วยซ้ำไปค่ะ 

แต่ถ้าถามว่าติดอะไร ตอนนี้ก็ติด G2K ค่ะ  ต้องเข้ามาอ่านทุกวันค่ะ

  • ฮ้า ฮ้า..ตรงใจกันเลย พี่ก็หยุดดู เป็นพักๆ มันเสียสมาธิมาก
  • มีคนเคยกล่าวว่า TV คือ Foolish box พี่ก็ว่าจริง  แต่ประโยชน์ก็มี เราใช้ให้ตรงประสงค์ก็แล้วกัน
  • แต่พี่ว่าปิดเสียบ้างก็ดี ส่วนตัวพี่ที่พักที่มุกดาหาร จะเปิดเฉพาะรายการที่ต้องการเท่านั้น หรือไม่ก็เหมือนอาจารย์ กมลวัลย์ คือเปิดแต่ไม่เปิดเสียง แค่มีเพื่อนอยู่เท่านั้น  แต่ส่วนใหญ่ปิด แล้วทุ่มสมาธิไปที่งานของเราครับ
  • อันนี้ไม่เกี่ยวกับสัปดาห์ปิด TV นะ ส่วนตัวครับ
  • ดี ครับ เตือนสติดี

ผมเห็นหลายคนใช้เวลาในวันหยุด หมดไปกับการดูทีวีทั้งวัน การหยุดดูทีวีบ้าง อาจทำให้เรามีเวลาในการทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่าก็ได้ครับ...

ขอบคุณมากครับ...

ดิฉั้นเป็นคนไม่ดูทีวีมาแต่ไหนแต่ไร...มากกว่า 20 ปี ไม่ดูคือไม่สนใจดู...เพราะการดูทีวี มันเอาเวลาเราไปหมดเลย....ทำอย่างอื่นไม่ได้...แต่ถ้าจะให้ดูก็ไม่เป็นไร...มักจะเดินหนี...เวลาคนที่บ้านเปิดทีวีไปอยู่ที่อื่นที่ไม่มีทีวีรบกวน....ทีวีจะเป็นทางเลือกสุดท้าย หากไม่มีอะไรทำ....ถ้าพ่อบ้านไม่อยู่บ้านลูกๆ ก็จะอดดูทีวีไปด้วยค่ะ เพราะแม่ไม่ชอบ...จะชวนทำอย่างอื่นแทน...
       3 ปีที่ผ่านมา มีเพื่อนชายโทรมาบอกว่า...ฉันเลิกกับเพื่อนเธอ(เพื่อนหญิง)แล้ว..จึงถามไปว่า อ้าว!..."ทำไม"....หล่อนติดทีวีมากจนเรารำคาญ..วันๆ ไม่ทำอะไรดูแต่ทีวี...เชื่อมั๊ยคะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาบอก...
       ทุกวันนี้ ก็ยังไม่ดูจะดูบ้าง เวลามีดาราที่โปรดแสดง...แต่ทนดูไปได้ไม่เท่าไร...ก็ทนเนื้อเรื่องไม่ได้ก็เลิกดู...
วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เป็นความสุขและการเรียนรู้ที่เรียบง่ายจริงๆ เลยครับ

สวัสดีค่ะ คุณจันทรรัตน์ เจริญสันติ  

ดิฉันเลิกดูจริงๆ จังๆ น่าจะประมาณ ๑๐ ปีแล้วค่ะ

ตอนเด็กๆ ก็ดูละคร ดูโน่นดูนี่แล้วแต่แม่จะเปิดค่ะ แต่ไม่ได้ดูอะไรมากมาย เพราะรายการก็ไม่ได้มากมายเหมือนตอนนี้ที่เปิด ๒๔ ชั่วโมง พอเข้ามหาวิทยาลัย ไปอยู่หอ ก็อดดูแล้วค่ะ เพราะที่หอไม่มีทีวีค่ะ

แต่ตอนอยู่เมืองนอกจะดูตลอด เพราะตอนเรียนจะไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากดูทีวี ดูหนังทุกอาทิตย์ค่ะ

