คุณโกวิท ฟันธงว่าคำว่า"วัฒนธรรม"ในภาษาไทยนั้นมีความหมายไม่ตรงกับคำว่า"Culture" ในภาษาอังกฤษ โดยอธิบายว่า
คำว่าculture มีรากเดิมจากคำว่า agriculture คือการเพาะปลูก
ดังนั้น culture คือการปลูกฝังวิถีการดำเนินชีวิตธรรมดาๆตั้งแต่เกิดจนตายนั่นเอง
เช่นคนไทยปลูกข้าวเจ้าแล้วก็กินข้าวเจ้า ส่วนฝรั่งปลูกข้าวสาลีแล้วก็เอาข้าวสาลีนำมาทำเป็นแป้งเพื่อทำเป็นขนมปังกินกันเป็นอาหารหลัก สำหรับการแต่งงานของคนไทยฝ่ายชายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ส่วนฝรั่งแต่งงานผู้หญิงต้องไปอยู่บ้านผู้ชาย ในเรื่องเกี่ยวกับการตาย การทำศพ คนไทยเผาศพ ส่วนฝรั่งใช้การฝัง
แต่วัฒนธรรมที่คนไทยเข้าใจกันนั้นเป็นเรื่องของสิ่งที่ดีงาม โดยเฉพาะต้องเป็นสิ่งที่ดีงามแบบไทยอีกด้วย
ซึ่งเข้าใจยากและเข้าใจไม่ตรงกันเสมอ เพราะไม่มีใครอธิบายชัดๆเลยว่าวัฒนธรรมที่ดีงามแบบไทยนั้นคืออะไรแน่
สวัสดีค่ะ
ในความเข้าใจ ของดิฉัน เข้าใจว่า หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า (The way of life)
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีแห่งการดำรงชีวิตของคนในสังคมนั้นๆ นับตั้งแต่การดำรงชีวิติในแต่ละวัน การกิน การอยู่ การแต่งกาย การพักผ่อน การทำงาน การจราจรการขนส่ง การแสดงอารมณ์ การอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งวิถีชีวิตนั้น เริ่มมาจากการที่มีต้นแบบ อาจจะเป็นตัวบุคคลแล้วมีคนส่วนใหญ่ หรือประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นด้วยและ ปฏิบัติสืบทอดกันมา โดยสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีงามเพื่อดำรงไว้ซึ่ง วัฒนธรรมไทย ตราบจบชั่วลูกชั่วหลาน
แต่การแต่งกายคับๆมาแสดงที่กล่าว น่า จะมุ่งการค้า การท่องเที่ยว ก็จะเว่อร์ๆหน่อย คิดว่า นักท่องเที่ยว ก็เข้าใจนะคะ
สวัสดีค่ะ
เบิร์ดเห็นด้วยกับคุณ sasinanda ค่ะ
วัฒนธรรมหมายถึงการดำเนินชีวิต ที่เป็นไปในทางที่ดี ( วัฒน = เจริญงอกงาม )
ขอบคุณค่ะที่ทำให้ได้ข้อคิดในวันดีๆวันนี้
ส่วนตัวผมเห็นว่า คำว่า "วัฒนธรรม" เป็นคำที่ไม่นิ่งนะครับ และมันไม่สมควรจะนิ่ง (static) หรือถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานแบบใดแบบหนึ่ง (Standardization)
เพราะนั่นหมายความว่า เราจะไม่เปิดโอกาสให้สังคม ชนกลุ่มต่างๆมีสิทธิที่จะตีความสิ่งต่างๆให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา
การใช้อำนาจที่ซ่อนเร้นสำคัญของรัฐก็ดี ของการศึกษาสมัยใหม่ก็ดี มักจะยึกติดอยู่ที่การผูกขาด "ความรู้" โดยการแช่แข็งนิยามความหมายของสิ่งต่างๆให้มีความหมายเดียว และเป็นความหมายที่คนบางกลุ่มได้อำนาจไปกดทับคนกลุ่มอื่นๆ
เช่น ผู้ชายอาจจะนิยาม " การแต่งงาน " ต่างจากผู้หญิง , วัยรุ่นนิยาม "ระเบียบวินัย" ต่างจากผู้อำนวยการโรงเรียน , หญิงค้าบริการ นิยามการใช้เรือนร่างตนเอง ต่างจากนักบวช
นิยามทางวัฒนธรรมก็เช่นเดียวกันครับ ประเทศมหาอำนาจเคยสร้าง และใช้ (และยังใช้อยู่) นิยามคำว่า "อารยธรรม" หรือความศิวิไลซ์ ไปเที่ยวจัดลำดับชนพื้นเมืองว่าต่ำต้อย และสมควรที่จะได้รับ "การพัฒนา" ดังนั้น จึงชอบธรรมให้พวกตนเข้าไปยึดครองในฐานะ"ผู้ปลดปล่อย"
แต่แท้จริงแล้ว มหาอำนาจเหล่านั้น ไปปลดปล่อยหรือไปดูดกลืนเอาทรัพยากรต่างๆมากมายแค่ไหน พวกเราคงรู้ๆกันอยู่นะครับ
ทางสังคมวิทยามานุษยวิทยา เรามักจะใช้กระบวนการสร้างความหมายอย่างนี้ว่า การสร้าง "วาทกรรม" ครับ (ไม่รู้ว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรือเปล่า)
และผมคิดว่า สังคมไทยส่วนใหญ่ รวมถึงนักวิชาการกระแสหลักทั้งหลาย ยังติดอยู่ใน "กับดัก" ทางความคิดแบบนี้อยู่
คือมันทำให้ เสียงและความคิดของคนเล็กๆน้อยๆ คนด้อยโอกาสไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก และต้องยอมจำนนอยู่ใน "ถ้อยคำ หรือ ""ความจริง" ที่คนกลุ่มอื่นสร้างขึ้นมาควบคุมพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม
ส่วนหนึ่งที่จะปลดปล่อยมนุษย์อย่างเราๆให้เป็นอิระได้ เราต้องรู้ตัวก่อนครับว่า เราถูกครอบงำ กักขังอยู่ภายใต้ "คำ" ที่ใครสร้างขึ้น และมันมีผลต่อตัวเราและผู้อื่นอย่างไร
มิฉะนั้น เราเองก็อาจจะไปผลิตซ้ำอำนาจกดขี่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะครับ
ผมเองก็ยังติดอยู่ในความคิดแคบๆอยู่มาก ก็พยายามสลัดแอกที่แบกอยู่นี้ออกไปเรื่อยๆครับ
เห็นด้วยกับคุณยอดดอยอย่างยิ่ง หากเราไม่เข้าใจเรื่องของวิถีและบริบท เราก็จะถูกลากไปติดกับดัก standardization จนหาตัวเองไม่พบ การรู้ตัว รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และมีความเท่าทันโลกจะทำให้เรามีอิสระ มีวัฒนธรรมที่งอกงามอยู่ในบริบทของตนเอง
วัฒนธรรมจึงส่งเสริมความหลากหลาย ความหลากหลายเป็นความงดงามในตัวของมันเอง
ขอบคุณที่มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ ตัวเองก็ไม่ได้รู้วิชาการทางสังคมวิทยามานุษยวิทยานัก พูดจากประสบการณ์และความรู้สึกของคนที่อยู่นอกกระแสหลักเป็นส่วนใหญ่ค่ะ