ถ้าเราวิ่งเร็วเต็มที่คงวิ่งไม่ได้ไกลและไม่ได้นาน แต่ถ้าเราวิ่งเหยาะๆหรือเดินคงจะได้ระยะทางไกลโขอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ระหว่างความหนักในการออกกำลัง ( Exercise Intensity ) กับการใช้พลังงาน
นักวิ่งมือใหม่หัดวิ่งจะวิ่ง 20 นาทีติดต่อกันไม่ได้เพราะวิ่งเร็วเกินไปและกล้ามเนื้อยังมีความสามารถในการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นได้ต่ำ ต้องอาศัยการฝึกซ้อมสักระยะหนึ่ง
ร่างกายของเราจะมีพลังงานสะสมอยู่ในร่างกาย ที่พร้อมใช้เลยจะอยู่ในรูปของ ATP แต่ใช้ได้ไม่นาน ( ไม่เกิน 10 วินาที )
ที่เหลือจะสะสมอยู่ในรูปของคาร์โบไฮเดรต ( ไกลโคเจนที่ตับและกล้ามเนื้อ ) ซึ่งก็มีปริมาณไม่มากนัก ถ้าใช้แบบไม่ใช้ออกซิเจน- Lactic Acid System ( Anaerobic ) ในกรณีที่วิ่งเร็วๆ ก็จะใช้ได้ไม่นาน เพราะจะเกิดของเสียขึ้นมาก ( กรดแลกติค ) ใช้ได้ไม่เกิน 2-3 นาทีก็จะหอบเหนื่อย ปวด เมื่อยล้า ร่างกายก็จะทนไม่ไหว แต่ถ้าใช้ออกซิเจน - O2 System ( Aerobic ) ในกรณีที่วิ่งช้าๆ จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น กลัยโคเจนที่มีอยู่ก็สามารถใช้ได้นานประมาณ 90 นาที
ที่สะสมอยู่ในรูปของไขมันจะมีอยู่ค่อนข้างมาก สามารถวิ่งได้ถึง 600 ไมล์ หรือ 3 วัน 3 คืนติดต่อกัน
ส่วนที่เป็นโปรตีนในกล้ามเนื้อ ไม่จำเป็นจริงๆร่างกายก็จะไม่นำมาใช้เป็นพลังงาน
กรัม | kcal | |
คาร์โบไฮเดรต | ||
ตับ (glycogen) | 110 | 451 |
กล้ามเนื้อ (glycogen) | 250 | 1025 |
กลูโคส ในเลือด | 15 | 62 |
รวม | 375 | 1538 |
ไขมัน | ||
ชั้นใต้ผิวหนัง | 7800 | 70980 |
กล้ามเนื้อ | 161 | 1465 |
รวม | 7961 | 72445 |
โปรตีน | 41000 |
การใช้พลังงานในร่างกาย อธิบายง่ายๆก็คือถ้าเราวิ่งเร็วมากๆ ที่ 85-90% ของชีพจรสูงสุด ( Maximum Heart Rate ) ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากเกินกว่าที่ร่างกายจะจัดหาได้ทันต่อความต้องการ ร่างกายจึงใช้พลังงานที่พร้อมใช้เลย ( ATP ) และจากไกลโคเจนที่สะสมอยู่ในร่างกายโดยไม่ใช้ออกซิเจน - Lactic Acid System ( Anaerobic ) ซึ่งประสิทธิภาพต่ำและให้พลังงานค่อนข้างน้อย และเกิดของเสียขึ้นมาก ซึ่งทำให้เกิดอาการปวด เมื่อยล้า เหนื่อยหอบ ก็จะสามารถวิ่งได้ไม่เกิน 2-3 นาที
ถ้าวิ่งช้าๆ ที่ระดับ 60-70% ของชีพจรสูงสุด ร่างกายก็จะใช้พลังงานแบบใช้ออกซิเจน - O2 System ( Aerobic ) ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งทั้งกลัยโคเจนและไขมัน ก็จะสามารถวิ่งระยะยาวๆ ใช้เวลานานๆได้ 20-30 นาทีติดต่อกันเรื่องเล็กเลยครับ
ท่านที่เป็นมือใหม่หัดวิ่ง ไม่ต้องวิ่งเร็วนะครับ เริ่มวิ่งเหยาะๆ ( เร็วกว่าเดินเล็กน้อย ) ก็จะสามารถวิ่งได้นานขึ้นและได้ระยะทางมากขึ้น ฝึกซ้อมสักพักก็จะสามารวิ่งได้ครบ 20-30 นาทีโดยไม่ต้องหยุดเดิน แล้วค่อยมาพัฒนาความเร็วและความอดทนเพิ่มทีหลังครับดิฉันปฏิบัติเป็นประจำทุกวันในช่วงตอนเย็น วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที เป็นเวลา 2 ปีมาแล้ว
แต่มีข้อสงสัยว่า ข้อแตกต่างระหว่างวิ่งช่วงเช้ากับช่วงเย็น มีผลแตกต่างกันหรือไม่
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ตอบคุณ วิไล วัชรพิชัย กับ นาง อัมพร อรุณศรี
วิ่งเช้าวิ่งเย็นก็มีรายงานการศึกษาไว้มาก แต่สรุปก็ไม่แตกต่างกันมากนัก สดวกเวลาไหนก็วิ่งเวลานั้นแหละครับ
ผมก็วิ่งตอนเย็น แต่จะวิ่งยาววันอาทิตย์เช้า เพราะส่วนมากการแข่งขันจะจัดวันอาทิตย์เช้า เลยซ้อมให้ชินไว้ครับ
ถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ฝีเท้าดีขึ้นก็ทำตาม วิ่งอย่างไรให้เก่งขึ้นครับ
ขอบคุณครับอาจารย์ เดี๋ยวจะตาม Link ไปอ่านอีกบันทึกครับ...
ขอบคุณมากครับ...
การเต้นแอโรบิคเป็นการออกกำลังกายที่ดีมากอย่างหนึ่ง แต่ไอ้เรามันคนชอบวิ่ง เข้ากระดูกดำไปแล้ว
สวัสดีปีใหม่ ขอให้Mrs. Laddawan wipoosanapanและครอบครัวมีสุขภาพดีและมีความสุขตลอดปีใหม่ครับ
อิอิ มาเก็บเกี่ยวอีกแล้วค่ะ
กลับมาอ่านบันทึกของคุณหมออีกครั้งหนึ่งครับ ตอนนี้ผมวิ่งตอนเย็นได้เกือบชั่วโมงระยะทางประมาณหกกิโลครับ แต่วิ่งเบาๆ ช้าๆ เร็วกว่าเดินนิดหน่อยครับ