เช้าตื่นขึ้นมาเปิด CNN ดูตั้งแต่ฟังข่าวไม่รู้เรื่อง ต้องอ่าน caption ที่เขาทำสำหรับคนหูหนวกประกอบ จนตอนหลังไม่ต้องดูจอก็ฟังรู้เรื่อง อันนี้ยอมรับว่าได้ประโยชน์มาก เพราะทำให้เราได้ทั้งศัพท์และภาษา การฟัง การเขียน การออกเสียงหมดเลยค่ะ

กลับมาจาก U ก็จะเปิดทีวี คราวนี้จะดูแต่ sit com (situation comedy) พวกละครตลกที่เป็นตอนๆ ต่อเนื่อง ตอนนั้นมีเรื่องดังๆ อยู่หลายๆ เรื่อง ยอมรับว่าติดเลยค่ะ อันนี้เป็น entertainment เพียวๆ เลยค่ะ บางทีก็ดู drama เรื่องแพทย์อย่าง ER หรือ พวก law&order ประมาณนี้ค่ะ

พอกลับมาเมืองไทย คราวนี้มาเจอรายการแบบไทยๆ ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เลิกดู เพราะละครค่อนข้างจะ............ ไม่มีเหตุผลน่ะค่ะ ไม่ค่อยจรรโลง แล้วก็รายการเกมโชว์เยอะ ตลกเยอะ แต่ไม่รู้สึกจรรโลง ก็เลยเลิกดู น่าจะเป็นช่วงนั้นแหละค่ะ ที่เลิกดูจริงๆ ไม่ติดรายการอะไรเลย ไม่รู้จัก ดารา นักร้อง อะไรเลยค่ะ

เล่าเสียยาวเลย แต่ดีที่รู้สึกว่าได้ทบทวนสาเหตุที่ตัวเองเลิกดูทีวีจริงๆ จังๆค่ะ ขอบคุณนะคะ

ผมอีกคนที่ภูมิใจว่าไม่ได้ดูทีวีเป็นหลักมาประมาณ 3 ปีแล้ว  เพราะทีวีมันเสีย ก็เลยไม่ได้ซื้อใหม่ เหตุผลก็คือผมต้องการมีเวลาอ่านหนังสือเรียนต่อ  เวลามีบอลคู่สำคัญเลยต้องอาศัยอยู่ดูที่ที่ทำงาน  แต่ปกติฟังวิทยุแทนถ้าเป็นข่าวตอนเช้าหรือเย็น  

             มีหลายคนเคยพูดไว้แล้วว่าถ้าคุณอยากจะพัฒนาการคิดหรือสมองของคุณต่อไปก็จงปิดโทรทัศน์เสียโดยเร็ว   ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง    แต่ก่อนก็เคยเห็นครอบครัวชาวต่างชาติครอบครัวหนึ่งที่อาสาพัฒนาพื้นที่ดอยสูงทางเหนือ(ก็รู้จากรายการทีวีแหล่ะครับ บางทีก็มีรายการที่ดีเหมือนกัน) ครอบครัวนี้บอกว่าไม่ได้ดูทีวีเลย  ตอนแรกผมก็แปลกและคิดว่ามันคงจะมีอะไรขาดไปเป็นแน่หากชีวิตไม่ได้ดูทีวี   แต่ผมก็ลองมาแล้วและ   ก็ไม่รู้สึกว่าขาดสิ่งใดไปในชีวิตแม้ซักอย่าง  

            และผมได้อะไรกลับมาด้วยซ้ำ   อิสรภาพทางความคิด   และไม่มีใครที่ชี้นำผมอยู่  นี่ก็ใช่ที่ได้คืนมา

ดีใจค่ะ ที่ได้แนวร่วมผู้มีประสบการณ์มาก่อนทุกๆท่านค่ะ

ครูบา สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ คะ ..."เอาไว้มีข่าวถล่มตึก ค่อยกลับไปดู"....โอ๊ะโอ๋....แบบนี้อาจจะต้องเลิกดูทีวีไปอีกหลายๆปี หรอืเปล่าคะ...(เอ...หรือว่า จะได้ดูเร็วขึ้น????...แฮ่ม)

