เกริ่นนำ
เมื่อวันที่ 1-2 ธันวาคม 2548
ที่ผ่านมากลิ่นอายการจัดการความรู้ที่ผมได้สัมผัสจากอายตนทั้ง 5
ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำอันประทับใจ
นับตั้งแต่การให้การต้อนรับด้วยไมตรีจิตมิตรภาพของท่านศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์
พานิช
และคณะกรรมการเจ้าหน้าที่สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
(สคส.)
ผมไม่นึกไม่ฝันว่าการจัดงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2
จะจัดได้ดีถึงเพียงนี้
เพราะ สคส.มีเจ้าหน้าที่เพียง 10 ท่าน
แต่ท่านสามารถประสานเครือข่ายช่วยทำหน้าที่ "คุณอำนวย" "คุณเอื้อ"
"คุณกิจ" "คุณลิขิต" ได้อย่างครบถ้วนกระบวนความแสดงให้เห็นถึง
"ความเป็นนักจัดการความรู้มืออาชีพ" ของ สคส.
ซึ่งน่าภาคภูมิใจและสามารถนำไปเป็นแบบอย่างที่ดีของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ
ในการที่จะพัฒนาองค์กรของตนให้เป็นองค์กรอันทรงประสิทธิภาพต่อไป
สิ่งที่ผมสามารถถอดบทเรียนจากการได้ร่วมงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติครั้งนี้
สรุปประเด็นสำคัญๆ ได้ 4 ประการดังนี้
1) จากเครือข่ายสู่โครงข่ายการเรียนรู้
สคส.ได้พยายามสนับสนุนส่งเสริมให้หน่วยงาน
องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทมีส่วนร่วมในการนำเสนอแนวทางประสบการณ์การจัดการความรู้ที่หลากหลายก่อให้เกิดเครือข่ายการจัดการความรู้ที่ทรงพลังและจากเครือข่ายที่กระจัดกระจายกลายเป็นโครงข่ายที่แน่นหนาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศภายในระยะเวลาอันสั้น
2) จากวิถีชุมชนสู่วิถีมวลชน
การจัดการความรู้ที่ผ่านมาเริ่มต้นจากการรวมตัวแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการจัดการความรู้ของคนในชุมชน
(Community Knowledge Management)ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจาก
สคส.ให้นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน
เกิดเป็นขุมพลังแห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่กลายเป็นแบบอย่างที่ดี
(Best practices) พัฒนาไปสู่วิถีการจัดการความรู้ของมวลชน (Mass
Knowledge Management)
3)
จากความรู้ของเอกัตตบุคคลสู่ความรู้ที่เป็นสากล
งานมหกรรมการจัดการความรู้ครั้งที่ได้มีเวทีแลกเปลียนเรียนรู้ของชุมชนนักปฏิบัติซึ่งมีการสกัดเอาขุมความรู้จาก
"คุณกิจ"
แต่ละคนมาบูรณาการและสรุปเป็นองค์รวมของความรู้ที่สามารถสืบค้นและถ่ายทอดได้อย่างมีระบบ
เป็นขั้นเป็นตอนชัดเจนและอ้างอิงได้
4)
จากมหกรรมการจัดการความรู้สู่มหกรรมการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้
ผลจากการจัดงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 นี้
แม้ว่าจะประสบความสำเร็จก้าวหน้าดีสักเพียงใด
"หากไม่มีการนำเอาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตปรกติของบุคคล
หน่วยงาน องค์การต่างๆ
ก็เป็นการยากที่จะบอกว่าเป็นความสำเร็จของการจัดการความรู้ที่ยั่งยืน"
ดังนั้นในฐานะที่ สคส.ได้หว่านกล้า
"เมล็ดพันธุ์แห่งความดี" ลงในพื้นที่เพาะปลูกองค์ความรู้ในงานมหกรรมการจัดการความรู้ครั้งที่
2 ในปี 2548 แล้วไชร้
บทบาทต่อไปคือการเฝ้าติดตามดูแลบำรุงรักษาต้นกล้าให้เติบโต แข็งแรง
และหวังว่าจะได้เก็บเกี่ยวผลิตผลในงานมหกรรมการจัดการความรู้ครั้งที่
3 ระหว่างวันที่ 1-2 ธันวาคม 2549 ณ อิมแพค เมืองทองธานี
ด้วยเหตุนี้ "วัตรปฏิบัติ"
ของนักจัดการความรู้ทั้งหลายจึงต้องดำเนินการตามพันธสัญญาใจที่เราให้ไว้แก่กัน
ซึ่งคงไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นกระมัง
ผมเชื่อว่าทุกๆท่านคงอยากเล่าเรื่องความสำเร็จ
หรือความล้มเหลวในการทดลองนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติจริงให้บรรดามวลสมาชิกของเราได้รับฟังหรือรับรู้ร่วมกัน
ฉะนั้นจึงถือโอกาสนี้เชิญชวนท่านทั้งหลายเล่าเรื่องผ่าน weblog
"gotoknow' นี้ครับ
ปฐมพงศ์ ศภเลิศ
5 ธ.ค.48
เห็นด้วยค่ะ เพราะหลังจากมหกรรมพวกเราก็เดินหน้าเตรียมงานปีหน้ากันแล้วค่ะ ส่วนที่อาจารย์กล่าวว่า สคส.ได้หว่านกล้า เมล็ดพันธุ์แห่งความดี แล้วบทบาทคือการเฝ้าติดตามนั้นก็ใช่ แต่การบำรุงรักษา ให้เติบโตแข็งแรง นั้นต้องอาศัยความร่วมมือและร่วมใจกันระหว่างเมล็ดพันธุ์กับผู้หว่านด้วย จริงไหมค่ะ