 

คุณน้อง DSS "work with disability" ( หนิง ) ...ดื่มแต่น้ำแน่นะคะ...เห็นเน้น "น้ำจริงๆ" เลยสงสัย สงสัยค่ะ

 

พี่บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา) ...ตอนนี้นั่งทำงานเงียบ..เงียบ(ทำเสียงอย่างไงดีให้เงี๊ยบเงียบ) ...จนคนอื่นนึกว่า หลับในที่ทำงาน..(แฮ่ๆ) แต่ก็คงจะสักพักค่ะ เอาให้แบบลูกตุ้มแกว่งหาจุดสมดุล..ถึงตอนนั้นอาจเปิดทีวีบ้างและไม่ให้มันมาเป็นนายของเวลาแล้วล่ะค่ะ (แน่ๆ)

 

คุณMr.Direct คะ ขอบคุณเช่นกันค่ะ ..ที่หอพักที่อยู่สำหรับคนไม่ได้ไปไหน..ส่วนมากเป็นอย่างนั้นจนดูเป็นปกติค่ะ...เสียงทีวีจะเล็ดรอดออกจากเกือบทุกห้อง...

 

คุณ เมตตา คะ...สงสารคุณผู้หญิงคนนั้นจังค่ะ....ถ้าเธอรู้ตัวว่าเสียแฟนเพราะไม่ทำอะไรมัวแต่ดูทีวี..คงเศร้ามากเลย.....เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนติดทีวีเน๊อะ...

 

อาจารย์ วิรัตน์ คำศรีจันทร์ คะ ขอบคุณค่ะที่แวะมาเยือน...ความสุขอยู่รอบๆ วนเวียนแต่บางที(บ่อยๆ)ก็มักจะลืมมองหาและมองเห็นค่ะ....เป็นผู้หญิงชาวมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ที่พยายามหาจุดลงตัวของความเรียบง่ายให้ตัวเองค่ะ...

 

ขอบคุณค่ะ ดร.กมลวัลย์ ..อ่านแล้วเกิดความเปรียบเทียบว่า ทีวีเมืองนอกกับเมืองไทย มีความต่างกันแน่ๆ ถึงทำให้อาจารย์เกิดการเปลี่ยนแปลงได้....ถ้าทีวีเมืองไทยสามารถให้การเพิ่มพูนความรู้ความสามารถตามความต้องการที่หลากหลายของผู้ชม...ทีวีไทยจะน่าสนใจขึ้นบ้างไหมคะ....

 

คุณ mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง คะ

ชอบตรงนี้ค่ะ"อิสรภาพทางความคิด   และไม่มีใครที่ชี้นำผมอยู่"...รู้สึกคล้ายๆนี้เลยค่ะ....ขอบคุณค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นานาจิตตัง  TV กับรายการ TV มันก็อยู่ของมันดีๆ  สำคัญที่คน  จะดูไม่ดู  จะดูช่องไหนรายการไหน  หรือจะท่องเน็ตก็ตามใจ

มาชวนอาจารย์ไปอ่าน ทำ ทั้งๆที่รู้ ครับ

ขอบคุณค่ะ คุณหมอ คนชอบวิ่ง  นานาจิตที่มีสะตังค์บ้างไม่มีบ้าง...อย่างนั้นเอง..(ปลงๆ)

เดี๋ยวเดิน(ข้ามบล็อก)ตามไปอ่านค่ะ

สวัสดีค่ะ

ดิฉันไม่ได้ดูทีวีมานานมากแล้วค่ะ ยกเว้นข่าวน่าสนใจ เวลาทานข้าว จะเปิด นอกนั้นก็ไม่ได้ดูค่ะ

ตอนเรียนอยู่เมืองนอกนานแล้ว ติด All My Children-Soap Opera และพวกกีฬา ดูตั้งแต่ล่ายยัน 3 ทุ่มเลย

ตอนนี้ ไม่ค่อยดูอะไรมานาน ก็สบายดีค่ะ

ขอบคุณค่ะ คุณ sasinanda

ตอนนี้ดิฉันก็ดูทีวีบางคราวแล้วค่ะ ..กับมาตามดูหนังเกาหลีเจ้าชายกู้บัลลังค์ และเปาบุ้นจิ้น..ส่วนข่าวที่ดูประจำคือข่าวในพระราชสำนักค่ะ

  • สวัสดีค่ะ  คุณจันทรรัตน์ ..

ทีวีกับวิถีชีวิตของหนูหรือคะ? .. เป็นคนที่ไม่ค่อยจะโปรดปรานการดูทีวีสักเท่าไหร่ค่ะ   เพราะชอบอ่านมากกว่า    แต่ก็ดูนะคะ  ถ้ารายการนั้นน่าสนใจจริง ๆ จนสะกิดต่อมอยากดูเข้าอย่างจัง

ช่วงเช้าที่บ้านจะเปิดรายการข่าวของช่อง 3 .. ผ่านเข้าหู ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอน  จนทำโน่นนี่เสร็จ พร้อมจะออกจากบ้านไปทำงาน

พอมาถึงที่ทำงานก็จะได้ฟังข่าว  ขอย้ำว่า ได้ฟัง  ไม่ใช่ ได้ดู จากทีวี  และรายการต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน  เพราะที่ทำงานเปิดทีวีเกือบทั้งวันค่ะ

เพราะฉะนั้นถ้าใครมาถามว่าละครเรื่องนี้เป็นอย่างไร?  ดาราคนนี้ชื่ออะไร?  จะไม่ได้คำตอบค่ะ  เพราะไม่รู้จักเอาเสียเลย

ถ้าเกิดโลกนี้ทีวีหายวับไปจนหมดโลก หรือเขาออกกฏหมายให้เลิกดูทีวี  มันคงไม่มีผลกระทบกับวิถีชีวิตของหนูสักเท่าไหร่   แฮ่ะ ๆ ๆ  คิดว่านะคะ  ^_^

ธุค่า

  • สวัสดีอีกรอบค่ะ  ^_^

เจ้าชายกู้บังลังค์นี่ " จูมง " หรือเปล่าคะ?  ได้ดูเมื่อวันสุดท้ายที่ผ่านมา ก็เอ๊ะ  นั่งดูจนจบ  คือไม่เคยได้ดูมาก่อนค่ะ  แฮ่ะ ๆ ๆ

ตอนที่เอาฉี่ทหารไปผสมกับต้นไม้อะไรสักอย่างที่เผาไฟเป็นเถ้าถ่าน  แล้วนำไปผสมอะไรไม่รู้   ปั้นเป็นก้อน ๆ ผูกว่าว..ลอยไปเหนือค่ายทหารอีกเผ่า..ยิงธนูไฟ ฟิ้ววววววว  หล่นตุ๊บ  ค่ายนั้นก็อลหม่าน

ตอนหน้าเลยคาดว่าต้องกลับไปดูอีกน่ะค่ะ  แต่ไม่รู้ว่าจะได้ดูหรือเปล่า   TT_TT

 

ธุค่า  ^_^

ใช่แล้วค่ะ คุณเนปาลี....เจ้าชายจูมง

ชอบดูการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางของตัวแสดงของเกาหลีค่ะ...

เท่าที่ทราบมาคือ เดิมจีนและเกาหลีมีข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทางเหนือของเกาหลีว่าเป็นดินแดนของใคร..ทางเกาหลีก็เลยสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาว่า ประวัติศาสตร์ของเกาหลีเคยครอบครองดินแดนส่วนนี้มาก่อน

เจ้าชายจูมงเลยกู้บัลลังค์ทั้งในจอและนอกจอด้วยประการฉะนี้

แฮ่ม..ดูหนังแถมประวัติศาสตร์นอกรอบ..

เนสไม่มีทีวีดูที่ห้องค่ะ และไม่มีมานานแล้ว ชอบอ่านหนังสือมากกว่าค่ะ ^^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท