คนตานี
saifuddeen Abu Ni-nasreen (سيف ألدين) ibn ni-umar ibn ni-kejik An-nuree

บทความและเรื่องที่น่าสนใจติดตามอ่านได้ที่นี้นะครับ


บทความ เรื่องน่าสนใจ

เรื่องราวที่น่าสนใจ นำมาฝากและฝากเพื่ออ่านได้นะครับ

หมายเลขบันทึก: 87515เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2007 10:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 14:30 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (28)
เจอกันครั้งแรก
"พวกเธอรู้ไหมว่าวันนี้เราจะเรียนเรื่องอะไรกัน" อาจารย์ถาม
"ไม่รู้ครับ" นักเรียนทุกคนส่ายหัว

"พวกเธอนี่ไม่รู้จักเตรียมตัวมาเลยหรือนี่ ยังงั้นวันนี้งดสอน
ครั้งหน้าทุกคนเตรียมตัวมาให้ดี"
ว่าแล้วอาจารย์ก็เดินออกจากห้องเรียนไป

เจอกันครั้งที่สอง
"พวกเธอรู้ไหมว่าวันนี้เราจะเรียนเรื่องอะไรกัน" อาจารย์ถามเหมือนเดิม
"รู้ครับ" นักเรียนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
"ดีมาก"
อาจารย์ยิ้มอย่างพอใจ "ถ้าทุกคนรู้แล้ว วันนี้งดสอน"
แล้วอาจารย์ก็ปล่อยให้นักเรียนงงอยู่ในห้อง
เจอกันครั้งที่สาม

"พวกเธอรู้ไหมว่าวันนี้เราจะเรียนเรื่องอะไรกัน" คำถามเดิมมาอีกแล้ว
"รู้ครับ" บางคนตอบ ในขณะที่บางคนที่ไม่แน่ใจกับสถามการณ์ตอบไปอีกทาง
"ไม่รู้ครับ"

"ไหงเป็นงั้นล่ะ" อาจารย์ค้อน "เอางี้แล้วกัน...
คนที่รู้บอกคนที่ไม่รู้ซะ....
วันนี้งดสอน!!!"
  • อืม....ใช้ได้ ๆ ครูแบบนี้
>>>>>พรุ่งนี้อาจสายเกินไป
>>>>>
>>>>>
>>>>>         
>>>>>ถ้าคุณโกรธใครขึ้นมาแล้วไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยแก้สถานการณ์
>>>>>          จงทำด้วยตัวเอง
>>>>>          บางทีใครคนนั้นอาจจะยังคงอยากเป็นเพื่อนกับคุณอยู่
>>>>>          และถ้าคุณไม่ทำ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป 
>>>>>
>>>>>          ถ้าคุณตกหลุมรักใครสักคนแต่คนๆ นั้นไม่รู้ จงบอกเค้าไป
>>>>>          บางทีคนๆ นั้นอาจจะกำลังรักคุณอยู่ด้วยเช่นกัน
>>>>>          และถ้าคุณไม่บอกเค้า บางทีพรุ่งนี้อาจจะสาย 
>>>>>
>>>>>         
>>>>>ถ้าคุณอยากจะจูบใครสักคนหนึ่งเหลือเกิน
>>>>>         
>>>>>ทำเสียสิบางทีเค้าคนนั้นอาจจะกำลังต้องการจูบของคุณอยู่ก็ได้
>>>>>          และถ้าคุณไม่ได้ทำ บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป
>>>>>
>>>>>         
>>>>>ถ้าคุณยังคงรักใครสักคนที่คุณคิดว่าป่านนี้เค้าคงลืมคุณไปแล้ว
>>>>>          จงบอกเค้าวันนี้ บางทีเค้าอาจจะยังคงรักคุณอยู่เช่นกัน 
>>>>>          ถ้าคุณไม่บอกเค้าวันนี้ บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป
>>>>>
>>>>>          ถ้าคุณต้องการการกอดจากเพื่อนสักคนหนึ่ง
>>>>>          บอกเค้าสิ
>>>>>บางทีพวกเค้าอาจกำลังอยากให้คุณกอดมากกว่าที่คุณเป็นเสียอีก
>>>>>
>>>>>          และถ้าคุณไม่ทำวันนี้ บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป
>>>>>
>>>>>          ถ้าคุณรู้สึกว่าเพื่อนคุณแสนดีเหลือเกิน
>>>>>จงบอกพวกเค้าด้วย
>>>>>          เพราะเค้าเองก็อาจจะกำลังรู้สึกอย่างเดียวกับคุณเช่นกัน
>>>>>          ถ้าคุณไม่ทำแล้วเค้าต้องจากไปเสียแล้ว
>>>>>บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป 
>>>>>
 ถ้าคุณรักพ่อแม่ของคุณและยังไม่มีโอกาสแสดงออกทำซะเถอะ
>>>>>          ท่านยังอยู่ตรงนั้นเพื่อให้คุณได้มีโอกาสแสดงให้ท่านรู้
>>>>>          หากท่านจากไปวันนี้
>>>>>พรุ่งนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
>>>>>
>>>>>           ส่งข้อความนี้ไปให้ทุกๆ คนที่คุณแคร์พวกเค้า
>>>>>          รวมทั้งคนที่ส่งมันมาให้คุณด้วย
>>>>>          แล้วคุณจะได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เค้าแคร์คุณเช่นกัน
>>>>>
>>>>>          ไม่งั้น...บางที...พรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป
>>>>>
ความรักที่เกิดขึ้น . . .ท่ามกลางความเหงานั้น เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การจะสาน
ความรักต่อ. . . ให้ยืนยาวได้นั้น เป็นเรื่องยาก ความเหงานั้น . . . มันโดด
เดี่ยวเปลี่ยนคนอ่อนไหว . . .ให้กลายเป็นคนอ่อนแอได้จนบางครั้ง . . .ต้องพยายาม
หาที่ยึดหัวใจไม่ให้เคว้ง ไปตามแรงกระทบของชีวิตและบางครั้ง . . . ก็อาจเผลอ ไป
ยึดใครสักคน. . .ที่ไม่อาจจะยึดได้ เพราะเหตุผล แห่งความเป็นไปไม่ได้ ร้อยพัน
ประการ . . .แต่ . . . เมื่อความรักได้เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ร่วมได้ หรือ
ไม่ . . . มีสิทธิ์ครอบครอง หรือไม่ . . .ก็ไม่อาจที่จะ . . . ห้ามไม่ให้รู้สึก
รักได้ เมื่อในที่สุดแล้ว . . .ห้ามไม่ได้ก็อาจจะมีอีก ทางเลือกคือ . . . การ
ปล่อยหัวใจให้ได้ “รั ก”แต่ . . .ต้องหาที่ยืน ที่เหมาะสมให้กับตัวเองหาบริเวณ ให้ตัวเองให้ได้ และหักห้ามใจ ไม่ให้เตลิดก้าวไปไกลจากที่ที่ตัวเอง
ต้องอยู่ . . .นอกจาก . . .กล้าที่จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็ต้องกล้าที่จะเชื่อ
มั่นว่า . . .เราต้องยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้และต้องไม่ไปไกลกว่านี้ . . .อยากอยู่
ตรงไหนก็ได้ . . .แต่ต้องอยู่ในขอบเขต รักได้เท่านั้นอย่า! ไปเผลอทำร้ายใครให้
เจ็บปวด...... เขียนบอกตัวเองให้รักให้เป็นรักคนที่เค้ารักเราดีกว่า

คนไม่ได้แต่งงานไม่ได้เข้าสวรรค์อย่างนั้นหรือ

โดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด

อิบนุ อับดุรรอูฟ  แปลและเรียบเรียง

 คำถาม: ดิฉันได้ยินว่า มุสลิมที่ไม่ยอมแต่งงานจะไม่ได้เข้าสวรรค์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือ? ถ้าหากเป็นเรื่องจริง หลักการนี้วางอยู่บนพื้นฐานอะไร?  ....  เป็นไปได้หรือไม่ว่า บุคคลหนึ่งสามารถเป็นคนดีที่เคร่งครัด ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ต้องการแต่งงาน?คำตอบ: อิสลามไม่ได้ถือเอาการแต่งงานมาเป็นเงื่อนไขในการเข้าสวรรค์ แต่เมื่อบุคคลใดเกรงว่าตัวเขาจะทำสิ่งต้องห้าม(เนื่องจากไม่ได้แต่งงาน)ก็จำเป็นต้องแต่งงาน กรณีนี้หากว่าเขาไม่ยอมแต่งงานอีก ก็ถือว่าเขากระทำความผิด                 ประเด็นที่สองคำตอบคือ เป็นไปได้ที่บุคคลหนึ่งสามารถเป็นคนดีที่เคร่งครัด โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องแต่งงาน แต่ว่ากรณีเช่นนี้หายาก ส่วนใหญ่แล้วคนที่ละทิ้งการแต่งงานนั้น มักเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งในสองประเภทนี้ก็คือ เป็นคนไร้ความสามารถหรือไม่ก็เป็นคนทำซีนา ดังที่ท่านอุมัร อิบนุ อัล ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวต่อชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมแต่งงานว่าสิ่งที่ขัดขวางมิให้ท่านแต่งงาน คือการไร้ความสามารถหรือการทำความชั่ว                 ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม อิสลามกระตุ้นให้มีการแต่งงาน โดยจัดมันว่าเป็นแบบอย่างของศาสนทูตทั้งหลาย และห้ามไม่ให้ละทิ้งการแต่งงาน เพียงด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการมุ่งทำอิบาดะฮฺ (ดังมีคำกล่าวที่ยอมรับกับทั่วไปว่า) ไม่มีระบอบนักบวชในอิสลาม

อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด

 

http://www.muslimahtoday.com/index.php?option=com_content&task=view&id=116&Itemid=1

คติ : มุมมองชีวิต จาก เพื่อนคนหนึ่ง

      เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบางคนถึงดูมีแต่ความสุขตลอด เวลา ทำไมบางคนถึงดูไม่เคยทุกข์ร้อนกับปัญหาใดๆ เขาเหล่านั้นมีวิธีจัดการกับ ชีวิตอย่างไร ทำไมถึงทำได้ดีถึงเพียงนั้น

      คำตอบก็ คือ เขาเหล่านั้นรู้วิธีที่จะจัดการกับแนวความคิดและมุมมองชีวิตของตน เอง อย่างที่พวกเราทุกๆคนทราบ คนเราทุกคนย่อมมีปัญหา มีอุปสรรคที่ต่างจะต้อง ฝ่าฟัน แต่ใครจะทำได้ดีกว่ากันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองชีวิตในแง่บวก หรือ แง่ลบเพียงใด

     คนที่มองชีวิตในแง่ ลบนั้น พวกเขาจะมองทุกๆเรื่องเป็นปัญหา มองทุกๆสิ่งเป็นอุปสรรค และมัก คิดว่าสิ่งที่เลว ร้ายที่สุดได้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาแล้ว ทางแก้ปัญหา ก็แสนจะ เลือนลางเกินกว่าที่พวกเขา จะมองเห็นได้ ดังนั้นด้วยมุมมอง ชีวิตในทางลบ ชีวิต ของคนเหล่านั้นจึงมีแต่ความกังวลใจ ขาดความสุขไป อย่างน่าเสียดาย

     คนที่มองชีวิตในแง่ บวกนั้น พวกเขาจะรู้ว่าเวลาที่มีปัญหาหรือพบอุปสรรค ปัญหานั้นย่อมมีทาง แก้ ตระหนักว่าทุกอย่างย่อม มีวันคลี่คลาย และรู้ซึ้งว่า ณ เวลานี้ ย่อมมีคนที่ ประสบปัญหา ที่หนักหนาสาหัสกว่าเราหลายร้อยเท่านัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว มุม มองชีวิตในทางบวกก็ได้นำพาเขาเหล่านั้นไปสู่ความสุข สดชื่นในทุกๆวันของชีวิต

       คัดลดกมาจากน้องสาวที่ส่งมา

 
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10777

"โต๊ะบีแด" ที่พึ่งทางใจสตรี 3 จังหวัดใต้


โดย วันเนา รัตนาพร




นวดคลายเส้น

ถามเด็กรุ่นใหม่ว่ารู้จัก *หมอตำแย* หรือไม่ คงมีไม่มากที่รู้จัก เว้นเสียแต่ว่าเคยดูหนังแม่นาคพระโขนง

เพราะปัจจุบันการแพทย์การผดุงครรภ์ที่ก้าวไกลแทบจะเลือกเพศของลูกได้ด้วยซ้ำ ทำให้อาชีพ "หมอตำแย" ตกยุคไปเสียแล้ว อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้างตามหมู่บ้านชนบทที่อยู่ห่างไกล

ในการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 4 ในงานสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 4 ที่ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หนึ่งในงานวิจัยที่น่าจับตามอง เป็นงานของ ดารณี อ่อนชมจันทร์ และคณะ ศึกษาเกี่ยวกับ "หมอตำแย" ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เรียกกันว่า *โต๊ะบีแด*

"โต๊ะบีแด" เป็นหญิงชาวมุสลิม ส่วนใหญ่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป เป็นบุคคลที่ชาวมุสลิมยกย่องให้เป็นผู้ดูแลด้านสุขภาพอนามัยแม่และเด็กในชุมชน ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ทำคลอด จนหลังคลอด

บางคนทำคลอดตั้งแต่รุ่นแม่จนถึงรุ่นลูกและรุ่นหลาน ดังนั้น ในแต่ละชุมชน โต๊ะบีแดจึงมิใช่เพียงผู้ที่มีหน้าที่ทำคลอดเท่านั้น แต่เป็นบุคคลสาธารณะที่ทุกคนรู้จัก เคารพนับถือ

นอกจากนี้ โต๊ะบีแดยังให้การดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ด้วยยาสมุนไพร การนวด หรือพิธีกรรมตามระบบความคิดความเชื่อของชาวมุสลิม ที่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ประทานให้มีบทบาทหน้าที่ดังกล่าว

การสืบทอดจากบรรพบุรุษส่วนมากมีทวดหรือยายหรือแม่เป็นโต๊ะบีแด จึงได้รับการถ่ายทอดเมื่อถึงเวลา เช่นกรณีของ *อาซือมะ* ซึ่งสืบทอดจากยาย

นวดหลังคลอดให้มดลูกเข้าอู่เร็ว



อาซือมะเล่าว่า เดิมไม่ได้ตั้งใจจะเป็นโต๊ะบีแด แต่ยายเป็นโต๊ะบีแด จะพาไปดูทุกครั้งที่มีการทำคลอด โดยเริ่มไปกับยายเมื่ออายุ 12 ปี ตอนแรกยายให้ดูและเป็นผู้ช่วยขณะทำคลอด คอยสอนไปเรื่อยๆ ติดตามยายไปทำคลอดอยู่ประมาณ 5 ปี

จนวันหนึ่งยายไม่อยู่บ้านไปทำคลอดอีกหมู่บ้านหนึ่ง มีญาติข้างบ้านมาตามให้ไปทำคลอด ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำคลอดได้หรือไม่ แต่พอลองทำตามที่ยายเคยสอนสักพักก็ทำได้เอง หลังจากนั้นจึงเริ่มทำคลอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

กระนั้นก็มีโต๊ะบีแดบางท่านที่ไม่ได้มีการสืบทอดโดยตรง แต่ชาวบ้านทราบว่าเป็นลูกหลานโต๊ะบีแด จึงมาให้ช่วยเหลือ แล้วจึงได้ไปเรียนรู้ที่หลัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อบริการสาธารณสุขซึ่งรวมถึงการดูแลแม่และเด็กครอบคลุมในทุกพื้นที่ อีกทั้งโรงพยาบาลชุมชนต่างปรับตัวแก้ไขปัญหาความไม่เข้าใจในวัฒนธรรมอิสลาม และสร้างความร่วมมือกับโต๊ะบีแดในการส่งต่อหญิงตั้งครรภ์ไปคลอดที่โรงพยาบาล บทบาทของโต๊ะบีแดจึงเปลี่ยนไป จากผู้ทำคลอดเป็นผู้ส่งต่อหญิงตั้งครรภ์และให้บริการนวดหลังคลอด

แต่จากการศึกษาเจาะลึกโต๊ะบีแดของโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง พบว่าโต๊ะบีแดยังมีบทบาทอื่นที่นอกเหนือจากการเป็นคนทำคลอดในหมู่บ้าน อย่างเช่น เป็นผู้รักษาโรคหรืออาการผิดปกติของสตรีและเด็ก รวมทั้งอาการข้อเคล็ด ปวดเมื่อย โดยใช้สมุนไพรและคาถาหรืออ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน คือ ช่วยดูแลด้านจิตใจของชาวบ้านด้วย

ทั้งนี้ยังมีโต๊ะบีแดอีกจำนวนมากยังคงดำรงอยู่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต่างมีความรู้และประสบการณ์ในการทำหน้าที่เป็นที่พึ่งด้านสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่ยึดมั่นในวัฒนธรรมอิสลาม องค์ความรู้ของโต๊ะบีแด เป็นความรู้ที่ได้จากบรรพบุรุษ และจากประสบการณ์ที่สั่งสม แม้บางท่านจะไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลได้ เนื่องจากเป็นโต๊ะบีแดแบบพระเจ้าประทานมา แต่ประสบการณ์ก็สอนให้โต๊ะบีแดได้เรียนรู้จากการปฏิบัติและสังเกต

นวดหลังคลอด



อย่างไรก็ตาม ดารณี หัวหน้าคณะวิจัย ตั้งข้อสังเกตว่า โต๊ะบีแดส่วนใหญ่เคยได้ผ่านการอบรมผดุงครรภ์โบราณของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขมาแล้ว ในการอบรมดังกล่าวมีการให้ความรู้ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ การทำคลอดที่ปกติ การดูแลหลังคลอด ดังนั้น ความรู้ของโต๊ะบีแดส่วนหนึ่งจึงเป็นความรู้ที่ผสมผสานเชิงวิทยาศาสตร์ที่โต๊ะบีแดนำมาอธิบายตามความเข้าใจในภาษาของตนเอง

รูปแบบการให้บริการของโต๊ะบีแด เป็นการรูปแบบการแพทย์ที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เรียกว่า "การแพทย์ทฤษฎีใหม่" เป็น "ทฤษฎีสุขภาพ" ที่ก่อให้เกิดดุลยภาพทั้งกาย จิต สังคม และสิ่งแวดล้อม

เมื่อมองย้อนวิถีการทำงานของโต๊ะบีแดกับความสัมพันธ์ต่อชุมชนในงานอนามัยแม่และเด็ก จะพบรูปแบบการทำงานที่วงการแพทย์และสาธารณสุขในปัจจุบันหลายส่วนต้องการจะเห็น และพยายามผลักดันจะให้เกิดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและการมีส่วนร่วมของชุมชน

หัวหน้าคณะวิจัยให้ข้อเสนอแนะไว้ในงานวิจัยชิ้นนี้ว่า การเปิดใจยอมรับและเข้าไปเรียนรู้ภูมิปัญญาโต๊ะบีแดในพื้นที่ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ให้บริการดูแลสุขภาพอนามัยแม่และเด็กในชุมชน ด้วยท่าทีนอบน้อมระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่

ดังเช่นที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยในพื้นที่วิจัย อำเภอรามัน จังหวัดยะลา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ได้กระทำไปแล้วนั้น นับเป็นนวัตกรรมในงานสูติกรรมและงานอนามัยแม่และเด็ก ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

เรียนรู้ในความสามารถและข้อจำกัด เรียนรู้ที่จะร่วมมือกันเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของแม่และเด็กที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณี ลดช่องว่างและความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นด้วยความหวังดีและโดยมิได้ตั้งใจ

ในระดับปฏิบัติการควรได้มีการศึกษาเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพหรือการแพทย์พื้นบ้านในการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยมารดาและทารกในระยะต่างๆ เพื่อนำมาบูรณาการงานอนามัยแม่และเด็กที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน

ในระดับนโยบาย โดยเฉพาะกรมอนามัยและกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ควรสร้างความร่วมมือในการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพในการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยมารดาและทารก โดยการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนา การบูรณาการองค์ความรู้โต๊ะบีแดที่ยังคงบทบาทในท้องถิ่น

เพื่อให้เกิดการพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ส่งเสริมนโยบายสุขภาพพอเพียงตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หน้า 34
http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra02120950&day=2007-09-12&sectionid=0131
อย่าไปค้นหาความรัก ปล่อยให้ความรักค้นพบคุณเอง

นั่นแหละถึงจะเรียกว่าตกหลุมรัก
เพราะคุณไม่ได้บังคับตัวคุณให้เป็นไป แต่มันเป็นไปเอง

เมื่อคุณยอมรับใครบางคนในตัวตนและสิ่งที่เขาเป็น
คุณจะประหลาดใจเมื่อเขาดีกว่าที่คุณคาดหวังไว้มาก
ความรักคือการรักและยอมรับในทั้งข้อดีและข้อเสียของเขา

โชคดีคือผู้ชายได้เป็นคนรักคนแรกของผู้หญิง
ที่โชคดีกว่านั้นคือผู้หญิงได้เป็นคนรักคนสุดท้ายของผู้ชาย

คุณจะได้รับรู้ว่าคนๆ หนึ่งมีความหมายกับคุณมากเพียงไร
ก็เมื่อคุณตื่นขึ้นมาและพบว่าคุณได้สูญเสียใครคนนั้น
ที่คุณเคยคิดว่าไม่มีความหมายกับคุณเลยไปเสียแล้ว

รักคือการมองดูตัวคุณผ่านสายตาของคนอื่น
และค้นหาตัวคุณในหัวใจของคนนั้น
เมื่อคุณรักแล้ว คุณก็จะรักตลอดไป
สำหรับสิ่งที่คุณอาจจะคิดหลบหนี
แต่หัวใจคุณเก็บมันไว้ตลอดเวลา

การปล่อยมันไปไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะเหนี่ยวรั้งไว้ก็ยากเย็น
ความเข้มแข็งไม่ได้วัดที่ว่าสามารถเหนี่ยวรั้งมันไว้
แต่อยู่ที่สามารถปล่อยมันไปต่างหาก

ผู้ชายพร้อมที่จะเสียสละความรักเพื่อจะได้ปกครองโลก
แต่ผู้หญิงพร้อมที่จะตัดใจจากโลกเพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่มีค่าพอให้เสียสละ

มันปวดใจเมื่อได้เห็นคนที่คุณรักมีความสุขอยู่กับคนอื่น
แต่มันจะเจ็บปวดกว่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่มีความสุขเลยเมื่ออยู่กับคุณ

ขอให้ความรักที่เกิดขึ้นมานั้นอยู่ตลอดกาล
ขอให้ความรักที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นรักนิรันดร์...


>>
>วันนี้..เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่งจนเราคิดว่า...เราขาดไม่ได้....
>
>แต่เวลา.......จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป..สักวันเราจะรู้ว่า..
>
>สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้..อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา
>
>มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต..
>
>
>
>วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ที่เราคิดว่าเราพึงใจ..ปรารถนา..ต้องการ..และขาดไม่ได้...เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก...
>
>
>
>เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป มันจะสอนเราได้ว่า..ความผูกพันกับสิ่งใด ๆ
>ในช่วงเวลาหนึ่ง
>
>จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ อย่าได้ไปยึดติด
>อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง...
>คิดเสียว่า.เราโชคดี.ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก
>
>
>
>ความผูกพัน..ก็เหมือนกับความรัก..หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก
>
>หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก
>
>แต่ความผูกพันที่ว่าไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเองไว้กับสิ่งนั้น..เพราะคนทุกคน
>ย่อมผูกพันกับหลายๆ สิ่ง  ในเวลาเดียวกัน
>
>
>
>เปรียบเสมือนเรามีแก้วน้ำอยู่หนึ่งใบ...ในยามเช้าเราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม...
>
>พออากาศร้อนหน่อยเราอาจต้องการน้ำเย็น ๆ
>บางครั้งที่เราไม่สบายเราอาจต้องการน้ำอุ่น….ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ..ต้องเติมสิ่งต่าง
>ๆในเวลาที่แตกต่างกัน...ตามความเหมาะสม..หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำแล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที
>ในแก้วใบเดียวกัน..เราก็จะพบว่า..แก้วใบนั้น..ก็จะร้าว..แล้วเริ่มแตกซึ่งก็เหมือนกับใจเรา..
>
>
>
>ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่ง..ไม่ผิดถ้าเราค่อย ๆ ปรับใจ
>ปรับตัวของเราเองให้กลับคืนในเวลาที่ควร 
>เพราะอย่างน้อยที่สุด..เราก็มีโอกาส..ได้ผูกพัน...ซึ่งก็เหมือนเราได้มีโอกาส..ได้รัก
>นั่นเอง
>
>
>
>“ปลอบใจตัวเองว่าและบอกคุณว่า
>อย่ากลัวความผูกพันที่อาจจะเกิดขึ้น...เพราะถ้าหากเรารู้จักปรับตัว.... ปรับใจ
>..... ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นยังไง เราก็จะรู้สึกดี
>และยิ้มได้ทุกครั้งที่คิดถึง.....เรื่องราวที่ผ่านมา........”
>
>(จะทำได้ป่าวเนี้ย...... เฮ้ย......เหนื่อย)

คำพ่อสอน...
"... การทำให้คนอื่นรัก ยากกว่าการทำให้เกลียดมากนัก
กว่าจะเป็นที่รักของใครได้ต้องใช้เวลานาน
ความรักมันต้องอาศัยการซึมลึก
ไม่เหมือนความเกลียดที่ทำง่ายแต่ซึมนาน
เราดีใจที่รู้ว่ามีคนรักเรามากมายรอบๆตัว
มันเป็นภูมิต้านทานความท้อแท้ที่ดีสำหรับเรา
เป็นเกราะคุ้มภัยให้เราอุ่นใจเสมอ
ลองดูสิ.. ทำให้คนรอบข้างมีความสุขเวลาที่มีเรา
ถ้าเธอทำได้เขายิ้มได้..ทำให้เขาคิดถึง..
ทำให้เขาผูกพัน..เธอก็จะรู้ว่า..
นี่คือกำลังใจที่ดีที่สุด ที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย
ทำให้เรารักตัวเอง และทำให้เรารู้ว่า..
ลมหายใจของเรายังมีความหมายสำหรับใคร
...อีกหลายคน... "

แม่สอนว่า...
" ... เราควรให้คนอื่น
มากกว่าการที่คอยให้แต่คนอื่นหยิบยื่นให้เรา
ลองคิดดูสิ..
ถ้าเธอได้รับของขวัญจากใครสักคน
ที่เธอจะรู้จัก หรือไม่รู้จัก
บางทีอาจเป็นแค่สิ่งของที่ไม่มีค่าอะไรเลย
แต่ความรู้สึกที่ได้รับ มันตรงกันข้ามกับราคา
หรือสิ่งของที่คนอื่นหยิบยื่นให้เรามากกว่าเป็นสิบเท่า
ความรู้สึกนั้นนะ ไม่ใช่แค่ดีใจที่ได้รับของขวัญนะ
แต่มันเป็นความรู้สึกที่คิดว่า
เขาจำมันได้หรือ เขาคิดถึงเราด้วยหรือ
มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันนะ
ถ้าเธอเป็นผู้รับ แล้วเธอเป็นผู้รู้สึกดี
ขอให้เธอรู้ไว้ว่า คนที่เป็นผู้รับจากเธอ
เขาก็รู้สึกดีไม่แพ้กับเธอหรอกนะ
แล้วเธอจะรู้ว่าการทำให้คนอื่นมีความสุขได้
ตัวเธอเองนั่นแหล่ะที่จะมีความสุขยิ่งกว่า... "

ไม่สำคัญว่า แต่สำคัญที่ว่า

ไม่สำคัญว่า ... คุณขับรถยี่ห้ออะไร ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณเคยให้คนที่ไม่มี รถ นั่ง " มาด้วยกี่ครั้ง


ไม่สำคัญว่า ... คุณทำงาน ล่วงเวลามากขนาดไหน ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณ ให้ " เวลา" แก่ครอบครัว และคนที่รักมากแค่ไหน


ไม่สำคัญ ว่า ... คุณมีเสื้อผ้าทันสมัยกี่ชุดในตู้ ?

แต่ สำคัญที่ว่า ... คุณเคยให้เสื้อผ้าแก่คนที่ " ขาดแคลน " ใส่กี่ ชุด


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีฐานะอะไรในสังคม ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณ " วางตัว " ในระดับ ไหน


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีทรัพย์มากเท่าไหร่ ?

แต่สำคัญที่ว่า ... สิ่งที่คุณมี มันมี " อำนาจ" ชี้ขาดชีวิตคุณแค่ไหน


ไม่สำคัญว่า ... เงินเดือน สูงสุดของคุณเท่าไร ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณ ต้องสละ " อุดมการณ์ " เพื่อได้มันมาหรือไม่


ไม่สำคัญ ว่า ... คุณได้เลื่อนขั้นกี่ขั้นแล้ว ?

แต่สำคัญ ที่ว่า ... คุณเคย " สนับสนุน" ใครให้ได้เลื่อนขั้น บ้าง


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีตำแหน่งการงานอะไร ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณทำงานสุด " ความ สามารถ " หรือไม่


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเพื่อนกี่คน ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณเป็น " เพื่อน แท้ " กับใครบ้าง


ไม่สำคัญว่า ... คุณเรียกร้องและปกป้อง สิทธิของตัวเองอย่างไร แต่สำคัญที่ว่า ... คุณ ทำอะไรเพื่อ " ช่วยและปกป้อง " สิทธิคนอื่น


ไม่สำคัญ ว่า ... สิ่งที่คุณทำสอดคล้องกับคำพูดของคุณกี่ครั้ง ?

แต่สำคัญที่ว่า ... มีกี่ครั้งที่คำพูดของคุณ " ไม่สอด คล้อง " กับการกระทำ

สำคัญที่สุดเท่าที่ผม คิด

คือ ทำแล้ววันนี้มันมีความ สุข

(
ที่อบอุ่น ที่แท้จริง คือ สุขที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่นอนผวา) มากแค่ไหน แหละ...

แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต
     1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน
ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม
่ไม่ค่อยหิว"นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม
>>> 2. เมื่อผมเติบโตขึ้น
คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำเพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติ
บโตของผมแม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน
ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม
แทะกินเศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้วผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า"ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา"
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม
>>> 3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม
เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้นแม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก
ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้านบางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี
2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว
พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"แม่ยิ้มกับผมพูดว่า
"ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หล ับ"ครั้งที่ 3
แล้วที่แม่โกหกผม
>>> 4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้ายแม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ
ห้ผมมันเป็นวันที่แดดร้อนมาก
ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม.เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว..แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่มผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อ
นแม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ"นั่นเป็นครั้งที่ 4
ที่แม่โกหกผม
>>> 5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิตคุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจ
ุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเ
พียงไรคุณลุงที่อยู่ข้าง
ๆบ้านท่านเป็นคนดีพยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้า
นที่ผุพัง..ฯลฯเพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน
ใหม่แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย
แม่พูดกับผมว่า"แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความรักอีก"แม่โกหกผมเป็นครั้งที่
5 แล้ว
>>> 6. ในที่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้างแต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้าขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง
ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล)แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคื
นให้ผมอีกแม่พูดกับผมว่า
"แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ"แม่โกหกผมเป็นครั้งที่
6
>>> 7. เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่ม
ีชื่อเสียงในอเมริกาเมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูงเมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมท
ี่อเมริกาเพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิตแต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า
"แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน"ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม
>>> 8. เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย
ๆ..ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โ
รงพยาบาลผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันทีแม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึงน้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโ
ทรมลงอย่างมากแม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น
ด้วยความลำบากผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืนจากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัวผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสารหัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุดแม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ"ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว"นี่เป็นครั้งที่
8 ที่แม่โกหก และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม>>>
แม่ที่ผมรักมาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับหลังจากที่เธอกล่าวคำโกหก
อย่าตัดสินหนังสือว่าดีแค่ปกสวยๆ...
อย่าบอกว่า...น่ารักเหลือเกินแค่คุยกันหนเดียว
คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ..ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกที ่ชอบไม่ได้
คนที่บอกว่าจะไม่แต่งงาน...มักแซงหน้าแจกการ์ดก่อนคน อื่นเสมอ

การชอบหนังสือสักเล่มก็ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่ม นั้นเนื้อหาดีทุกหน้า
การรู้สึกดีกับใครสักคน...ไม่จำเป็นว่าเขาต้องไม่มีขีอเสียอะไรเลย

อย่าเสียดายเวลาถ้าอ่านหนังสือบางเล่มจบแล้วพบว่า... ไม่ใช่แบบที่ชอบ
จงรู้สึกดี..กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็ม ที่
เพราะอย่างน้อยที่ผ่านมา ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแน่นอน
แม้วันหนึ่งจะรู้ว่าเขาหรือเธอคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด
เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
และพร้อมที่จะตามหาคนของเราต่อไป

การอ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลาเช่นเดียวกับที่... ..
เราไม่สามารถรู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก

หนังสือมีสิ่งต่างๆหลากหลายให้ศึกษา ทดลองอ่านดูก่อนที่จะตัดสินใจว่าน่าเบื่อ
บางครั้งสิ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์และมองผ่านมันไป
วันหนึ่งมันอาจจะมีค่าสำหรับเรา
แล้วในตอนจบก็จะรู้ว่าหนังสือประเภทไหนเหมาะกับเราที ่สุด
เหมือนกับความรัก....
ทุกครั้งที่เรามีความรักกับใครสักคนนั้น
แม้ทุกอย่างจะเดินมาถึงจุดจบ แต่คนทั้งคู่ย่อมได้รับอะไรจากสิ่งต่างๆผ่านมาโดย
ไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุดก็ได้บทเรียนที่มีค่าเพิ่มอีกบทหนึ่ง บทเรียนที่จะ
นำไปสร้างความรักครั้งใหม่ให้มีนรากฐานที่ดีกว่าที่ผ ่านมา
วันนี้เรามารู้จักวิธีการจัดการกับความเครียดดีกว่าเนอะถ้าไม่เครียดก็ไม่เป็นไร....(.สู้ๆๆตาย)
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด
หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น
ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะ และที่สำคัญ
ควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง

2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ
ให้พยายามใช้เหตุผล ตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ
เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว
ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย

3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า
ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น
จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ
ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม

4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลว
ผิดหวัง หรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ
ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้ว ยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย

5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้าง
รับรู้ความรู้สึก และความเป็นไปของคนอื่น และคนใกล้ชิด
ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า
ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นเรื่องเล็กนิดเดียว
เมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ จะทำให้เครียดน้อยลง
จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้
ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว
นิยามรัก*****
ความรักบางครั้งก็แปลกเวลาเราวิ่งตามบางครั้งมันก็มักจะวิ่งหนีเรา
แต่พอเราเหนื่อยและท้อไม่อยากจะตามมัน
เจ้าความรักนี่กลับมาหยุดอยู่ใกล้ๆเรานี่เอง
ฤาเราอาจจะเปรียบความรักได้กับเงาของมนุษย์
ที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้

ตราบที่เรายังมีชีวิตคงยากที่จะหลีกเหลี่ยงที่จะมีรัก
หลายคนคงพยายามที่จะให้คำจำกัดความกับความรัก
แต่แท้จริงแล้วคงยากที่จะจำกัดขอบเขตของความรัก
เพราะเราคงไม่สามารถใช้ข้อกำหนดอะไรมาเป็นตัวกีดกั้นความรัก
ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ อายุ
ถ้ามีคำถามว่าเมื่อไหร่ความรักจะเกิดขึ้นกับเราคงยากที่จะตอบ
แต่เราจะทราบด้วยสัญชาติญานเองว่าเมื่อไหร่ความรักกำลังเข้ามาเยี่ยมเยือนเรา
ในชีวิตคนเรานั้นคงไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้สัมผัสความรู้สึก
ว่าได้รักใครหรือกำลังถูกรักโดยใครบางคน

อย่างไรก็ตามคนทั่วไปต่างมุ่งหวังที่จะอยู่ในอารมณ์
ที่จะรักใครมากกว่าที่จะถูกรักโดยใคร
ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่ามนุษย์เราเคยชินกับการเลือกมากกว่าที่จะถูกเลือก
แต่ไม่ว่าจะเป็นอารมภ์ใดก็ตามกล่าวได้ว่าเป็นความรู้สึกที่ดีทั้งสิ้น
มีมนุษย์หลายคนที่เกิดมาโดยไม่รู้จักหรือสัมผัสกับความรัก
หรือบางคนไม่แม้แต่ที่จะรักใคร อารมภ์ความรักเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก
ไม่สามารถสอนกันได้ แต่สามารถสื่อสารกันได้ด้วยความรู้สึกล้วนๆ

ดังนั้นเมื่อใดความรักได้ผ่านเข้ามาเยี่ยมเยียมและได้จากเราไป
จงอย่าเสียใจ เพราะนั่นทำมันให้ท่านได้สัมผัสความวิเศษสุด
ในความเป็นมนุษย์อย่าสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตามอย่ากลัวที่จะรักอีก
และอย่าพยายามสร้างขอบเขตและข้อจำกัดในรัก
เพราะมิฉะนั้นเราอาจจะไม่พบและไม่เจอะเจอมันอีกเลย...

สิ่งที่จะทำให้รู้นิสัยของคนเรานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างและ กริยาท่าทางหรือความสนใจในบางสิ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกนิสัยของคนเราได้เช่นกัน
  อย่างการอ่านหนังสือก็สามารถบ่งบอกได้เช่นกันนะ ลองมาดูกันนะคะว่าจะตรงกับนิสัยของคุณหรือเปล่า

สมมุติว่าเราหยิบหนังสือมาหนึ่่งเล่ม หากเราเปิดอ่านแค่คร่าว ๆ

โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะอ่านรายละเอียดมากนัก แสดงว่าเป็นคนใจร้อน วู่วาม เวลาจะทำงานอะไรก็ จะไม่ค่อยละเอียดถี่ถ้วนนัก จะให้ความสนใจแต่เรื่องหลักๆ ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า นึกอยากจะทำอะไรก็จะลงมือเลยแบบตามใจตัวเองโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงมักจะมีเรื่องให้ผิดหวังอยู่เสมอ

เปิดอ่านแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ

แสดงว่าเป็นคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวสูง มักเอาแต่ใจตัวเอง นึกคิดอะไรก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ค่อยนึกถึงจิตใจผู้อื่นเท่าใดนัก แต่เป็นคนจิตใจดี ใจกว้าง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าใกล้หรือกล้าเข้ามาทำความรู้จักด้วย

ชอบอ่านทุกหน้าและทุกเรื่อง

จะเป็นคนใจกว้าง ยอมรับความคิดหรือสิ่งใหม่ ๆ ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นความคิดของใครก็ตาม เป็นคนที่ให้โอกาสคนอื่นสูง ความสนใจใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ และทันเหตุการณ์และหากสนใจในเรื่่องใด ก็มักจะทุ่มเทให้กับเรื่องนั้นเพื่อให้รู้จริง มีความคิดกว้างไกลมากและมักจะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง

ชอบออกเสียงเวลาอ่านหนังสือ

แสดงให้เห็นถึงการมีใจคอเปิดเผยจริงใจและซื่อสัตย์ต่อทุกคนที่คบด้วยและเป็น คนไว้ใจได้ไม่ค่อยมีพิษมีภัยกับใคร เป็น คนรักสงบ มีชีวิตเรียบง่าย สมถะ รักธรรมชาติ ถึงแม้จะไม่ใช่คนมีภูมิความรู้อะไรมากนักแต่ก็มีความน่านับถืออยู่ในตัว มีโลกส่วนตัวและมีโลกในอุดมคติของตัวเอง

ชอบขีดเส้นข้อความสำคัญเวลาอ่านหนังสือ

อุปนิสัยเป็นคนช่างจดจำและค่อนข้างยึดมั่นในตัวเอง สิ่งไหนที่เป็นของตนเองก็ไม่อยากให้ใครมาแย่งไป แต่ก็เป็นคนทำงานเก่งและทำได้ดี เพราะเวลาทำงานมักจะทำอย่างจริงจัง และไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ

ชอบพับขอบหนังสือ

เวลาอ่านหนังสือค้างไว้มักจะใช้วิธีพับขอบแทนการใช้ที่คั่นหนังสือ แสดงว่าเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่เมื่อได้ลงมือทำอะไรก็มักจะทำอย่างจริงจัง หมกมุ่นจนทำสำเร็จ ไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างนัก ดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัวแต่ที่จริงเค้าไม่เก่งเรื่องโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองซะมากกว่า ยิ่งเวลามีคนมาขอความช่วยเหลือเค้าก็จะพร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ จะลองสังเกตการอ่านหนังสือของคนใกล้ตัวดูก็ได้นะค่ะ จะได้รู้นิสัยเค้าด้วย
เรื่อง/หัวข้อ : ทองในอเมริกา ยังมีเหลือให้ขุดอีกหรือ? ตอนที่ 1

 

ตอนที่ 1 : การติดต่อกับระบบราชการของอเมริกา

ประเทศอเมริกาที่เราอาศัยอยู่นี้มีกฏหมายอยู่มากมายที่ประชาชนต้องปฎิบัติตามนอกเหนือจากกฎหมายแล้วยังมีกฎเกณฑ์ คำสั่งศาล คำสั่งจากประธานาธิปดี คำสั่งผู้ว่าการรัฐ กฎระเบียบของมณฑลหรือของเมืองที่เราอยู่อาศัยซึ่งอาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของพี่น้องชาวไทยที่นี่ไม่มากก็น้อย  หากมีคำถามหรือปัญหาขึ้นมาจะหันหน้าไปหาใครหรืออาจจะกระทำผิดกฎหมายด้วยความเคยชินหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราจะไปร้องเรียนกับใคร ติดต่อขอความช่วยเหลือจากใคร หรือต้องการติดต่อทำธุรกิจหรือขอใบอนุญาติจากภาครัฐ หรือในกรณีที่มีปัญหาเรื่องส่วนตัวกับครอบครัว(ภรรยา, แม่ยาย ) นายจ้าง เพื่อนบ้าน หรือกับภาครัฐบาล เราจะไปร้องเรียนหรือขอความเป็นธรรมได้ที่ไหน สิ่งหนึ่งที่พี่น้องไทยทุกคนควรจะจำไว้คือ ตราบใดที่เราๆอยู่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพแบบใดกฎหมายที่นี่ให้ความคุ้มครองเสมอภาคเท่ากันทุกคน บทความที่จะเสนอต่อไปนี้คาคว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบ้างตามสมควร อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนนะครับ (อย่าอ่านวันเดียวจบเอาไปวางไว้ในห้องน้ำ)

กฏหมายสูงสุดของประเทศนี้ คือ รัฐธรรมนูญ  Constitution
กฎหมายทุกฉบับในประเทศนี้เริ่มต้นมาจากรัฐธรรมนูญนี้ซึ่งเป็นแม่บทให้รัฐบาลกลางและมลรัฐต่างๆนำไปเป็นตัวอย่างเพื่อนำไปปกครองพลเมืองของตนเอง มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมบ้างและมีการควบคุมดูแลโดยแยกเป็นสามระบบซึ่งแต่ระบบมีอำนาจแตกต่างกันเพื่อการรักษาอำนาจและคานอำนาจซึ่งกันและกัน   เช่น

1. Congress สภา มีสองสภา
House of Representative มีผู้นำคือ    House speaker ได้รับเลือกมาจากสมาชิกด้วยกัน จำนวนสมาชิกมี 345ที่นั่งจากทั่วประเทศ มาจากการเลือกตั้งจากเขต ติดต่อหาดูได้ตามห้องสมุดว่าในเขตที่คุณๆอยู่อาศัยนั้นใครคือตัวแทนของคุณ เช่นเดียวกันเขาจะมีสำนักงานรับเรื่องร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับภาครัฐหรือเอกชน หน้าที่ใหญ่ๆ คือออกกฎหมายตรวจสอบผลงานของรัฐบาลกลาง ตรวจสอบการทำงานของประธานาธิบดีและกระทรวงต่างๆที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่าน รับร้องเรียนจากประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากภาครัฐ
U.S. Senate ผู้นำคือ Vice President มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน มีจำนวน 100 ที่นั่งจากทั่วประเทศ (จาก 50 รัฐ รัฐละ 2 ที่นั่ง) หน้าที่ใหญ่ๆ คือปลดประธานาธิบดีหากทำผิด ควบคุมการซื้อขายระหว่างประเทศ ออกกฎหมาย ควบคุมการใช้งบประมาณของรัฐบาลกลางดูแลกิจกรรมของทหาร ดูแลการซื้อขายอาวุธควบคุมดูแลนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลและประธานาธิบดี

2. Executive
มีผู้นำคือ President มาจากการเลือกตั้งเช่นกันหน้าที่ส่วนใหญ่คือเป็นผู้นำประเทศ และบริหาร 15 กระทรวง และองค์กรอิสระ รวมถึงรัฐวิสาหกิจทั้งหมดที่กล่าวนี้เรียกว่า Cabinet แต่ละกระทรวงก็มีรัฐมนตรีรับผิดชอบจะกล่าวถึงแต่กระทรวงที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเท่านั้น เช่น

Federal Government รัฐบาลกลาง

Department of state หน้าที่ใหญ่คือดำเนินกิจกรรมต่างประเทศ ออกพาสปอร์ตออกวีซ่าให้คนต่างด้าว ดูแลพลเมืองตนเองในต่างประเทศเปิดปิดสถานทูตหรือกงศุลติดต่อค้าขายระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล

Department of Treasury หน้าที่ใหญ่คือแนะนำเกี่ยวกับการเงินควบคุมการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศเก็บค่าธรรมเนียมสินค้าจากหน่วยงานเช่น u.s.custom พิมพ์ธนบัตรหรือเหรียญทำหน้าที่คุ้มครองประธานาธิบดีหรือนักการเมืองระดับสูงติดตามตรวจสอบธนาคารต่างๆเรียกเก็บภาษีที่เรารู้จักกันดีในนาม I.R.S.

Department of Defense ดูแลกิจกรรมของทหารทุกเหล่าทัพ

Department of Justice ดูแลในเรื่องกฏหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญ จนถึงกฎหมายของท้องถิ่นทั่วประเทศ ทำหน้าที่เป็นทนายให้กับรัฐบาลกลางหากมีการฟ้องร้องจากรัฐบาลท้องถิ่น ทำการเปลี่ยนแปลงสัญชาติของคนต่างด้าวและดูแลชาวต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศ ที่รู้จักกันดีคือ Immigration  ดูแลควบคุมสถานราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง (นักโทษที่ทำผิดกฎหมายรัฐบาลกลาง เช่นปล้นธนาคาร หรือก่ออาชญกรรมระหว่างรัฐ )

Department of Interior ดูแลวนอุทยานของชาติปกป้องสัตว์ป่าเก็บเงินค่าเข้าวนอุทยาน ควบคุมดูแลคนพื้นเมือง (อินเดียนแดง )

Department of Agriculture ดูแลผลิตผลทางเกษตรกรรมให้ความช่วยเหลือรับซื้อผลผลิตเมื่อราคาตกต่ำให้เกษตรกรรมกู้ยืมเงินลงทุนตรวจสอบผลการผลิตในด้านอาหารแยกประเภทหรือระดับการผลิต grade บริจาคอาหารให้แก่ผู้มีรายได้น้อยหรือยากจน จัดระดับการบริโภคว่าอาหารประเภทใดมีคุณค่า ควบคุมการปิดสลากตามสิ่งบรรจุของอาหารรู้จักกันดีในชื่อ FDA และ USDA

Department of Commerce ดูแลเกี่ยวกับการค้าขายภายในประเทศและนอกประเทศรับจดทะเบียนการค้าและจดทะเบียนลิขสิทธ์ patent รายงานภูมิอากาศเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างถนนหนทางเพิ่มและแนะนำการท่องเที่ยวให้กับประชาชน

Department of Labor ดูแลเกี่ยวกับการใช้แรงงานของประชาชนในเรื่องค่าจ้างและค่าล่วงเวลาดูแลเรื่องความปลอดภัยในที่ทำงานป้องกันและปกป้องอุบัติเหตุควบคุมเรื่องการรังเกียจผิวในที่ทำงานดูแลคนงานเวลาตกงานจัดฝึกสอนอาชีพใหม่ ที่คนงานต้องการเปลี่ยนงาน

Department of Health and Human Service ดูแลและควบคุมเกี่ยวกับโรคติดต่อหรือโรคระบาดดูแลคนพิการและมีหน่วยงานที่รู้จักกันดีคือ Social Security

Department of Housing and Urban Development ดูแลเกี่ยวกับการสร้างบ้านให้คนจนอยู่อาศัย ค้ำประกันเงินกู้สำหรับสร้างบ้านหรือซื้อบ้านควบคุมดูแล
บริษัท  Real-estate และคุ้มครองการซื้อขายทั้งสองฝ่าย

Department of Transportation   ควบคุมการสัญจรและกิจการขนส่งระหว่างรัฐควบคุมและดูแลสนามบินทั่วประเทศสร้าง Freeway ดูแลและรวบรวมกิจการรถไฟ ควบคุมการสัญจรทั้งทางบก น้ำ อากาศ มีหน่วยงานที่รู้จักกันดีคือ Coast-Guard

Department of Education ดูแลการสอนเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมส่งเสริมการศึกษาเพื่อให้นักเรียนมีคะแนนสอบดีขึ้นให้เงินทุนหรือรับประกันเงินกู้สำหรับเรียนหนังสือ

Department of Energy   ดูแลเกี่ยวกับพลังงานควบคุมบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับกับพลังงานออกใบอนุญาติให้บริษัทต่างๆ ควบคุมและออกกฎข้อบังคับเพื่อประหยัดพลังงาน

Independent Agency องค์กรอิสระ และรัฐวิสาหกิจ อีกมากมายเช่นเดียวกันจะกล่าวถึงหน่วยงานที่สำคัญ เช่น

Commission of Civil Right ดูแลเรื่องการรังเกียจผิวทั่วประเทศทั้งด้านเอกชนและภาครัฐ

Consumer Product Safety ดูแลเรื่องความปลอดภัยของเครื่ยงใช้ไม้สอยต่างๆที่ผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายและอาหารสำเหร็จรูปบางประเภท

Environmental Protection Agency ดูแลเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ สารพัด ควบคุมโรงงานผลิตเพื่อป้องกันโลกไม่ให้สกปรกมากกว่าที่เป็นอยู่

Government Corporation รัฐวิสาหกิจ เช่น

FDIC ทำประกันเกี่ยวกับการเงินฝากบัญชีของลูกค้าธนาคารกับธนาคารโดยตรง หากธนาคารนั้นล้มเลิกกิจการ ซึ่งมีจำนวนจำกัดในแต่ละบัญชีสอบถามธนาคารของตนเอง
Federal Resave Board ดูแลกิจกรรมของธนาคารในเรื่องของดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ รับฝากเงินจากธนาคารต่างๆ ให้ธนาคารกู้ยืมเงิน
Small Business Administration ให้คำปรึกษาแนะนำประชาชนในด้านการค้าขายรายย่อยรัปประกันเงินกู้ คุ้มครองผู้ค้าย่อย
U.S. information Agency แนะนำกิจกรรมของรัฐบาลกลาง พิมท์หนังสือและเอกสารหรือออกรายการวิทยุเพื่อให้ประชาชนรับทราบว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรและมีกฎหมายหรือข้อบังคับใหม่ๆออกมา
United Postal Service ส่งจดหมาย พัสดุให้ประชาชน
Veterans Admmistration ดูแลพวกทหาร ผ่านศึก มีโรงพยาบาล รับประกันเงินกู้เพื่อซื้อบ้านหรือสร้างบ้าน เรียนหนังสือต่อในมหาวิทยาลัย

หลังจาก September 11 ได้มีกระทรวงเพิ่มขึ้นใหม่หนึ่งกระทรวงโดยดึงหน่วยงานสำคัญต่างๆจากกระทรวงอื่นมารวมกัน (ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม) มีชื่อว่า Homeland Security

1.        U.S.Customs Service จาก Depts. treasury
2.        Immigration จาก Depts. Justice
3.        Federal Protective Service
4.        Transportation and Security จาก Depts. Transportation
5.        Federal Law Enforcement Training Center จาก Depts. Treasury
6.        Animal and Plant Health Inspection Service จาก Depts. Agriculture
7.        Office for Domestic preparedness  จาก Depts. Justice
และยังมีหน่วยงานอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวของหรือประสานงานกันเช่น   U.s.coast guard, FBI, Border patrol, Inspector Genaral, U.S.Secret Service รวมถึงรัฐบาลท้องถิ่นที่ทำหน้าที่ปกครองและปราบปราม เช่น ตำรวจ นายอำเภอ

3. Judiciary   ศาลรัฐบาลกลาง แบ่งออกไปอีก 3 ศาลใหญ่ๆ

Supreme Court มีผู้นำคือ Chief of Justice มีผู้ร่วมงานอีก 8 ท่านหน้าที่ใหญ่ๆคือรับคำฟ้องร้องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ได้ผ่านจากศาลชั้นล่างมาแล้วการตัดสินจากศาลนี้ถือว่าสิ้นสุดของการฟ้องร้อง

Court of Appeals มีทั้งหมด 12 ศาล ทั่วประเทศ รับเรื่องจากศาลชั้น
ล่าง

District Court เป็นศาลชั้นต้นในระบบรัฐบาลกลางที่รับเรื่องในทุกแง่มุมของกฏหมาย เช่นเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาลกลาง ในด้านการพานิชย์ หรืออาชญกรรม มีทั้งหมด 94 ศาล อย่างน้อยรัฐละหนึ่งศาล รวมถึงเมืองขึ้นของอเมริกา เช่น เมีองหลวง Virgin Island, Guam, Pueto Rico, และดูแล Bankruptcy Court ด้วย ยังแยกออกไปอีก 2 ศาลเช่น Court of International Trade, The United State Court of Federal Claim ทำหน้าที่ควบคุมและดูแลในเรื่องการทำสัญญาต่างๆที่ภาครัฐกับบรรษัทต่างชาติ หรือบรรษัทในประเทศที่มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลกลาง

Local Government รัฐบาลท้องถิ่น
1. State   มลรัฐ     มีทั้งหมด 50 มลรัฐ และเมืองขึ้นอื่นๆอีก จะกล่าวถึงมลรัฐเท่านั้นแต่ละรัฐมีธรรมนูญของตนเองแต่ต้องไม่ขัดกันกับรัฐธรรมนูญของประเทศมีการปกครองโดย Governor
( ผู้ว่าการรัฐ ) เป็นผู้นำ มีสองสภาเช่นกัน มีระบบศาลของตนเอง มีกระทรวงต่างๆมากมายซึ่งบางรัฐอาจจะมีมากกว่ารัฐบาลกลางขึ้นอยู่กับขนาดของรัฐนั้นๆ มีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของพลเมืองในรัฐนั้นๆ จะกล่าวถึงรัฐ California เท่านั้น รัฐนี้มีกระทรวงประมาณ 100 กว่ากระทรวงจะกล่าวถึงเฉพาะกระทรวงที่เราๆอาจจะต้องมีกิจกรรมหรือมีปัญหาที่ต้องร้องเรียนหรือติดต่อราชการการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะรัฐนี้ยุ่งยากและใช้เวลามากที่สุด บางอย่างเราจะทำธุระกิจหรือเปิดกิจการอาจจะต้องวิ่งไปมาหลายหน่วยงาน อันนี้ยังไม่รวมถึงรัฐบาลท้องถิ่นอื่นๆอีกจะกล่าวถึงต่อไป

ในรัฐนี้มีกระทรวงที่ขึ้นตรงกับผู้ว่าการรัฐและหน่วยงานอื่นที่ควบคุมโดยนักการเมืองและองค์กรอิสสระอีกมากมายเริ่มต้นกระทรวงที่ขึ้นตรงคือ (หัวหน้าหน่วยงานนี้มาจากการแต่งตั้งจากผู้ว่าการรัฐ)

California Lottery คือหน่วยงานที่ออกสลากกินแบ่ง รายได้ส่วนใหญ่นำไปสนับสนุนในด้านการศึกษา

National Guard คือกองกำลังของผู้ว่าการ เป็นหน่วยทหารกึ่งพลเรือนส่วนใหญ่จะเป็นอาสาสมัครแบบมีเงินเดือน และรับงบประมาณจากรัฐบาลกลางบ้าง เรียกออกมาใช้ได้เฉพาะมีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น เช่นมีการจาราจล หรือมีสงครามภายนอกประเทศรัฐบาลกลางจะขอกำลังมาเอง หน่วยงานนี้ขอแนะนำลูกหลานไทยที่เป็นพลเมืองของรัฐนี้ควรจะอาสาสมัครเข้าไปผลประโยชน์ที่ตามมามากกมาย ใครอยากทราบติดต่อโดยตรงได้ตามสถานที่รับสมัครทหาร เป็นงานอดิเรกเท่านั้นเดือนละครั้ง ปีละสองอาทิตย์หากมีงานประจำอยู่แล้วทางนายจ้างเขาก็อนุญาตลางานเพื่อกิจนี้ได้โดยไม่มีข้อแม้ (หากใครต้องการถามว่ามันดีตรงไหนติดต่อมาได้ที่สภาหอการค้าไทยมีคำตอบที่เป็นประโยชน์ให้) ตอบในนี้ไม่ดีเดี๋ยวหน่วยงานเกี่ยวกับรักษาความปลอดภัยและรักษากฎหมายหมั่นใส้เอา

Depts. Personal ควบคุมการทำงานของข้าราชการ เปิดรับสมัครเพื่อบรรจุข้าราชการและอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการทุกๆกระทรวง หากต้องการว่ามีงานอะไรที่เปิดรับเข้าไปหาดูไดที่ www.spb.ca.gov/

Office of the Inspector General ควบคุมดูแลสถานที่คุมขังนักโทษรับคำร้องเรียนจากข้าราชการหรือ ประชาชนทั่วไปในเรื่องของการโกงกินรับสินบน หรือหน่วยงานของรัฐที่ละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลาง ตรวจสอบบัญชีการใช้จ่ายของมลรัฐและท้องถิ่นอื่นๆ

Office of the State Public Defender ควบคุมดูแลและแก้ต่างให้พลเมืองที่มีรายได้น้อยที่จะว่าจ้างทนาย ดุแลนักโทษที่คุมขังในเรื่องความเสมอภาครับเรื่องร้องเรียนจากนักโทษที่เกี่ยวกับความเป็นธรรมจากระบบศาลต่างๆของมลรัฐ

Depts. of Alcoholic Beverage Control ควบคุมดูแลการออกใบอนุญาติเครื่องดื่มที่มีของมึนเมาผสมอยู่ ซึ่งมีอยู่ 80 กว่าชนิด ติดต่อได้โดยตรงว่าของดื่มประเภทนี้ต้องมีใบอนุญาตชนิดใดและต้องจ่ายภาษีหรืออากรประเภทใด

Depts. of Corporations ควบคุมดูแลในการออกใบอนุญาติกับกิจการนายหน้า Broker and Dealers ในการแนะนำการลงทุนหรือกิจกรรมต่างๆของธนาคารรวมถึงบริษัท Mortgage, Saving and Loan, Escrow, Investment.

Depts. of Finance Institution ควบคุมดูแลในกิจการของ Bank, Credit Union, Trust, Saving and Loan, และธนาคารต่างชาติในรัฐและธุระกิจ Travel check, money order

Depts. of Housing and Community Development ดูแลและสร้างสถานที่อยู่อาศัยให้กับพลเมืองที่มีรายได้น้อย เพื่อให้เช่า หรือ ซื้อ

Depts. of Motor Vehicles ควบคุมการทำใบอนุญาติขับขี่ยานพาหนะลงทะเบียนต่างๆ ออกใบประจำตัวสำหรับพลเมืองของรัฐ (I.D.card)
เก็บข้อมูลของพลเมืองรัฐ ในด้านอุบัติเหตุ ใบสั่ง ประวัติการขับขี่ และใบทะเบียนยานพาหนะและอื่นไว้อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการยานยนต์ ( ใบอนุญาติขับขี่ขณะนี้ขั้นตอนในการขอสำหรับคนต่างชาติที่เพิ่งเข้าอยู่) ลองติดต่อกันเองว่าต้องมีหลักฐานอะไรบ้างที่จะต้องนำไป

Depts. of Real-estate ดูแลกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ออกใบอนุญาติให้กับนายหน้า หรือตัวแทนต่างๆในด้านนี้

Depts. of the California Highway Patrol ตำรวจทางหลวง
ดูแลการใช้ถนนหลวง ออกใบสั่ง ช่วยเหลือ ดูแลความปลอดภัย ตรวจสภาพของรถบรรทุก และปราบปรามอาชญกรรมเหมือนตำรวจทั่วๆไป ติดตามต่อไปในรัฐบาลท้องถิ่น เช่น มลฑลและ เมืองต่างๆ

Depts. of Transportation ดูแลออกใบอนุญาติสำหรับการขนส่ง สร้างและซ่อมทางหลวง รักษาความสะอาด ติดตั้งป้ายบอกเส้นทางและซ่อมแซมและอื่นๆที่เกี่ยวกับทางหลวง

Depts. of Environment Protection Agency ดูแลควบคุมมลภาวะของรัฐตั่งแต่ดินถึงฟ้า และการใช้สารเคมีต่างๆ ป้องกันและแนะนำหรือให้ใบสั่งกับภาคเอกชนและภาครัฐเมื่อมีการละเมิดกฏหมายทางด้านมลภาวะ ซึ่งแบ่งแยกออกไปอีกหลายหน่วยงานหากนำมาใส่ไว้ในนี้ปวดหัวเปล่าๆ ออกใบอนุญาติประกอปกิจการให้กับภาครัฐและเอกชนทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการทำธุระกิจเกี่ยวกับ อากาศ น้ำ สารเคมี และอื่นๆอีกมาก

Depts. of Forestry and Fire Protection หน้าที่ตรวจตราดูแลป้องกันไฟ และอื่นๆในที่ดินของมลรัฐ (state land) จะเห็นพวกนี้ได้เวลาไฟไหม้ป่าทั่วๆไป คนทั่วไปอาจจะไม่เห็นความแตกต่างของการดับไฟ พนักงานดับเพลิงนั้นมีอยู่หลายประเภทแยกแยะกันออกไปตามแต่ละหน่วยงานของรัฐบาลท้องถิ่นนั้น (ติดตามไปเรื่อยๆในระบบงานของรัฐบาลท้องถิ่น) หน้าที่อื่นๆ เช่นดูแลอุทยานของรัฐหรือแหล่งท่องเที่ยวของมลรัฐในที่ต่างๆ

Depts. of Consumer Affairs ดูแลการออกใบอนุญาติ (license) ให้แก่งานอาชีพที่มีทักษะหรือมีความชำนาญในสายอาชีพ มีกว่าร้อยใบอนุญาติ ตัวอย่างเช่น บัญชี ซ่อมรถ ช่างซ่อมต่างๆ รับเรื่องราวร้องเรียนจากผู้บริโภคที่มีปัญหากับงานสายอาชีพนี้ หรือกิจการของธุระกิจที่ลูกค้าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อขายกัน ติดต่อได้ที่ ๑-๘๐๐ -๙๕๒-๕๒๑๐ หรือที่ www.dca.ca.gov/ และยังมีองค์กรอิสระที่คอยดูแลควบคุมในภาคธุระกิจต่างๆ เช่น (มีหัวหน้าหน่วยงานมาจากการเลือกตั้งจากพลเมืองรัฐ)

Board of Architectural การเขียนแบบแปลนต่างๆ

Board of Contractors ผู้รับเหมาก่อสร้างต่างๆ

Board of Equalization ควบคุมดูแลออกในประกอบธุระกิจที่คนทั่วๆไปรู้จักว่า seller permits ซึ่งแยกต่างหากกับ depts. of consumer affairs ข้างบน (อธิบายง่ายๆคืออาชีพต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องมีใบประกอบอาชีพและถ้าไปเปิดกิจการของตัวเองขึ้น เช่นมีอาคารหรือสำนักงาน) ก็ต้องไปขอ seller permit ด้วย เข้าใจแล้วหรือยังถ้ายังก็ไปทำงานให้คนอื่นเขาก่อนก็แล้วกัน (อ่านดูดีๆอันแรกเรียก ใบอนุญาติประกอปอาชีพ อันหลังนี้เรียกว่าใบประกอปการค้า) และมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่า sale tax จากธุระต่างๆ ที่เรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อเราได้ขายสินค้านั้นๆออกไป มาตราการเรียกเก็บจากลูกค้าก็แตกต่างกันนิดหน่อยอยู่ที่ธุระกิจนั้นตั่งอยู่ในมลฑลไหนของรัฐเวลาเขาส่งใบรายงานการเก็บภาษีนี้มาเขาจะมีตารางมาให้ นอกเหนือจาก นี้แล้วก็ยังมีการเรียกเก็บภาษีอื่นๆอีกสำหรับผู้มีกิจการ เช่น excise tax ,tobacco tax และอื่นๆอีกหากมีคำถามหรืออยากรู้เพิ่มเติมสอบถามมาได้ที่ สภาหอการค้าไทย ( คนอื่นเขารออ่านอยู่และต้องพิมท์แบบจิ้มดูดด้วย )

Board of Vocational nursing, Register, Pharmacy, Automotive ดูแลเกี่ยวกับการซ่อมแซมยามยนต์และธุระกิจที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะละะการขายรถใหม่หรือเก่า, and Barbering and Cosmetology ดูแลเกี่ยวกับการตัดผม การเสริมสวย ทำเล็บ และการใช้หรือผลิตภัณฑ์เคื่องสำอาง และอีกประมาณ ๑๐ กว่าหน่วยเอาแค่นี้เพราะที่เหลือไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของพี่น้องไทย (ใจเหี้ยมหาญไว้ ยังไม่หมดนี่แค่น้ำจิ้มเท่านั้นหากรักจะอยู่และทำมาหากินในรัฐนี้ ธุระกิจใหญ่ๆ เขาย้ายออกไปกันเกือบหมดแล้วเหลือแต่ธุระกิจเล็กๆ เพราะขั้นตอนในการเปิดธุระกิจยุ่งยากและซับซ้อนมาก )

หน่วยงานต่อไปหัวหน้ามาจากการเลือกตั้งจากพลเมืองของรัฐ

LT.Governer มีหน้าที่ดูแลกิจกรรมของมหาวิทยาลัยต่างๆของรัฐ และรอ ให้ผู้ว่าการมีอันเป็นไปก่อนเวลาเพื่อเข้าไปเป็น ผู้ว่าการแทน
Secretary of State ดูแลการเลือกตั้งของรัฐตัวเองและการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐบาลทุกระดับ ดูแลออกใบอนุญาติ Notary Public (คือคนที่คุณไปให้เขารับรองลายเซนต์ว่าเป็นของคุณในใบสำคัญต่างๆ) บางท่านอาจจะไม่ชอบพวกนี้เพราะปลอมลายเซ็นต์ภรรยาตัวเองไม่ได้ และดูแล Museum, รับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด รับจดทะเบียนให้กับองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรหรือองค์กรศาสนาต่างๆเป็นต้น
Attorney General ดูแลและควบคุมธุระกิจต่างๆในการผูกขาด ออกใบอนุญาติสำหรับกิจการขึ้นเงินจาก เช็ค ดูแลเรื่องการขายการตลาดทางโทรศัพท์ (Do not call) ควบคุมบ่อนการพนัน ติดตามผู้ต้องขังเมื่อหลบหนี ดูแลป้องกันการละเมิดทางเพศ การรังแกทางเพศ ดูแลป้องกันการรังแกเด็ก แนะนำภาครัฐในด้านกฎหมาย รับคำร้องเรียนในการโกงกิน ครอรัปชั่นต่างๆ การใช้เงินผิดประเภทขององค์กรต่างๆ
State Treasurer ดูแลการเงินของรัฐจ่ายเงินค่าใช่จ่ายให้รัฐ
State Controller ดูแลทรัพย์สินของรัฐ ดูแลพินัยกรรมของพลเมือง รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ไม่มีเจ้าของหรือหาเจ้าของไม่ได้
The Insurance Commissioner ควบคุมดูแลการประกันภัยตั้งแต่บ้านเรือน ร้านค้า ยานยนต์ พนักงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงาน ดูแลการคดโกงจากบริษัทประกันภัย หรือประชาชนโกงบริษัทประกันภัยและอื่นๆที่เกี่ยวกับการประกันภัย

สภา มีสองสภาเรียกชื่อต่างกันกับรัฐบาลกลาง

1.        State Assembly Member มาจาการเลือกตั้ง
2.        State Senate มาจากการเลือกตั้ง
ขอข้ามขั้นตอนนี้เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิติประจำวันน้อยมาก

Court ศาลของรัฐ
มี Family court, Small claim court, Juvinile court, Criminal court, Traffic court, and Jury Duty, และศาลใหญ่อีก 3 ศาล คือ Supreme Court, Appeal court, Trial court,ระบบศาลในประเทศนี้ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ระบบคณะลูกขุนเเป็นคนตัดสินผิดหรือถูกและผู้พิพากษาแค่เป็นคนลงโทษตามที่ลูกขุนเสนอขึ้นมา เช่นเดียวกัน  รายละเอียดและขั้นตอนขอผ่านไปเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจึงต้องมีทนายความไว้แก้ต่างให้ เอามาเขียนเสียหมดแล้วเขาจะหางานอะไรทำกันละ พยายามทำตัวเป็นประชาชนที่เคารพกฏหมายก็ไม่ต้องไปมีเรื่องมีราวกับศาลไหนจะเสียเงินเสียเวลาหรืออาจจะถูกจองจำ ประเทศนี้ไม่มีเส้นสายนะครับ รู้จักกับคนสำคัญหรือนักการเมืองที่นี่เป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์มากแต่อย่าไปทำผิดกฏหมายเข้าละหวังพึ่งเขานะครับรับประกัน  ตัวใครตัวมันละครับตอนนั้นกฎหมายของประเทศนี้เขาเคร่งคัดและปฏิบัติตามกันอย่างจริงจัง ( เดี่ยวจะหาว่าสุดหล่อไม่  
เตือน )
ยังมีองกรณ์อิสระอยู่อีกหนึ่งแห่ง คือ State Bar of California ดูแลและควบคุมและออกใบอนุญาติให้กับทนาย ความ หรือยึดใบประกอปอาชีพของทนายความที่ฉ้อโกงลูกความหรือทำผิดกับกฎข้อบังคับของ BAR รับร้องเรียนจากลูกความและแนะนำประชาชนทั่วไปในการว่าจ้างทนายความที่มีความชำนาญในเรื่องที่คนเหล่านั้นต้องการ

County มลฑล
มีอยู่ 2 ระบบ มีอำนาจออกกฎเกณท์หรือกฎข้อบังคับสำหรับพลเมืองของตนเองในมลฑลนั้นๆอาจจะรวมถึงเมืองต่างๆที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นเมือง (Incorporate) เอาไว้ทีหลังค่อยอธิบาย ควบคุมโดย (Board of Supervisors) มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน จำนวนกี่คนนั้นขึ้นอยู่กับมลฑลนั้นๆมลฑลที่รู้จักกันดี เช่น Los Angles, Riverside, Orange,ซึ่งเป็นมลฑลใหญ่ปรกครองในระบบ Charter Law County หน้าที่คือช่วยเหลือมลรัฐในการดำรงชีพ อำนวยความสะดวกในการขนส่งมวลชน ดูแลความปลอดภัย  และการครองชีพ รักษาและคุ้มครองกฎหมายของรัฐ มีสิทธิเลือก ตั้งเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ส่วนมลฑลเล็กๆอีกมากมายในรัฐนี้ก็มีการปรกครองแตกต่างกันเล็กน้อยเรียกว่า General Law County โดยใช้ธรรมนูญของรัฐเป็นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มลรัฐเป็นผู้จัดการและกำหนดกฎข้อบังคับหรือกฎเกณท์ต่างหรือมีผู้ปกครองในมลฑลได้กี่คน ( เอาแค่นี้ก่อนยิ่งเขียนมากท่านผู้อ่านอาจจะงงกันถึงเข้ารกเข้าพงไปเลยก็ได้)
เอาเป็นว่ามลฑลต่างๆที่เราอยู่ในอนาเขตของเขานั้นเขาให้อะไรเราบ้าง หรือเราต้องไปติดต่อกับใครหรือหน่วยงานไหนที่เราต้องการขอความช่วยเหลือ หรือเข้าไปใช้บริการ รัฐบาลท้องถิ่นระดับนี้จะเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของพลเมืองมากที่สุด เรียกว่า ตั่งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
มีห้องสมุด เลี้ยงดูเด็กๆที่พ่อแม่ทอดทิ้ง บริการรถเมล์ เก็บภาษีโรงเรือน  เก็บขยะหรือ ว่าจ้างเอกชนทำ   ดูแลที่ดินของมลฑล เช่น สวนสาธาระณะ ชายหาดทะเล ออกใบโฉนดที่ดิน  ออกใบเกิด   ออกใบประกอบการค้า (นอกเหนือจากภาคมลรัฐ) เห็นหรือยังละว่าใบอนุญาตทำไมถึงมากมาย ตรวจตราดูแลกิจกรรมเกี่ยวกับอาหารใหักับผู้บริโภค ตรวจตราร้านอาหาร ตลาด ดูแลผู้เจ็ปป่วยที่มีรายได้น้อย ออก ฟูดสแตมป์ ดูแลเรื่อง Welfare มีระบบศาลของตนเอง เช่น Traffic court ดูแลนายอำเภอ (sheriffs) รับเรื่องฟ้องร้องในการหย่าร้าง  ควนคุมดูแลผู้ต้องโทษเบา ดูแลสถานที่เติมน้ำมัน  ฉีดยาป้องกันโรคภัย  ลงทะเบียนเลือกตั่งตั่งแต่ท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ  สร้างถนน  ป้องกันไฟป่า ดูแลหน่วยดับเพลิง  ป้องกันเรื่องน้ำท่วม  รับเปลี่ยนชื่อ นามสกุลคัดเลือกลูกขุน ดูแลสัตว์จรจัด ดูแลชั่งตวงวัดต่างๆ และดูแลเมืองเล็กๆที่ยังไม่จดทะเบียนเป็นเมือง  (City) และอื่นๆอีกมากมายต้องการเรียนรู้ถึงการให้บริการหรือติดต่อส่วนใดของมลฑลนั้นๆเขามี Website  ของตนเอง  เข้าไปเรียนรู้กันเองได้ (ไม่ต้องมายืมจมูกของคนเขียน) หากไม่มีภาษาไม่ดีหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็ติดต่อมาที่สภาหอการค้าไทย ได้นะครับเรายินดีหาข้อมูลให้และจะตอบกลับไปเป็นภาษาไทยที่อ่านง่ายๆ การเข้าไปหาข้อมูลนั้นมันไม่ยากครับทุกหน่วยงานรัฐเขาจะจัดหมวดหมู่ในด้านสวัสดิการไว้แล้วกดดูไปตามนั้น หรือการติดต่อเพื่อขอใบอนุญาตต่างๆ จ่ายภาษีเขายิ่งยินดีรับใช้ ข้าราชการของประเทศนี้ ๙๙ เปอรเซ็นต์มีความสุภาพและต้อนรับประชาชนดีพอครับ  หากมีปํญหาร้องเรียนได้โดยไม่มีการ (อุ้มครับ) เช่นเดียวกันเราให้ความสุภาพก่อนก็ได้รับการตอบสนองเช่นกัน ต้องเข้าใจเขาครับวันหนึ่งๆเขารับเรื่องราวจากประชนเป็นจำนวนมากทุกคนที่มาติดต่อมีความต้องการเหมือนกันหมดคือ ต้องการให้เสร็จเดี่ยวนั้นบางครั้งมันเป็นไปได้ก็จบไป และการให้บริการยังมีอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวในนี้

City เมือง
ดังที่กล่าวไว้ต้นแล้วว่ามีระบบการปกครองสองระบบ บางเมืองยังขึ้นอยู่กับมลฑลแต่ก็มีการปกครองด้วยตนเองในเรื่องอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ส่วนใหญ่แล้วจะปกครองกันเอง ตัวอย่าง เช่น  Los Angeles (อย่าสับสนกับ Los Angeles County นะครับ) San Fancisco, Santa Monica, และเมืองใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงกันดีในรัฐนี้ข้อสังเกตุง่ายๆว่าเมืองไหนเป็นเมืองที่จดทะเบียนแล้วดูได้ว่าเขามีผู้ปกครองที่มีตำแหน่งเรียกว่า Mayor และมี City Council และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจของตนเอง หน้าที่ใหญ่ๆของเมืองคือ ดูแลการก่อสร้างบ้านเรือนต่างๆ ดูแลการเพิ่มเติมที่อยู่อาศัย หรือธุระกิจร้านค้า ดูแลบริการ น้ำ ไฟ ดับเพลิง เก็บขยะ สร้างสวนสาธารณะ  ออกใบประกอบการค้า ( เจออีกแล้วนะกับใบนี้) มีสถานที่ให้ความบันเทิง  โรงละคร  สระว่ายน้ำ สถานที่พักผ่อนและหย่อนใจอีกมากมายซึ่งแล้วแต่ขนาดของเมืองนั้นๆว่ามีประชากรมากน้อยเพียงใด ติดตามสอบถามได้ตามแต่ละเมืองของท่านเอง และควรไปลงทะเบียนกับ หน่วยงานที่เรียกว่า Recreation Center ของเมืองนั้นๆไว้ด้วยเขาจะได้ส่งปฎิทินหรือรายการรื่นเริงหรือกิจกรรมผลประโยชน์ต่างๆที่เขามีให้พลเมืองของเขาในแต่ละเดือนว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง

Unified school
ปรกครองโดย School Board มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน และมีครูใหญ่ปกครองแต่ละโรงเรียน (principal) เวลามีปํญหาเข้าไปร้องเรียนกับคนนี้ก่อน ยังไม่พอใจก็เข้าไปที่ school Board
ระบบโรงเรียน ทุกเมืองเขาจะมีโรงเรียนให้พลเมืองเรียนโดยไม่เสียเงินจนถึงระดับมัธยมปลาย ชั้น 12 และมีบริการโรงเรียนสอนผู้ใหญ่ หรือกิจกรรมสำหรับคนสูงอายุ

หวังว่าได้ความรู้กันบ้างนะครับว่าจะไปติดต่อกับหน่วยงานในภาครัฐกันอย่างไรเอาไว้เป็นคู่มือเล็กๆก็แล้วกัน

ทอม หงสกุล
e-mail [email protected]

 

http://www.dokya.com/forum/read.asp?tid=420

เรื่อง/หัวข้อ : ทองในอเมริกา ยังมีเหลือให้ขุดอีกหรือ? ตอนที่ 2

 

ดำรงชีพในอเมริกา


เมื่อปี คศ ๑๙๖๘ พ่อแม่ของลุงได้ส่งลูกชายคนโต(มีพี่สาวหนึ่งกับน้องๆอีกสี่) มาศึกษาต่อที่อเมริกาหลังจากจบพานิชย์โดยมีความหวังว่าจะนำความรู้จากที่นี่กลับไปรับใช้บ้านเกิด พ่อแม่ก็รอลุงกลับไปจนเสียชีวิตหมดทั้งคู่แล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ ปี คศ ๒๐๐๖ ลุงก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับป้ามีลูกสาวหนึ่งลูกชายหนึ่งและมีหลานปู่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแต่ก็ใกล้จะหมดภาระแล้ว (ขอกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดให้คุ้มกันกับที่จากมา ) ลูกๆเติบโตเริ่มขยับปีกบินกันเป็นแล้ว เวลาที่ผ่านมาที่นี่การเลี้ยงดูลูกๆที่นี่เป็นสิ่งที่ยากมากเพราะเลี้องดูในประเทศนี้มันขึ้นอยู่กับว่าเราตั่งรกรากส่วนไหนของประเทศนี้ชุมชนที่นี่มีหลากหลายซึ่งบางครั้งมีคำถามจากปากของลูกๆว่า ทำไม คนไทยต้องทำอย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ซึ่งบางครั้งตัวพ่อแม่เองก็หาคำตอบไม่ได้ตัวเราเองก็จากบ้านเกิดเมืองนอนตั่งแต่วัยรุ่นซึ่งได้รับและซึมซาบขนบธรรมเนียมไทยได้แค่อายุ ๑๘ ปี ก็ต้องเดินทางมาศึกษาต่อที่อเมริกา แต่ก็ผ่านพ้นมาได้โดยไต่ถามจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องหรือเวลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดถามไถ่จากพ่อแม่ ( ก่อนที่ท่านทั้งสองจะจากไป )

           เหตุจูงใจที่หนึ่งที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาเพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นปีที่ ๓๘ ที่อเมริกา และใช้ชีวิตคู่สมรสกับป้าเขามาย่างเข้าปีที่ ๓๒ เขาเป็นเพื่อนนักเรียนมาก่อนกลับไปขอเขาแต่งงานหลังจากมาอยู่ที่นี่มาได้ซัก ห้าหกปี ( ถ้าเขาฟ้องร้องว่าหลอกลวงเขาตอนนั้นป่านนี้ก็คงพ้นโทษมานานแล้ว) แต่เขาไม่ได้ฟ้องก็เลยต้องรับผิดชอบ มาจนถึงวันนี้ ชีวิตคู่ที่นี่ มีปัจจัยหลายอย่างที่ควรนำมาใช้ เช่น ความอดทน รับฟังความคิดเห็น ให้ความไว้วางใจ เคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน ผิดถูกในสายตาหรือความคิดอ่านของตัวเองไม่ได้หมายความว่าถูกเสมอปล่อยวางซะ ( ไม่มีวันที่จะชนะ ) ให้เขาตัดสินใจ( ส่วนมาก ) เขาจะถูก แนะนำกันก็พอ( อย่าไปขัดคอ ) หากผิดพลาดก็นำมาช่วยกันแก้ใข( อย่าซ้ำเติม ) และเป็นบทเรียนต่อไป โดยเฉพาะคนที่เป็นภรรยาเขาจะมองไปข้างหน้าไกลกว่าสามีมาก อะไรที่เกี่ยวกับอนาคตของครอบครัวปล่อยให้เขาจัดการไปเถิด เชื่อลุงนะทูลหัว อีกอย่างหนึ่งที่ลุงยืมเขามาใช้ ปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะเราเป็นเจ้าของมันอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุดคือ คนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ตรงหน้าเรา เพราะในอนาคตเราจะมีโอกาสอย่างนี้อีกหรือไม่ ภารกิจของคนเราคือทำให้ทุกอย่างให้มีความหมายมากที่สุด แม้บางสิ่งบางอย่างที่ผ่านมาหรือกำลังจะเกิดขึ้นเราไม่สามารถที่กำกับมันได้ แต่เราอาจจะเปลี่ยนจังหวะให้มันเร็วหรือช้าลงได้หรือเราทำให้ดีที่สุดแล้วสื่งที่ไม่ดีที่มันอาจจะเกิดขึ้นอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ทุกอย่างที่มันจะเกิดขึ้นนั้น มันขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง ถ้าเราสามารถกำกับตัวเองได้มันจะทำให้การเผชิญหน้ากับ ทุกข์และสุขได้อย่างเข็มแข็ง  เราก็จะเดินผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้อย่างสง่างามดีกว่าปล่อยให้ปัจจุบันที่เราเป็นเจ้าของมันผ่านไปเป็นอดีตที่ขมขื่น ซึ่งลุงได้ใช้ข้อเขียนนี้เป็นข้อดำเนินชีวิตของลุงกับทุกคนในปัจจุบันนี้ ธรรมดาของมนุษย์เราที่บางครั้งบางคราวออกนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่หากเดินเลี้ยวกลับมามันก็ควรที่จะอภัยกันได้บ้าง

           เหตุจูงใจที่สองลุงใช้ชีวิตในการหาเลี้ยงชีพที่อเมริกาโดยรับราชการมาตลอด เริ่มจากปี คศ ๑๙๗๐ เข้ารับราชการทหารบก( ขณะนั้นกองทัพบกที่นี่เขาต้องการอาสาสมัครเข้าเป็นทหารมากเพื่อไปสงครามเวียตนาม) ความเป็นหนุ่มอยู่ในวัยรุ่นเลยและขี้เกียจเรียนหนังสือก็เลยตามเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ที่พ่อแม่ส่งมาเรียนต่อ และนึกว่าจะได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆทั่วโลก เลยเข้าไปอาสาสมัครเป็นทหารบก ได้เรียนรู้ขั้นตอนของการจัดระเบียบตัวเองและการร่วมอยู่กันคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนโดยไม่มีการแบ่งแยกฐานะหรือผิว เรียนรู้ถึงกฏระเบียบของขั้นตอนการปกครองจากลูกน้องถึงเจ้านาย การประฏิบัติตามคำสั่ง หรือ ออกคำสั่งให้คนอื่นเขาไปปฏิบัตินั้น สิ่งใหญ่ๆคือ การออกคำสั่งให้คนรับไปนั้นเราชี้แจงละเอียดให้คนรับคำสั่งจากเราว่าเข้าใจแจ่มแจ้งไหม หากมีอะไรที่เกิดการผิดพลาดขึ้นมาได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องหรือไม่ ระหว่างที่ประจำการอยู่เลยได้โอกาสกลับไปบ้านเกิดและตามหาขวัญใจ (คู่กรรม) ตี๊อเขาจนใจอ่อนยอมแต่งงานด้วยเมื่อ ปี คศ ๑๙๗๔ ติดตามมาอยู่ด้วยที่มลรัฐฮาวายก่อน ป้าเขาเลยเข้าศึกษาขั้นปริญญาโทต่อและช่วยกันทำมาหากินกันทั้งคู่ ได้เรียนรู้ของการใช้ชีวิตคู่ในต่างแดนไม่ใด้ง่ายเลยต่างคนต่างเติบโตมาคนละอย่างยังไม่พอ มีกันแค่สองคนในต่างแดนเวลาติดขัดหรือมีปัญหาก็หันหน้าไปหาใครไม่ได้ สมัยที่อยู่รัฐฮาวายนั้นคนไทยด้วยกันหาทำยายากมีนักศึกษาไทยแค่หยิบมือเดียวเขาเรียนจบแล้วก็กลับบ้านไปส่วนคนไทยอื่นๆที่ทำมาหากินอยู่ที่นี่ก็น้อยมากอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่เลยต้องเรียนรู้กันด้วยตนเองทั้งคู่   
ภรรยา  ก็คือผู้หญิงที่เขาก็มีพ่อแม่พี่น้องโดยเฉพาะเป็นลูกสาวในครอบครัวของเขา จะรักและถนอมเขามาตั่งแต่เกิดจนเป็นสาว ครอบครัวเขาคงตั้งความหวังไว้สูงพอควรว่าคนที่จะเป็นสามีลูกสาวเขาต้องดีพอๆกับพ่อของเขาหรือไม่ก็ต้องดี กว่า เงินทองหรือฐานะคงไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่เขานำมาเป็นส่วนประกอปใหญ่ๆสิ่งสำคัญที่ครอบครัวเขาต้องการจาก เขยลุงว่าคิดว่า อย่าทิ้งขว้างหรือทำร้ายร่างกายเขา เอาเป็นอันว่าเราผ่านด่านต่างๆได้เขามาแล้วคนที่เป็นสามีก็คือพระเอกในสายตาของเขาอ้อมอกของสามีคืออ้อมอกที่มาทดแทนพ่อเขา หลังจากแต่งงานมาอยู่กินตามประสาชีวิตคู่แล้ว ข้าวใหม่ปลามันทุกอย่างดูสดใสไปหมดวันเดือนปีผ่านไปและหลังจากมีลูกๆตามมาอีกโขยงไอ้คนที่เป็นสามีเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองว่าทำไมทุกอย่างในชีวิตคู่ถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปได้จากอย่างไร นางเอกในชีวิตที่ตนเองได้ฝ่าพันทุกอย่างเพื่อได้เขามาครอบครองกลายเป็น ยายแก่ที่บ้าน ปลาร้าค้างปี ตุ่มเมืองสามโคก แม่มด สารพัดตั่งชื่อให้ภรรยา ไหนจะขี้บ่น จู้จี้จุกจิกหุ่นที่เคยหน้ากอดจูปทำไมถึงโอบกอดเข้าไปรอบเอวไม่ได้ ความจำไม่เคยเสื่อมเรื่องราวต่างๆที่สามีทำผิดไว้ตั่งแต่ปีมะโว้แม่คุณยังจำได้แม้แต่บางครั้งเรื่องราวนิดหน่อยที่เกิดขึ้นเราคิดว่ามันไม่มีสาระแต่ทำไมแม่คุณทำเป็นเรื่องระดับชาติไปได้ ยังไม่พอเวลานอนตื่นเช้าหากสามีตื่นก่อนมองไปที่คนนอนข้างๆสะดุ้งคุณยายที่ไหนมานอนอยู่ข้างๆแต่พอเข้าห้องน้ำส่องดูกระจกเลยรู้ว่านั่นเมียเราเองที่นอนอยู่ แถมตัวเองก็ดูเหมือนคุณตาเช่นกันนี่ และคนที่เป็นภรรยาเขาจะมีความรู้สึกละเอียดอ่อนมากกว่าเราในทุกเรื่องเขาจะมองไปกาลข้างหน้ามากกว่าเราประมาณสัก ๒๐ ถึง ๓๐ ปี เขาจะเริ่มวางอนาคตของครอบครัวโดยเฉพาะหลังจากมีลูกๆเขาจะเริ่มเก็บหอมรอมริบไว้แล้วสำหรับเผื่อวันฝนตกในข้างหน้านับจากวันที่ลุงแต่งงานกับป้าเขาจนถึงวันนี้ลุงได้มองคนที่เป็นภรรยาในอีกมุม(ความคิดของลุงคนเดียวนะ ) คือจากคนที่เป็นภรรยาพอเริ่มเป็นแม่คนทุกอย่างในชีวิตของเขาคือลูกๆ ( สามีตกอันดับไป )ไหนจะตั้งท้องประมาณ ๙ เดือน (ต่อคน )ระหว่างตั้งท้องก็ยังต้องปฎิบัติหน้าที่ของภรรยาไปด้วย พอคลอดเจ้าตัวเล็กออกมาแล้วก็มีภาระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งหากเขาต้องกลับไปทำงานอีกด้วยก็ยิ่งหนักเข้าไปอีกไอ้ข้อกล่าวหาตอนต้นๆ ตัวสามีนั่นแหละที่ทำให้เขาเป็นเช่นนั้นไหนจะซื้ออาหารการกินมาฝากเอาใจเขาตอนท้องไหน เอาใจเขาสารพัด (ก็เลยเป็นตุ่มเมืองสามโคก ) สามีจะโกหกหลอกล่อสารพัดเวลาหนีเที่ยวหรือกลับบ้านไม่ตรงตามเวลาที่เขากำหนดไว้  งานบ้านก็ช่วยเพียงออกไปตัดหญ้าที่สนามหน้าบ้านนิดหน่อย ( ๓ เดือนครั้ง ) เวลาเขาดูดฝุ่นที่บ้านก็แค่ยกเท้าหลบให้เขาดูดฝุ่น ก็เรียกร้องสารพัดว่าฉันทำงานมาทั้งวันเหนื่อยนะแม่คุณ ข้าวของเครื่องใช้ทั้งสามีและลูกๆก็ไม่เคยนำกลับไปเก็บเป็นที่เป็นทางแม้แต่เสื้อผ้าโดยเฉพาะของเราเองเราก็จัดประเภทให้เขาเปื้อนนิดหน่อยเอาไว้ใส่ได้อีกครั้ง สกปรกนิดหน่อยรอซักได้ สกปรกพอสมควรยังไม่ต้องซักกองไว้ตรงนี้ก่อนเวลาเขานำไปซักนำกลับไปเก็บเป็นที่เป็นทางก็โวยวาย ( ของฉันวางไว้ตรงนี้หายไปไหน ) กินอาหารตรงไหนก็วางไว้ตรงนั้นไม่ยอมล้างชาม ( เสียศักด์ศรี ) แถมยังกล่าวหาว่าภรรยาเป็นคนขี้หึงเวลาคนที่เป็นสามีหายหัวไปมีซักกี่ครั้งที่เคยบอกกล่าวหรือบอกกันล่วงหน้าว่าจะทำอะไรจะไปใหน เวลามีปัญหาจากที่ทำงานหรือจากข้างนอกก็วิ่งเข้ามาฟ้องภรรยาหวังให้เขาแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อไว้เวลาเจอผู้หญิงคนอื่นแม้แต่อยู่ต่อหน้าเขาก็แอบมอง( แถมยังไปหลงรักผู้หญิงอื่นทันทีเห็น ) เวลาเจ็ปป่วยนิดหน่อยก็ทำเหมือนกับว่าอาการหนักมากต้องพยาบาลเราแถมเวลาไปไหนด้วยกันโดยเฉพาะซื้อข้าวของพอได้ของตัวเองแล้วก็จะรีบกลับลุงนั่งเขียนอีกสามวันก็ไม่จบแต่ก็ยังไม่สายเกินแก้นะความรักที่ภรรยาเขามอบให้เรานั้นลุงคิดว่ามันไม่เสื่อมคลายหรอกลองคิดดูว่ามีใครในโลกนี้จะให้อภัยเราตลอด ทำผิดกี่ครั้งเขาก็ยังอดทนอยู่( แต่ไม่เคยลืม) ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราจะตอบสนองให้เขาใจเย็นลงหรือรักเราตลอดไปเพียงแค่นิดเดียว( ไม่กี่ร้อยข้อ ) ที่เราจะทำให้เขาชื่นใจและยกย่องเขา ชีวิตคู่จะมีความร่มเย็นขึ้นก็แค่ เวลาไปใหนเจอคนรู้จักให้แนะนำเขากับคนอื่นโดยแค่คำพูดของตัวเองไม่กี่คำ เช่น นี่คุณ สมใจ หงสกุล ภรรยาของผม หากเป็นคนต่างชาติ This is my wife Mrs Hongskula ใช้ชื่อนามสกุลเราเป็นคำนำหน้า หากต้องการให้เขาลืมไอ้สิ่งที่ก่อไว้ (ชั่วคราว ) นานๆแบบไม่ปี่มีขลุ่ยบอกเขาว่ารักเขาหรือซี้อของขวัญให้ หอมเขาที่แก้มตอนก่อนและตื่นนอน ชมเขาว่าสวยอยู่เสมอ ( แถมไปด้วยว่าสวยกว่าภรรยาของทุกคนที่รู้จักและภูมิใจมากที่ได้เขามาเดินเคียงข้าง ) พาไปทานอาหารนอกบ้านสองต่อสอง ถือของให้เขา เปิดประตูรถให้เขา (แต่ไม่ต้องปิดตอนออกรถ ) เล่าเรื่องตลกให้เขาฟัง ขอบคุณเขาเวลาเขาทำอะไรให้ ( อย่าพร่ำเพื่อ) อย่าลืมวันเกิดเขา ซื้อดอกไม้ให้เขาในวันสำคัญ ขอโทษเขาเมื่อทำผิด แค่นั้นแหละไม่ใด้มากมายเลย แล้วภรรยาหลานๆจะหนีไปไหน คงไม่ยากเกินไปนะคุณสามีทั้งหลาย เอากันแค่หอมปากหอมคอก่อนสำหรับภรรยา จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว ๓๒ ปีกับชีวิตคู่ของลุงกับป้าเขา (ผ่านไปเหมือนเต่าคลาน ) สองคนช่วยกันทำมาหากินได้ประมาณ ๗ ปีหลังจากแต่งงานถึงพร้อมที่จะมีลูกคนโต ( ลูกสาว ) เพราะต้องช่วยกันทำมาหากินไม่พอป้าเขาก็เรียนหนังสือต่อด้วยและช่วยกันออมทรัพย์  และลุงได้ปลดประจำการจากทหารบกในปี ค ศ ๑๙๗๖ จึงได้มีโอกาสเข้าศึกษาขั้นอุดมศึกษาต่อโดยทหารบกเป็นคนออกค่าเล่าเรียนให้ พร้อมกับเข้ารับราชการต่อกับมลรัฐฮาวายได้เรียนรู้ถึงระบบการปกครองและกฎหมายของประเทศนี้ ( อ่านเพิ่มเติมได้ในระบบราชการ ) โยกย้ายมารับราชการต่อที่มลรัฐแคลิฟฟอเนีย ในปี ค ศ  ๑๙๘๓ ระหว่างนั้นก็มีลูกคนที่สอง ( ลูกชาย ) ขณะที่เขียนนี้อายุ ๕๖  ข้าราชการที่นี่ปลดระวางได้ถ้าอายุ ๕๕ และอายุราชการเกิน ๒๐ปีขึ้นไป  ปลดระวางตัวเองเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๐๐๖ ที่ผ่านมา รับบำเน็จ และบำนาญแล้ว (เลี้ยงหลานปู่ต่อ แต่ก็ยังถูกรัฐบาลระดับมลฑลเชิญไปให้สอนหนังสือให้กับหน่วยงานบางหน่วย)  แต่ป้าเขายังลุยต่อ อีกปีสองปี (ยังสาวอยู่)  ชีวิตของการรับราชการของลุงในประเทศอเมริกาและใช้ชีวิตส่วนใหญ่กับสังคมคนอเมริกันเริ่มตั่งแต่เป็นลูกน้องจนเป็นเจ้านายของคนอเมริกันได้เรียนรู้และมีประสพการณ์มากพอสมควร ( เพราะต้องติดต่อกับหน่วยงานอี่นๆและภาคธุระกิจ ) ระบบครอบครัวของอเมริกันชนเป็นระบบที่ดูเหมือนกับรักสันโดษและต่างคนต่างอยู่โดยเฉพาะเพื่อนบ้านดูเผินๆต่างคนต่างอยู่แต่ถ้ามีปัญหาจากภายนอกเช่นอาชยากรรมเขาหรือมีเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขในเขตที่อยู่อาศัย เขาจะเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วยทันทีหรือดูแลบ้านเรือนให้เราหากเราไม่อยู่บ้าน ดูเปลือกนอกเหมือนกับไม่มีความผูกพันกับคนภายนอกและครอบครัวหรือที่ทำงานแต่ก็ไม่เชิง เขาเติบโตมาแบบช่วยตนเองและแบ่งแยกต้องเติบโตโดยการแยกครอบครัวออกไปเพื่อสร้างครอบครัวใหม่สร้างเมืองใหม่วันสำคัญถึงค่อยมาพร้อมหน้าพร้อมตากันเพื่อนๆที่ทำงานหรือลูกน้องวันสำคัญถึงมีการพบปะสังสรรกัน  หากมีปัญหากันในที่ทำงานระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือกับหัวหน้างานก็นำมาถกเถียงกันแก้ปัญหากันไม่ได้ก็นำเสนอให้ระดับบริหารให้ ตัดสินจบเรื่องกัน แล้วก็จบเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหัวหน้าจะรับฟังหรือหน่วยงานที่เหนือกว่าจะรับฟังความคิดเห็นที่ช่วยกันประหยัดงปประมาณหรือการป้องกันความปลอดภัยและอุบัติเหตุมีค่าตอบแทนกับความคิดเห็นให้กับข้าราชการที่เสนอมาหากได้รับความเห็นชอบ และข้าราชการที่อยู่ในระดับลูกน้องจะได้รับการคุ้มครองจาก union (สหภาพแรงงาน) ภาครัฐเองก็มี (กพ) ให้ความคุ้มครองกับข้าราชการชั้นผู้น้อยเขามีขั้นตอนที่ต้องปฎิบัติตามเมื่อมีปัญหาหรือการปกครองในสายงานเกิดขึ้น และระบบธุระกิจเป็นในรูปแบบของนายทุนและขยายกิจการออกไปคล้ายๆระบบครอบครัวและมีการแข่งขันกันสูงมากในธุระกิจระดับชาติโดยเฉพาะในด้านการบริการกับผู้บริโภค ( ธุระกิจต่างๆไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ของที่นี่จะมีการคืนกำไรให้ลูกค้าเสมอในรูปแบบของการบริจาค หรือตั้งมูลนิธิต่างๆ ) ส่วนทางภาครัฐเขามีรัฐธรรมนูญที่เป็นแม่บทของกฎหมายลูกๆของรัฐบาลท้องถิ่นทุกระดับ คนอเมริกันเขาหวงแหนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัดและมีระบบตรวจสอบและคานอำนาจกันเองทั้งในภาครัฐและจากทางภาคเอกชนมากมายและยังมีนักการเมืองที่เข้ามาตรวจสอบในการทำงานภาครัฐบาลตั่งแต่รัฐบาลกลางจนถึงรัฐบาลท้องถิ่น ( ลุงจะไม่กล่าวถึงในด้านนักการเมือง เพราะเป็นอีกระบบของการปกครองที่นี่ ) เขียนไปก็ยาวอีกเอาเพียงให้พอทราบอย่างคร่าวๆว่า นักการเมืองของประเทศนี้หลักใหญ่ๆเข้ามาเพื่อเป็นปากเสียงให้ประชาชนของเขาและออกกฏหมายเพื่อปกป้องและคุ้มครองประชาชนพร้อมกับ มอบนโยบายและตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ และยังมีระบบศาลอีกมากมาย ทั้งผู้รักษากฏหมายก็เช่นกันแต่ละท้องถิ่นจะมีการเลือกตั้งหรือแต่งตั่งกันโดยประชาชนในถ้องถิ่นเป็นคนตัดสินใจกันเองและมีระบบการให้บริการกับประชนมากมาย และให้ความสำคัญกับชีวิตของประชาชนเท่ากันหมดจะให้ความช่วยเหลืออย่างรีบด่วนเมื่อชีวิตของประชาชนเขาอยู่ในขั้นอันตราย ไม่มีคำว่าข้าพเจ้าขอรับผิดหรือชอบทั้งหมดแต่ผู้เดียว  ทุกๆแผนงานมีขั้นตอน ตัวลุงเองเริ่มทำงานจากพลทหารจนมาจนถึงผู้ตรวจราชการ (ก่อนปลดระวาง) มีคำถามว่ามีการคอรัปชั่นในภาครัฐและนักการเมืองไหมหรือมีพรรคพวกไหม คำตอบ มีบ้างแต่แต่น้อยมากในเรื่องนี้  ส่วนระบบพรรคพวกก็มีเช่นกันแต่จะออกไปในรูปของการตอบแทนบุณคุณกันไม่ค่อยมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง  ( โดยเฉพาะตำแหน่งของผู้รักษากฏหมาย ) อย่าไปลองของกับเขาเชียวนะเขาไม่เล่นด้วย ตำแหน่งงานต่างๆรัฐจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการรวมถึงสวัสดิการเพียงพอกับการดำเนินชีวิตและสูงมากกับข้าราชการระดับบริหารขึ้นไป  ข้าราชการที่นี่ตำแหน่งสูงต่ำแค่ใหนก็อยู่ในกฏระเบียบเช่นเดียวกันไม่มีการก้าวก่ายหน้าที่กันผู้บังคับบัญชาก็มีหน้าที่รับผิดด้านเดียว หน้าที่รับชอบก็คือลูกน้อง จะเห็นได้ว่าการรับรางวัลหรือคำชมเชยจะอยู่ในระดับต่ำจากผู้บริหารลงมาเท่านั้น การให้บริการของประชนจากภาครัฐมีมากมายภาษีที่เราๆจ่ายไปรัฐได้นำออกไปคืนให้ประชาชนในทุกรูปแบบมีขั้นตอนการนำเงินออกไปใช้ (หาอ่านเพิ่มเติมได้ในข้อเขียนระบบราชการ ) แจกฟรี

บทความต่อไปนี้ลุงหวังว่าคงมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหาหนทางอยู่หรือหากลุงตกหล่นบางอย่างไปคนที่รู้ก็ช่วยบอกกล่าวประสพการณ์ของตนเองให้กับคนไทยด้วยกันเพื่อเป็นวิทยาทานด้วยเถิด

           ๑. Bank vs Credit Union จะอยู่ที่ใหนก็ตามการใช้ชีวิตเพื่อจะให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอเมริกาสิ่งแรกก็คือการสร้าง เครดิตและเก็บรักษาไว้ให้ดีตลอด วิธีการสร้างเครดิตครั้งแรก คือการออมทรัพย์หลังจากจ่ายเป็นค่าดำรงชีพแล้วเงินที่มีเหลืออยู่บ้างมากน้อยก็แล้วแต่ฐานะของแต่ละคน จะนำไปไหนละ ที่กิจการของธนาคารมีมากมาย ตั่งแต่ Bank, Credit union, saving and loan etc.ที่นี้มาถึงปัญหาการเลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินว่าที่ไหนดีกว่ากัน (มีเงินทองมากก็น่าปวดหัวนะ) การเลือกสถาบันเหล่านี้หลักใหญ่ๆคือระหว่างBank หรือ Credit Union สถาบันไหนดีกว่ากันเพราะทั้งสองแห่งนี้มีประกันจาก FDIC ย่อมาจาก  Federal Deposit Insurance Corporation มันหมายถึงทางหน่วยงานนี้จะค้ำประกันเงินในบัญชีของแต่ละบัญชีของลูกค้าของสถาบันการเงินต่างๆที่เป็นสมาชิกของหน่วยงานนี้โดย เขาจะจ่ายเงินคืนให้ลูกค้าของสถาบันเหล่านี้บัญชีละไม่เกิน $100,000.00 ต่อบัญชี(หากมีเงินทองมากๆก็เปิดหลายๆแห่ง ) หากทางสถาบันเหล่านี้ต้องล้มเลิกกิจการหรือปิดตัวเองลง (checking or saving) เท่านั้นการประกันนี้จะไม่รวมถึงการให้บริการอื่นๆที่สถาบันการเงินนำเสนอขายให้ เช่น investment stock mutual fund annuitiesหรือเกิดไฟ้ไหม้ ถูกปล้น ถูกโกง มาถึงการตัดสินใจว่าจะนำเงินของเราไปเปิดบัญชีที่ไหนดีลุงให้คำตอบสั้นๆก็แล้วกันเช่น Bank หลานๆจะเป็นลูกค้าของเขา Credit Union หลานๆจะเป็นสมาชิกของเขา( ต้องการความรู้เพิ่มเติมก็ติดต่อไปที่สภาหอการค้าไทยได้นะ) ลุงจะไม่เขียนรายละเอียดในนี้ จะเปิดแบบสะสม saving account, ซึ่งมีมากมายหลายประเภท ประเภทกระแสรายวัน checking accounting, หรือประเภทลงทุนเขาจะนำเงินเราไปลงทุนเป็นตัวแทนเรา investment account. มีคำถามว่าคู่แต่งงานใหม่ๆควรจะเปิดบัญชีธนาคารและ Credit card ร่วมกันหรือไม่ คำตอบ บัญชีประเภท Checking ควรจะเปิดร่วมกัน เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในด้านบริโภคหรือค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆ เช่นค่าผ่อนบ้านค่าน้ำไฟอาหารการกิน ผ่อนค่ารถยนต์หรืออี่นๆที่ใช้ร่วมกัน ส่วนประเภท Saving ต่างคนต่างควรจะเปิดในชื่อของตัวเอง แต่ถ้าทั้งคู่มีงานทำและมีรายได้มากพอเพียงต่างคนควรจะมีบัญชีของตัวเองแยกออกไปอีกต่างหากทั้งสองบัญชีสำหรับผ่อนค่า Credit ต่างๆ เช่นเดียวกันกับถ้ามีกิจการธุระกิจในครอบครัวก็ควรจะมีบัญชีกระแสรายวันของธุระกิจร่วมกัน เอาไว้ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายใหญ่ๆ เช่นค่าผ่อนร้านค้า รถยนต์ และค่าใช้จ่ายประจำวันเช่นน้ำ ไฟ ข้าวของเข้าร้าน ค่าแรงงาน หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุระกิจ ส่วน Credit Card ลุงขอแนะนำให้ต่างคนต่างเปิด และฝ่ายภรรยาขอแนะนำว่าทุกบัญชีส่วนตัวที่ต้องการเปิดควรจะใช้ชื่อนามสกุลเก่าของตัวเองเปิดโดยเฉพาะประเภท (Credit Card)  ขอเพิ่มเติมอีกนิดคู่สามีภรรยาหรือเพื่อนฝูงที่มีธุระกิจร่วมกันสิ่งที่ดีที่สุดควรจะจดทะเบียนการค้าของเราในรูปบริษัทผลประโยชน์และการคุ้มครองจะมีมากกว่าในการจดทะเบียนการค้าในรูปนี้
หลังจากเปิดบัญชีกันเรียบร้อยแล้วก็ขอกู้เงินจากบัญชีของเราเองโดยใช้บัญชีของเราค้ำประกันดอกเบี้ยจากบัญชีนั้นเราก็ยังได้รับอยู่และค่าดอกเบี้ยจากเงินที่เรากู้ก็ไม่สูงมากนักขึ้นอยู่กับสถาบันเท่าที่ทราบประมาณ ๒ ถึง ๓ เปอร์เซ็นต์ของบัญชีที่เราเปิดอยู่ จะนำเงินก้อนนี้ไปจับจ่ายหรือนำไปวางมัดจำกับสิ่งๆอื่นที่เราต้องการแต่ควรจะคำนึงถึงว่าเงินก้อนนี้เรานำไปทำให้มันงอกเงยขึ้นมาหรือไม่ไช่นำไปถลุงหรือนำไปท่องเที่ยว การกู้เงินประเภทนี้เขาก็มีระยะการผ่อนคืนแล้วแต่เขากำหนดว่ากี่เดือน นี่คือการเริ่มต้นสร้างเครดิตอีกวิธีหนึ่ง ผ่อนจ่ายให้ตรงเวลาเสมออย่าผัดวันประกันพรุ่งได้รับใบทวงเมื่อไรจ่ายทันทีไม่ต้องรอจนกระชั้นชิด  หลังจากผ่อนจ่ายกับธนาคารนั้นๆแล้วรอประมาณ ๖ เดือนก็เริ่มขอสมัคร เครดิตจาก Department Store หรือจากบริษัท Gas Company ก่อน ( อย่าใจร้อน ) ก็เป็นอีกวิธีที่จะสร้างเครดิต ( แต่ลุงไม่ขอสนับสนุนกับ เครดิตจากที่เหล่านี้ ) ดอกเบี้ยแพงและทำให้เกิดความฟุ่มเฟือยรอให้ทาง ธนาคารส่งพวกเครดิตกาด์ประเภท visa หรือ master จะดีกว่าและก็ใช้กาดร์พวกนี้ซื้อหาข้าวของที่ต้องการ  มีคำถามว่า statement จากธนาคารควรจะเก็บไว้นานเท่าไร คำตอบ( อย่างน้อย ๗ปีครับ) หรือเริ่มหาซื้อของเล็กๆหรือในวงเงินเล็กๆก่อน เช่น เครื่องเรือน หรือเช่า เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เสื้อผ้า เครื่องใช้ในครัวเรือนหรือเครื่องประดับกายตามร้านค้าเล็กๆก่อน เขาจะให้ผ่อนง่ายกว่าร้านค้าใหญ่ๆ และเป็นการเครดิตอีกวิธีหนี่งด้วย

         ๒. Car  รถยนต์ (ใหม่ )  ส่วนมากแล้วตาม Dealer จะต้องการเงินวางในระหว่าง ๑๕ ถึง๓๐ เป็อร์เซนต์หากมีปัญญาก็ซื้อกันได้เพราะเป็นการสร้างเครดิตที่เร็วขึ้นและอย่าลืมว่าจ่ายให้ตรงเวลาหากจ่ายช้าเกินไปวันเดียวเครดิตจะเสียทันที หารถที่อยู่ในสถานะพอตัวใช้ไปก่อนเปลี่ยนแปลงทีหลังได้ ตรวจดูดอกเบี้ยให้เรียบร้อยก่อนที่มัดตัวเองสูงมากเกินไปต่อลองเรื่องราคากับดอกเบี้ยเสมออย่าใจร้อนเพราะอยากได้ รถรุ่นเดียวกันมีอุปกรณ์เหมือนกันหมดแต่ราคาแต่ละแห่งอาจจะไม่เท่ากัน การหาดูรถคือไปเลือกดู ก่อนที่เขาจะเปิดกิจการเล็กน้อย ( กลางวันนะพ่อคุณ ) เดินเลือกดูก่อนที่คนขายจะเข้ามาประกบ เปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ตรวจดูราคานำไปเปรียบเทียบกัน จดชื่อยี่ห้อ รุ่น ปี ติดต่อไปที่ Bank ของตัวเองก่อน ขอกู้เงินเพื่อซื้อรถจากธนาคารหรือเครดิตรยูเนี่ยนของเราเองก่อน แล้วแต่วิธีปรึกษากันเอากับสถาบันนั้นๆ หากมีเงินทองฝากอยู่ที่สถาบันนั้นๆมากกว่าราคารถยนต์ก็ขอกู้จากบัญชีนั้นใช้เป็นการค้ำเป็นประกันและดอกเบี้ยจะจะต่ำกว่า  Dealer มากถ้าให้เขาหากู้ให้ไม่พอตัวเราเองก็เป็นเจ้าของรถนั้นด้วย ( ทางสถาบันเขาจะไม่ยึดรถไว้เป็นค้ำประกัน ) ก่อนตัดสินใจซื้อต้องต่อรองราคาให้ถึงที่สุด อย่างน้อย ๑๐ ถึง ๑๕ เปอร์เซนต์จากป้ายราคา ระยะการผ่อน ๓ ถึง ๕ ปีกับการผ่อนจ่ายนั้นคิดดูนานมากนะกับความรับผิดชอบของแต่ละเดือน มีหลานๆเคยมีคำถามว่าเวลาซื้อรถทางคนขายพยายามขายประกัน extend warranty ควรจะซื้อใหม ( โรงงานส่วนใหญ่จะคุ้มครองรถใหม่ประมาณ ๓ ปี ) หลังจากนั้นตัวโครตัวมัน คำตอบว่า สมควรจะซื้อหากรถที่เราซื้อมีมูลค่าสูงๆหรือรถราคาแพงๆ เพราะคุ้มกับเวลาที่รถคันนั้นเวลามีปัญหาขึ้นมาค่า ชิ้นส่วนของรถแต่ละคันยังไม่รวมค่าแรงในการซ่อมก็แพงมาก ยอดเงินของค่าประกันก็เข้าไปรวมอยู่ใน ค่าผ่อนทำให้มีเวลาผ่อนได้ แต่หากเป็นรถใช้แล้วและอายุของรถเกิน ๖ ปีขึ้นไปไม่ควรซื้อประกันประเภทนี้ หลังจากถอยรถออกมาแล้วก็มีรายจ่ายที่ตามมาด้วยคือ  Car Insurance ประกันภัยเกี่ยวกับรถ กฏหมายทั่วประเทศรถทุกคันต้องมีประกันภัย มากน้อยขึ้นอยู่กับมลรัฐที่เราอาศัยอยู่ที่  California ที่เราอยู่กฏหมายเขียนไว้ว่ารถต้องมีประกันขั้นต่ำสุดประเภท Collision Coverage ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทจะมีค่า Deductible ประมาณ ๒๕๐ ถึง ๕๐๐เหรียญ  เป็นการประกันความเสียหายให้กับคู่กรณีเท่านั้นแต่จะไม่จ่ายความเสียหายให้แก่รถเรา รถใหม่ สถาบันการเงินจะบังคับให้เราซื้อประกันประเภท Comprehensive Coverage ซึ่งจะครอบคุมทั้งสองฝ่าย เบี้ยประกันจะสูงกว่ามากเท่านั้นยังไม่พอยังขึ้นอยู่กับประวัติการขับขี่ของเราและรายงานจาก Credit report อีกด้วยเพื่อเป็นการตัดสินในค่าเบี้ยประกันของบริษัท Insurances หากหลานๆบางคนที่ไม่มีประกันประเภทสุขภาพควรจะเพิ่มเติมเบี้ยประกันในเรื่องของ Body injury เข้าไปด้วย รถที่เราขับขี่อยู่นั้นน้ำหนักแต่ละคันมากโขอยู่ได้เปรียบเทียบไว้ว่ารถยนต์มันคืออาวุธชิ้นหนึ่งที่ให้ทั้งโทษและคุณ เหล็กทั้งก้อนหนักกว่าตัวคนขับกี่เท่า กำลังการขับเคลื่อนก็เปรียบเทียบกับกำลังของม้าเป็นร้อยตัวขึ้นไปตัวเราแค่เนื้อหนังเท่านั้นอาจจะซ่อมแซมได้ในบางครั้งแต่อวัยวะบางส่วนเสียไปแล้วก็หมดทางซ่อม หรืออาจจะเสียชีวิต หรือไม่ก็ต้องให้ลูกเมียป้อนข้าวป้อนน้ำ ความประมาทหรือเลินเหล่อทำให้เกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์เกิดขึ้นทุกวินาทีการสูญเสียในประเภทนี้มีมากหากเกิดขึ้นกับตัวเราอุบัติเหตุไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ควรจะรายงานให้เจ้าหน้าที่ทุกครั้งและรายงานไปให้ทางบริษัทอินชัวร์รันท์ทันที่และไม่ต้องติดต่อไปกับทางด้านคู่กรณีปล่อยให้ทางบริษัทเราติดต่อกับเขาเองหรือไม่ก็ติดต่อไปทางทนายความที่โฆษณาอยู่ทั่วๆไปให้เขามาทำหน้าที่แทนการฟ้องร้องในเรื่องอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับรถยนต์อย่าได้ทำด้วยตนเองขอเตือนว่าฟังแล้ว หนาวสะท้านแน่กับการเรียกร้องค่าเสียหาย หากเรื่องถึงศาล

ได้รถยนต์มาเป็นของตัวเองแล้วก็มีตัวปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก จะต้องรักษาสภาพให้ดีพร้อมที่จะใช้งานได้ทันทีที่ต้องการ มีปัญญาซื้อใหม่เอี่ยมถอดด้ามหรือรถมือสองมันก็มีปัญหาทั้งนั้นไม่ใช่แค่เติมน้ำมันเต็มถังแล้วก็ขับไปเรื่อยๆ ต้องคอยตรวจตราน้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบคร แบตเตอร์รี่ ลมในยาง ยางรถยนต์ ๙ล๙ หากไม่ตรวจตราสิ่งใหญ่ที่กล่าวถึงรับรองได้ว่าพ่อเจ้าพระคุณรวนแน่ๆ  แค่ตรวจตราที่กล่าวมานี้เจ้ารถยนต์มันก็ยังพอใจชิ้นส่วนต่างๆมันก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาหรือการใช้งานไปด้วย อันไหนที่เราเปลี่ยนหรือซ่อมแซมกันได้เองก็ควรทำเหลือขอจริงๆก็ต้องนำไปให้ช่างที่เขาชำนาญทางด้านนี้คนที่มีรถใหม่บางครั้งก็รอดตัวไปเพราะยังอยู่ในค้ำประกันจากโรงงานผลิตแต่ก็ทำให้เสียเวลาไปเหมือนและควรจะกลับไปซ่อมแซมกับบริษัทที่เราซื้อหามาหรือไม่ก็ไปซ่อมกับ Dealer อื่นๆที่ขายยี่ห้อเดียวกันก็ได้ เขารับซ่อมเหมือนกันเพราะทางโรงงานผู้ผลิตจะเป็นจ่ายค่าซ่อมแซมให้ สิ่งที่ควรปฏิบัติเวลามีปํญหาเกี่ยวกับรถยนต์มือสองและต้องนำไปซ่อมแซม หากพอรู้เรื่องเกี่ยวกับรถยนต์บ้าง เวลาไปตามสถานบริการ (ที่รู้จักกันหรือมีคนแนะนำ) เล่าอาการให้เขาโดยละเอียดหรือรู้ว่าชิ้นส่วนไหนต้องเปลี่ยน ให้เขาตีราคาค่าบริการ estimated และใช้เวลาในการซ่อมแซมนานแค่ไหน คุยกันให้เรียบร้อย
( เป็นลายลักษ์อักษร ) และควรใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตมาจากโรงงานโดยตรง หรือจากภายนอกก็ขึ้นอยู่ที่กระเป๋าเงินของตนเอง แต่ลุงแค่ขอแนะนำว่าหากเป็นชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า ควรจะใช้ของโรงงานผลิต ขอให้เขาเก็บชิ้นส่วนเก่านั้นไว้ให้เราดูด้วย ตรวจสภาพการใช้งานก่อนที่จะจ่ายค่าบริการ มีการค้ำประกันผลงานนี้นานแคไหน เก็บใบเสร็จค่าบริการไว้จนกว่าจะหมดวันของการค้ำประกัน หรือเวลาขายรถคันนี้ไปควรจะบอกเจ้าของใหม่ถึงการบำรุงรักษาหรือได้ซ่อมแซมอะไรไปบ้างอีกอย่างที่ควรจะคำนึงถึง หากรถเสียขึ้นอย่างกระทันหันควรยอมเสียค่าลากเพื่อนำกลับไปให้อู่ที่ใช้บริการกันอยู่เสมอ  หากมีปัญหาเรื่องค่าบริการไม่ว่าจากอู่ใหญ่ๆหรืออู่เล็กๆตกลงกันไม่ได้ขั้นตอนต่อไปก็ร้องเรียนไปได้ที่  Bureau of Automotive Repair ๑-๘๐๐-๙๕๒-๕๒๑๐ เขาจะแนะนำขั้นตอนให้ (อย่าลืม อย่าลืม อย่าลืม เก็บหลักฐานเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าบริการใว้ )สุดท้ายมาถึงการซื้อหรือขายจากบุคคลภายนอก ควรจะป้องกันตัวเองไว้ด้วยที่กล่าวไว้ตอนต้นๆว่ารถยนต์มันก็เปรียบเสมือนอาวุธชิ้นหนึ่ง หากมีการซื้อขายกันเองระหว่างเพื่อนฝูงหรือตามหนังสือพิมท์หลักใหญ่ที่ควรจะปฏิบัติคือ

๑. ทำใบซื้อขายเขียนราคาที่ซื้อตามที่ตกลงกัน (Bill of Sale) เพราะจะมีภาษีรายได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
๒. อย่าลืมกรอกใบรายงานความรับผิดชอบของรถคันนี้ (Notice of Release of Liability) จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลังรีบส่งไปที่ DMV (ที่อยู่จะอยู่ในใบเจ้าของรถ) pink slip ทันที่เขาจะได้เอาชื่อเราออกจากการเป็นเจ้าของรถคันนั้นเราจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบหลังจากวันที่ขายไปแล้ว
๓. การซื้อขายไม่ควรใช้เงินสดในการจ่าย สั่งจ่ายเป็น Check พาเขาไปเบิกเงินที่ธนาคารก็ได้ หรือจ่ายเป็น money order หรือไม่ก็ cashier check

        ๓.   Credit Card ขอแนะนำว่าหากตัวเองยังไม่พร้อมหรือมีรายได้ยังไม่ถึงขั้นคิดง่ายๆคือถ้ารายได้ของตนเองกับรายจ่ายทั้งเดือนมีเงินเหลืออยู่ในมือ ไม่ถึง ๑ ส่วน ๓  ก็รอไปก่อนหากต้องการหรือมีความจำเ

>รัก ก็ เหมือน ตด  ความรักก็เหมือนตด มักจะแอบเก็บเงียบไว้
>เมื่ออัดอั้นจนทนไม่ไหวก็ได้แต่เปิดเผยออกมาเงียบๆ
>
>ความรักก็เหมือนตด
>ที่หากเผลอเสียงดังออกไปอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับคนอื่น
>แต่มันก็ทำให้เราสบายใจ
>ที่ได้ระบายมันออกไป
>
>ความรักก็เหมือนตด ถึงแม้กลิ่นจะจางหาย แต่ก็ยังจำอยู่ในใจมิลืมเลือน
>
>ความรักก็เหมือนตด
>มีแต่คนที่เราต้องการให้รับรู้เท่านั้นถึงจะได้มันไปเต็มๆ(คนที่อยู่ข้างหลัง
>ไง)
>คนที่เหลือรอบๆก็ได้เพียงเศษความรักยามเหงาเราไปเท่านั้น(ก็แค่กิ๊กเอาไร
>มาก)
>
>ความรักก็เหมือนตด แม้กลิ่นจะแรงซักแค่ไหน ซักวันกลิ่นมันก็ต้องจางหาย
>แต่ยังเหลือบาดแผลในใจของ
>ผู้ที่ได้ดมและผู้ปล่อยมันออกมาตลอดไป...
>
>ความรักก็เหมือนตด ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าคนคุ้นเคย(เพื่อนสนิท)

>ก็ยังไม่กล้าปล่อยมันออกมาเต็มแรงซัก
>ที
>
>ความรักก็เหมือนตด ตดที่แท้จริงย่อมออกมาจากตรูด.. ไม่ใช่จากปาก
>ความรักที่แท้จริงก็ย่อมออกมาจาก
>ใจมิใช่คำพูด
>
>ความรักก็เหมือนตด ยากที่จะยอมรับต่อหน้าคนอื่นว่าเป็นคนตด
>เท่าๆกับยากที่จะรับว่าดมมันเข้าไปเต็ม
>ปอด
>
>ความรักก็เหมือนตด แม้มองไม่เห็นด้วยตา แต่คุณก็รู้..ว่ามีอยู่จริง....

เมื่อฉันหกล้ม

ร่างฉันคลุกกับฝุ่นดิน

ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดทราย

กล้ามเนื้อของฉันปวดร้าว

ด้วยแรงกระแทกกับพื้นธรณี

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

แรงสะเทือนจากการล้ม

ส่งการกระเพื่อมถึงหัวใจฉัน

จิตใจถูกเขย่าให้สั่นสะท้าน

ราวกับจะหลุดลอยไปไกล

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ฉันรีบกุมหัวใจไว้

มิให้มันสั่นคลอนหลุดไปไหน

อีกมือหนึ่งพลางไขว่คว้า

หายารักษาโรคหัวใจ"สั่น"

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ฉันยืดมืออันอ่อนล้า

เอื้อมไปยังชั้นหนังสือ

หยิบยาที่เรียกว่า "อัลกุรอาน"

มาสมานหัวใจมิให้สั่นคลอน

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

อักษรต่ออักษร

อายะฮฺต่ออายะฮฺ

บรรทัดต่อบรรทัด

หน้าต่อหน้า

รักษาหัวใจให้เต้นเป็นปกติ

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ฉันรับยาได้ซักพัก

หัวใจจึงกลับดังเดิม

สองมือปัดฝุ่นตามใบหน้า

และสิ่งสกปรกที่ติดตามตัว

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ฉันชันแขนเหยียดตรง

เพื่อดันตัวต้านแรงโน้มถ่วง

กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นดิน

ฉันพร้อมที่จะเดินต่อไป

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

คนเราล้มกันได้ไม่เป็นไร

แต่อย่าลืมลุกขึ้นเดินต่อ

หนทางข้างหน้ายังอีกไกล

กว่าจะถึงสวรรค์สำหรับผู้อดทน

[วิทยปัญญา- 31/01/2551 11:37 น.- ปัตตานี]

 

http://www.islaminside.com/entry.php?w=sareeya&e_id=1454

 

2551 กำเนิดกลุ่มการเคลื่อนไหวทางเลือกที่สาม ?

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2008 12:20น.


อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ : Siam Intelligence Unit


หมายเหตุ : ตอนแรกผู้เขียนตั้งใจจะใช้ชื่อบทความว่า “กำเนิดพรรคการเมืองทางเลือกที่สาม” แต่ตัดสินใจเปลี่ยนด้วยเหตุผลซึ่งจะกล่าวต่อไปในบทความ
คนไทยจำนวนมากคาดหวังว่าวิกฤตทางการเมืองซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปลายปี 2548 และลากยาวมาถึงปัจจุบันจะสิ้นสุดลงได้ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพาทหารกลับเข้ากรมกอง และนำประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาด้านความขัดแย้งของคนในชาติเลย ในทางตรงข้ามกลับรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ซึ่งแสดงออกความต้องการที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงผ่านการสนับสนุนพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่
(สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ สุรศักดิ์ ธรรมโม ได้แสดงความเห็นไว้ในบทความ “ประเทศไทยหลัง 23 ธันวาคม 2550″1ว่าเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมพื้นฐาน การกระจายรายได้ที่เหลื่อมล้ำ ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ)
ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจึงแสดงให้เห็นว่า การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเมืองเชิงภูมิภาค (คนใต้เลือกนายกชวน คนสุพรรณเลือกบรรหาร) มาเป็นการเมืองเชิงชนชั้น (คนชั้นกลางในเมืองเลือกประชาธิปัตย์ คนชั้นล่างในต่างจังหวัดสนับสนุนพลังประชาชน) ถึงแม้ว่าจะมีพรรคการเมืองอีกจำนวนหนึ่งที่ชนะการเลือกตั้งเฉพาะท้องถิ่น แต่ด้วยจำนวน ส.ส. ที่ไม่มากจนมีนัยยะสำคัญ แสดงให้เห็นว่าการเมืองเชิงภูมิภาคกำลังมีความสำคัญลดลงอย่างรวดเร็ว
คำถามที่ตามมาก็คือ คนไทยเองพอใจกับทางเลือกแบบใหม่เพียงแค่สองทางหรือไม่ ???
ปฏิกิริยาที่ผู้เขียนได้รับมาตลอดตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง นอกจากประเภท “ด่าสมัคร เชียร์อภิสิทธิ์” และ “เชียร์อภิสิทธิ์ ด่าสมัคร” แล้ว ความคิดเห็นที่มีมากจนน่าสนใจก็คือ “ไม่รู้จะเลือกใคร ไม่ชอบทั้งคู่”
ความคิดเห็นเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า คนไทยกำลังโหยหาทางออกการการเมืองทางเลือกใหม่เป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ประเมินอย่างคร่าวๆ พรรคการเมืองในอุดมคตินี้ต้องภาพลักษณ์สมัยใหม่ ดูซื่อสัตย์สุจริต (ซึ่งพลังประชาชนให้ไม่ได้) และทำงานตอบสนองความต้องการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งประชาธิปัตย์ถูกโจมตีมาตลอดว่าไม่มี) พูดง่ายๆ ว่าตอบสนองความต้องการของทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นล่างได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพรรคการเมืองชนิดนี้ไม่มีอยู่จริง (และด้วยกรอบเงื่อนไขทางการเมืองระบอบรัฐสภา เราก็อาจสรุปได้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในอนาคตเช่นกัน)
แต่ถึงแม้เราจะยอมตัดความเป็นอุดมคติออกไปจากพรรคการเมืองที่สามแล้ว พรรคการเมืองที่สามก็ยังไม่มีอยู่จริงเช่นเดิม (ในกรณีนี้เราไม่สนใจพรรคการเมืองขนาดเล็กอื่นๆ ซึ่งยังไม่สามารถก้าวข้ามการเมืองเชิงท้องถิ่นมาเป็นการเมืองเชิงอุดมการณ์หรือนโยบายได้) ซึ่งทำให้สุดท้ายแล้วคนกลุ่ม “สองไม่เอา” นี้ลงเอยด้วยการโนโหวต หรือไม่ก็ตัดสินใจให้คะแนนแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยเหตุผลเฉพาะบุคคลที่ต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนสังเกตว่าตลอดปี 2550 ที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองขนาดย่อมๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น การชุมนุมต่อต้านเผด็จการทหารที่ท้องสนามหลวงในช่วงกลางปี, การเคลื่อนไหวล้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ช่วงเดือนตุลาคม จนมาถึงการเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติยุติการผ่านร่างกฎหมายในเดือนธันวาคม
จุดร่วมของการเคลื่อนไหวเหล่านี้คือมีขนาดไม่ใหญ่นัก ผู้เข้าร่วมมีทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในเมือง คนส่วนใหญ่มีอุดมการณ์เฉพาะเรื่องร่วมกัน และมักนำโดยนักวิชาการนอกกระแส (ซึ่งโจมตีปัญญาชนสาธารณะที่เห็นด้วยกับรัฐประหาร) หรือไม่ก็เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมหน้าใหม่ ที่ “ตื่นตัวทางการเมือง” หลังรัฐประหาร 19 กันยา
จุดที่น่าสนใจคือการเคลื่อนไหวเหล่านี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง (มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ใช้) มีการจัดองค์กรอย่างเป็นระบบ ผสมผสานการเคลื่อนไหวหลากรูปแบบ และใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างระดับมาตรฐานของการเคลื่อนไหวทางการเมืองขึ้นมาใหม่ ที่นักเคลื่อนไหวในอนาคตต้องปฏิบัติตาม
ผู้เขียนจึงเกิดคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่การเมืองทางเลือกที่สามจะต้องอยู่ในรูปพรรคการเมือง การต่อสู้ทางการเมืองในอนาคต จึงอาจเกิดจากกลุ่มเคลื่อนไหวอิสระที่รวมตัวกันเรียกร้องทางนโยบายต่อพรรคการเมืองในสภา โดยมีเครื่องต่อรองเป็นคะแนนเสียงที่กลุ่มต่อสู้เหล่านี้ยินดีจะโหวตให้พรรคการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของตัวเอง
การเคลื่อนไหวทางเลือกที่สามในอนาคตไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปกลุ่มต่อสู้ทางการเมืองขนาดใหญ่เพียงกลุ่มเดียว แต่จะเป็น “เครือข่าย” การเคลื่อนไหวร่วมกันของกลุ่มย่อยขนาดเล็กหลายกลุ่ม กลุ่มเคลื่อนไหวเหล่านี้จะดำเนินงานอย่างอิสระ ไม่มีโครงสร้างตายตัว และไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องต่อข้อเสนอเดียวกันเสมอไป มารวมกันต่อเมื่อมีข้อเสนอร่วม และแยกกันเคลื่อนไหวในกรณีที่เห็นต่าง
ในอดีตเราเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มวิชาชีพหรือกลุ่มเฉพาะถิ่นมามาก (เช่น คาราวานคนจน, สมาคมชาวไร่อ้อยหรือกรีดยาง) การเคลื่อนไหวของเครือข่ายทางเลือกที่สามแบบที่ผู้เขียนเสนอก็คล้ายคลึงกันในเชิงอุดมการณ์ เพียงแต่ในทางปฏิบัติแล้ว เครือข่ายทางเลือกที่สามนี้ก้าวข้ามการเคลื่อนไหวบนท้องถนนเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเคลื่อนไหวแบบบูรณาการที่มีประสิทธิผลสูงกว่าหลายเท่า รู้จักต่อรองผลประโยชน์อย่างชาญฉลาดและ “รู้ทัน” นักการเมืองมากกว่าที่เคย
ผู้เขียนเองก็ยังมองภาพไม่ชัดว่าภาพรางๆ ของเครือข่ายทางเลือกที่สามนี้สุดท้ายจะวิวัฒนาการไปในรูปแบบไหน ระยะเวลาหลังรัฐประหาร 19 กันยานั้นถือเป็นแค่ระยะตั้งไข่ของเครือข่ายที่ว่าเท่านั้น หลังจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคมเป็นต้นไป จะเป็นช่วงที่เครือข่ายต้องค้นหาที่ยืนของตัวเอง สร้างสมกำลังและอิทธิพลเพื่อไปให้ถึงจุดที่มีอำนาจต่อรองสูงพอ และเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของการต่อสู้ทางการเมืองนอกสภาแบบใหม่ ซึ่งไม่เคยมีใครมีประสบการณ์มาก่อน
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายแล้วการเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงอยู่ดี
สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนขอยกคำสัมภาษณ์ของเกษียร เตชะพีระ ที่ว่า ถ้าไม่มีทางเลือกที่ 3 มันก็เป็นการพ่ายแพ้ของประชาชนอย่างเราแล้ว ไม่สามารถโทษใครอื่นได้.

http://www.tjanews.org


ใครๆ ก็อยากมีคู่

คนหนุ่มสาวโสดคงหูพึ่งกันตามกัน เมื่อชวนคุยเรื่องคู่ครอง สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ก็ต้องทำงานหนักกันหน่อยเพื่อเตรียมตัวรับมือกับเรื่องเหล่านี้ของลูกๆ วัยกระเตาะ ตามหลักการศาสนาอิสลามแล้วสนับสนุนเรื่องการนิกาฮฺ แต่หาก...อยากนิกาฮฺแต่ยังไม่มีใครล่ะ หรือพร้อมแต่ถูกปฏิเสธบ้างล่ะ หรือผู้ปกครองสรรหา (มาฝาก) แต่ยังไม่ถูกใจ หรือเล็งบางคนไว้แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย หรือแม้บางคนยังทำไม่รู้ไม่ชี้เรื่องพรรค์นี้ เราจะทำอย่างไร???

เบื้องต้นคงต้องมาศึกษากันก่อนว่า จุดประสงค์ของการนิกาฮฺคืออะไร? ท่านนบีมูฮัมหมัด ได้กระทำและได้กำชับนักหนาว่า การนิกาฮฺจะทำให้เกิดความสงบสุขให้แก่ทั้งคู่และเป็นการร่วมกันใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายเพื่ออัลลอฮฺ นอกจากนี้ เป็นการสร้างประชาชาติอิสลามที่เปี่ยมคุณภาพสืบต่อไป (แนะนำให้ศึกษาข้อมูลวิชาการเพิ่ม) แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่ค่าอันใดเลย ถ้าการเลือกคู่ครองของเราเริ่มต้นอย่างไร้คุณภาพ ไร้จุดหมายเพื่ออิสลาม แล้วเราอยากเป็นแบบไหนกัน???

แน่แหละ!!! ในปัจจุบันจะพบข่าวดาราหลายคนที่ถูกนานาสื่อยกย่องเป็นต้นแบบของเยาวชน แต่มักมีข่าวค(ร)าวรักๆ เลิกๆ กันไม่รู้กี่ตลบ ทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องชั่ว(คราว) ประเดี๋ยวประด๋าว คนรับสารบางคนก็ตกเป็นเหยื่อ พยายามดิ้นรนกระสับกระส่ายจะมีคนรัก(ชั่วคราว)บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ มิใช่วิถีชีวิตมุสลิม แท้จริงมันคือเส้นทางของชัยฏอนที่คอยล่อลวงมนุษย์ ...อย่าหลงระเริงปล่อยตนเองให้เป็นทาสมารร้าย แม้จะบอกว่าคนรักของฉันเป็นมุสลิมก็ตาม

ความฝันของทุกคน...ย่อมปรารถนาครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์แบบ แล้วไหนล่ะคือครอบครัวแบบฉบับของมุสลิม อัลลอฮฺ ได้สร้างมนุษย์มาด้วยจุดประสงค์อันแยบยล ไม่ว่าจะผ่านร้อนหนาว เจ็ดย่านน้ำ ผลลัพท์คือ การที่พวกเรา(ผู้ศรัทธา) กระจายไปในหน้าแผ่นดินและได้สร้างเผ่าพันธ์มากมายๆ นี่คือคำบัญชาในอัลกุรอาน ส่วนการดำเนินชีวิตต่างบนโลกดุนยานี้ ทรัพย์สิน ลูกหลาน...คือเครื่องทดสอบของพวกเรานั่นเอง หลายคนเมื่อคิดเรื่องคู่ครองแต่หาทางออกให้ตนเองไม่ได้ มักอ้างต่างๆ นานา ยังไม่ถึงวัย ต้องเรียนหนังสือ ต้องทำงานเก็บตังค์ก่อน ฯลฯ หากการมุมานะทำสิ่งดีงามตามที่อัลลอฮฺ พอใจ คำตอบอยู่ที่ใจว่าเรากำลังเดินทางสู่เส้นทางไหน เจตนาและความบริสุทธิ์ใจ อัลลอฮฺ เท่านั้นที่เป็นผู้หยั่งรู้ชีวิต ทำไมล่ะ...จะคิดแบบอิสลามไม่ได้หรือ???

อย่าปฏิเสธว่าการแต่งงานวัยเรียนหรืออายุน้อย อิสลามไม่ส่งเสริม แต่น้อยนักในสังคมบ้านเราที่นักศึกษาแต่งงาน (นิกาหฺ) กันอย่างถูกต้อง หรือมีลูกในขณะที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย สมัยท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านนิกาฮฺเมื่ออายุไม่ถึง 10 ขวบ ซึ่งอาจพบได้น้อยในชีวิตจริงก็ตาม น่าแปลกที่วัยรุ่นชอบใช้ชีวิตปราศจากการผูกมัดอย่างถูกต้องและดูแลกันและกันไปจนสิ้นลมหายใจ แต่กลับชอบที่อยู่ด้วยกันแบบได้เปล่า ไร้พันธะ ข้อผูกพัน แม้กระทั่งหนุ่มสาวมุสลิมบางคู่ก็หลงเป็นเหยื่อนัฟซูมาแล้ว กระนั้นการดำเนินชีวิตในสถานภาพนักศึกษาขณะที่มีหน้าที่ในครอบครัวใหม่ด้วย อย่าลืมว่าต้องไม่เบียดเบียนหรือทำลายทั้งสองบทบาทให้บกพร่อง ชีวิตคู่ก็สำคัญและการศึกษาที่เรามีเจตนานำความรู้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมมุสลิม โดยเฉพาะหากเป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ ฉะนั้นมาตรวจสอบตนเองกันเถอะ เรากำลังฝันแบบอิสลาม ใคร่ครวญแบบอิสลามหรือไม่???
ไข้เลือดออกระบาดหนักในหมู่คนไทยมากว่าครึ่งศตวรรษโดยไร้ยารักษาและวัคซีนป้องกันโรค แต่อีกเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ วัคซีนไข้เลือดออกเข็มแรกในประเทศจะถือกำเนิดขึ้นใต้ชายคา ม.มหิดล จากฝีมือของ “ดร.สุธี ยกส้าน” ที่อุทิศตนค้นคว้ามากว่า 20 ปี ที่เหลือเพียงแต่รอลุ้นรัฐบาลอนุมัติเงินทุนสนับสนุนสร้างโรงงานผลิตวัคซีน
ล่วงเข้าปีใหม่ได้ไม่ถึงเดือนก็มีข่าวดีเกิดขึ้นในวงการแพทย์เมืองไทยรับปี 2551 เมื่อ “ศ.ดร.สุธี ยกส้าน” อาจารย์นักวิจัยและผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีน ม.มหิดล เผยผลสำเร็จการพัฒนา "วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก" ทั้ง 4 สายพันธุ์ ภายใน 1 เข็ม หลังมุมานะค้นคว้ามากว่า 20 ปี แต่ความสำเร็จยังไม่เสร็จสมบูรณ์ อาจารย์นักวิจัยยังต้องรอลุ้นกับรัฐบาลว่าจะทำให้วัคซีนไปถึงประชาชนได้หรือไม่
“ไข้เลือดออกเริ่มเข้ามาในประเทศไทยช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากวันนั้นจนถึงเดี๋ยวนี้ก็กว่า 60 ปีแล้ว โดยศิริราชพยาบาลเป็นผู้รายงานการระบาดครั้งแรก ซึ่งพบในกรุงเทพใกล้ๆ กับโรงพยาบาล จากนั้นก็เริ่มระบาดทั่วกรุงเทพและกระจายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ จนเดี๋ยวนี้ระบาดไปทุกหมู่บ้านทั่วประเทศไทยแล้ว” อ.สุธี เกริ่นประวัติของโรคไข้เลือดออก
เพราะไข้เลือดออกเป็นโรคระบาดที่เกิดจากเชื้อไวรัส ยังไม่มียารักษาและไม่มีวัคซีนป้องกันโรค จึงมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ปีละหลายแสนคนที่นับเฉพาะแค่ในประเทศไทยเท่านั้นก็มากมายแล้ว และยังมีอีกหลายประเทศในเขตร้อนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับไทยด้วยเหตุนี้ ฯนพ.สุธี ที่เป็นคุณหมอหมาดๆ เมื่อราว 30 ปีก่อน จึงหันเหชีวิตเข้าสู่เส้นทางนักวิจัยเพื่อหาทางพิชิตไข้เลือดออก
ปฐมบทของนักวิจัยผู้พัฒนาวัคซีน
อ.สุธี สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี จากนั้นไปเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อยู่ 1 ปี และกลับมาประจำที่โรงพยาบาลรามาธิบดีอีก 1 ปี
“ผมไม่ค่อยชอบเข้าเวรสักเท่าไหร่ รู้สึกว่าค่อนข้างขัดกับนิสัยของตัวเอง และคิดว่าความรู้ด้านแพทย์ที่เรียนมายังกว้างเกินไป ยังทำอะไรได้ไม่มากนัก พอดีกับที่ ดร.ณัฐ (ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ณัฐ ภมรประวัติ อธิการบดี ม.มหิดล ขณะนั้น) ชักชวนให้เรียนต่อปริญญาเอกที่สถาบันเดิม ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในเชิงลึก แล้วนำมาประกอบกับความรู้เชิงกว้างด้านแพทย์ที่มีอยู่เดิม จึงทำให้มีความสมบูรณ์ที่จะทำงานวิจัยได้พอสมควร” อ.สุธี เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
อ.สุธี เล่าต่อว่า เขารู้สึกโชคดีมากที่หัวข้อวิทยานิพนธ์ของเขาเรื่อง “คุณสมบัติของเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ในเซลล์ไตสุนัข” ได้ถูกต่อยอดมาสู่งานวิจัยที่เขาได้ทำหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน
“ความรู้จากตรงนั้นทำให้เราได้รู้จักและแยกแยะเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยอย่างมาก” อ.สุธี กล่าว ซึ่ง อ.สุธี มีโอกาสเดินทางไปทำวิทยานิพนธ์หลังปริญญาเอกเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันวิทยาที่ ม.ฮาวาย สหรัฐฯ และ ม.อ็อกซ์ฟอร์ด อังกฤษ อย่างละ 1 ปี หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานวิจัยไข้เลือดออกอย่างเต็มตัว
ก้าวแรกของศูนย์วิจัยสู่วัคซีนไข้เลือดออก
“ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ว่าประเทศไทยน่าจะลงทุนสร้างหน่วยงานที่เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนขึ้นมา ซึ่งก็ได้ตัดสินใจสร้างศูนย์วัคซีนแห่งนี้ขึ้นมาในปี 2527 ในขณะนั้น เรื่องของวัคซีนและประเทศไทยยังห่างไกลกันมาก จุดประสงค์ของการจัดตั้งศูนย์วัคซีนในตอนแรกก็เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของวัคซีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้คิดที่จะผลิตเอง แต่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ต่างประเทศแทน” อ.สุธี เผยที่มาของศูนย์วัคซีน
เริ่มแรกจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนได้รับงบประมาณก่อสร้างจากรัฐบาล 30 ล้านบาท ประกอบด้วย อาคารศูนย์วัคซีน, อาคารสัตว์ทดลอง, อาคารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอาคารพลังงาน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นเป็นที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังได้ทุนวิจัยจากองค์การอนามัยโลกภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเนื่อง 12 ปี และทุนสนับสนุนด้านอุปกรณ์ต่างๆ จากรัฐบาลอิตาลีอีกจำนวนหนึ่ง
ต่อมาวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกชุดที่ 1 ฝีมือของ อ.สุธีก็เป็นที่ประจักษ์ และได้จดสิทธิบัตรพร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศสในปี 2544 แต่วัคซีนชุดนั้นยังไม่สมบูรณ์ดี อ.สุธี จึงพัฒนาต่อโดยเริ่มนับหนึ่งใหม่
“เชื้อไว้รัสเดงกี่ที่เป็นสาเหตุของไข้เลือดออกมีทั้งหมด 4 ชนิด เรียก เดงกี่ 1, 2, 3 และ 4 เมื่อยุงกัดผู้ป่วยไข้เลือดออก ยุงจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ เชื้อจะเข้าไปเจริญเติบโตในกระเพาะของยุง ผ่านลำไส้ไปสู่ท่อน้ำเหลือง และไปสะสมอยู่ที่ต่อมน้ำลายรอเวลาแพร่เชื้อ ส่วนยุงตัวนั้นก็จะมีเชื้อไวรัสนี้อยู่ติดตัวไปชั่วชีวิต และยังถ่ายทอดเชื้อผ่านไข่ไปสู่ลูกหลานได้ ทำให้ไข้เลือดออกระบาดไปทั่วภูมิภาคได้ง่าย” อ.สุธี อธิบาย
อ.สุธี อธิบายต่อว่า เมื่อยุงมากัดคนเพื่อดูดเลือด ยุงจะปล่อยน้ำลายออกมาเพื่อช่วยไม่ให้เลือดแข็งตัวและไม่ให้ท่อดูดเลือดตัน หากยุงตัวนั้นมีเชื้อไว้รัสเดงกี่อยู่ด้วย คนคนนั้นก็จะติดเชื้อจากเหตุนี้เอง ซึ่งบางคนอาจแสดงอาการป่วยหรือบางคนได้รับเชื้อแต่ไม่มีอาการป่วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน ซึ่งเมื่อใครได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่ครั้งแรก ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีพ แต่จะไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสเดงกี่สายพันธุ์อื่นเลย และเมื่อติดเชื้อเดงกี่ซ้ำแต่เป็นคนละสายพันธุ์กับครั้งแรก คนไข้จะมีโอกาสป่วยรุนแรง 1 ใน 250 ราย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่สันนิฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดแผกไปจากคนอื่น
“นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานกันว่าเชื้อไวรัสเดงกี่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน ณ เวลานั้นยังมีไวรัสเดงกี่เพียงชนิดเดียว ต่อมาวิวัฒนาการทำให้เชื้อไวรัสเพิ่มเป็น 4 สายพันธุ์ แต่ช่วงเวลากว่า 60 ปี ที่ไข้เลือดออกระบาดในไทย ชื้อไวรัสเดงกี่ยังคงมี 4 สายพันธุ์เช่นเดิม” อ.สุธี ย้อนอดีตของไวรัสเดงกี่
“หากถามว่าเชื้อไวรัสเดงกี่มีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเดงกี่ 5, 6, 7 หรือไม่ ตอบได้ว่ามี แต่โอกาสน้อยและก็ช้า อาจต้องใช้เวลาร่วมร้อยปี เพราะถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตยังมีการวิวัฒนาการอยู่ตลอด” อ.สุธี เฉลย ซึ่งอาจารย์ยังมั่นใจด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ของไวรัสเป็นหลักประกันได้ว่าเราน่าจะพัฒนาวัคซีนขึ้นมาใช้ได้ทันก่อนที่จะเกิดไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ใหม่ออกอาละวาด
สยบเชื้อร้ายด้วยไตสุนัข
อ.สุธี อธิบายวิธีที่เขาใช้สร้างวัคซีนว่าก่อนอื่นต้องทำให้เชื้อเดงกี่อ่อนแรงเสียก่อน โดยการเพาะเลี้ยงเชื้อต้นตอที่สกัดได้จากผู้ป่วยให้ขยายพันธุ์และเติบโตในเซลล์ไตสุนัข เมื่อได้เชื้อไวรัสรุ่นใหม่ก็ย้ายไปเพาะเลี้ยงในเซลล์ใหม่ ซึ่งเชื้อจะเกิดการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมและอ่อนแรงลง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เชื้อที่มีฤทธิ์น้อยลง แต่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ วิธีนี้ทำให้มีเชื้อไวรัสแต่ละสายพันธุ์ที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากมายให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมสำหรับวัคซีน 1 เข็ม
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่มีประสิทธิภาพจะต้องป้องกันเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ภายในเข็มเดียว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับไวรัสเดงกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ในคราวเดียว ดังนั้นเชื้อไวรัสทั้ง 4 สายพันธุ์ที่อยู่ในวัคซีนเข็มเดียวกันจึงจำเป็นต้องให้เชื้ออ่อนฤทธิ์จนไม่ทำให้เกิดอาการป่วย กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และต้องไม่รบกวนการทำงานของเชื้อสายพันธุ์อื่น ซึ่งนี่คือโจทย์ในการสร้างวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกของนักวิจัย และเป็นเหตุผลว่าทำไมวัคซีนป้องกันโรคนี้จึงต้องใช้เวลาพัฒนานานนับสิบๆ ปี ซึ่ง อ.สุธี กล่าวว่า หากเชื้อไวรัสเดงกี่มีเพียงสายพันธุ์เดียวก็อาจมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกใช้กันนานแล้ว แต่เพราะไม่ได้เป็นเช่นนั้น การสร้างวัคซีนจึงไม่ง่ายอย่างที่คิด
ในที่สุด อ.สุธี ก็พัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกชุดที่ 2 สำเร็จ ซึ่งจากการทดสอบในผู้ป่วยเบื้องต้น วัคซีนนี้สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีและป้องกันได้นานกว่า 10 ปี
พ่อครัวฝีมือจัดจ้านแต่ขาดภัตตาคารรองรับ
เมื่อได้วัคซีนต้นแบบแล้วขั้นต่อไปก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้มีปริมาณมากเพียงพอกับความต้องการใช้ ซึ่ง อ.สุธี ประเมินว่าเฉพาะในประเทศไทยน่าจะต้องใช้ประมาณ 1-2 ล้านเข็มต่อปี และยังมีประเทศอื่นๆ อีก เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพและเทคโนโลยีด้านการผลิตวัคซีนของประเทศไทย จำเป็นต้องมีโรงงานผลิตที่ได้ตามมาตรฐาน
อ.สุธี กล่าวว่าขณะนี้ศูนย์วัคซีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีการผลิดวัคซีนในระดับอุตสาหกรรม ทว่าประเทศไทยยังขาดโรงงานผลิตที่มีมาตรฐานที่จะมารองรับตรงนี้ได้
“เป็นปัญหาของนักวิจัยไทยที่จะต้องหาโรงงานที่ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP ซึ่งไม่มีอยู่ในประเทศไทย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม จีน และอินเดียมีพร้อมแล้ว เปรียบดังมีเครื่องปรุงและพ่อครัวที่มีฝีมือ แต่ไม่มีภัตตาคารให้แสดงฝีมือปรุงอาหาร” อ.สุธี เผย
ทั้งนี้ อ.สุธี ได้กล่าวถึงกรณีตัวอย่างในอดีตที่ไทยเคยประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของสภากาชาดไทยและไข้สมองอักเสบขององค์การเภสัชกรรม ที่ผลิตจากสมองสัตว์ อาจเป็นแกะ กระต่าย หรือหนู แต่เมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น สามารถผลิตวัคซีนได้จากเซลล์เพาะเลี้ยง วิธีเดิมจึงเริ่มหดหายไปจากโลก
“ประเทศไทยปรับตัวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจึงต้องปิดตัวลง และเปลี่ยนมาเป็นนำเข้าวัคซีนจากเซลล์เพาะเลี้ยงของต่างชาติแทน ขณะที่วัคซีนไข้สมองอักเสบจากสมองหนูที่ยังผลิตอยู่ในตอนนี้ก็อาจต้องประสบปัญหาเดียวกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า" อ.สุธี ตั้งข้อสังเกต ซึ่งทางศูนย์วัคซีนฯ ก็กำลังวิจัยเพื่อแก้ปัญหานี้ที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า
หวังรัฐบาลพลิกวิกฤติเป็นโอกาส
ทว่าบทบาทในการวิจัยและพัฒนาของศูนย์วัคซีนฯ เริ่มเจอทางตันเมื่อสิ่งที่พัฒนาขึ้นจนสำเร็จแต่ขาดภาคอุตสาหกรรมหรือโรงงานผลิตที่จะมารับช่วงต่อ
“โรงงานไม่ได้ชี้ว่าวัคซีนใช้ได้ดีหรือไม่ดี แต่เป็นตัวพัฒนาให้ได้วัคซีนที่มีมาตรฐานโลกสำหรับประชาชนไทย” อ.สุธี กล่าวและคาดหวังว่าผู้บริหารประเทศจะเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ มีนโยบายชัดเจน และดำเนินการอย่างเร่งด่วนหลังจากที่ล่าช้ามาหลายปีแล้ว
“วัคซีนที่ได้จะต้องใช้ได้ผลดี ราคาถูก และออกไปสู่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ไม่ใช่ว่าทำอย่างไรถึงจะได้กำไรมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลตอบโจทย์นี้ได้แต่อยู่ที่ว่าจะให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ขณะที่ตอนนี้มีวัตถุดิบพร้อมแล้ว แต่ยังไม่โรงงานผลิตรองรับ และต้องผลิตให้ได้มาตรฐานในปริมาณมากเพื่อทดสอบกับคนจำนวนมากก่อนขึ้นทะเบียนและจำหน่ายได้” อ.สุธี กล่าวและต่อว่ายังมีนักวิจัยพัฒนาวัคซีนมากฝีมืออยู่ในอีกหลายสถาบันที่ขาดปัจจัยรองรับผลผลิตจากห้องปฏิบัติการเช่นเดียวกัน โรงงานผลิตวัคซีนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตยังมีประโยชน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรนอกเหนือจากผลิตวัคซีนไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ดี อ.สุธี กล่าวว่า ศูนย์วัคซีนฯ ได้เตรียมความพร้อมเรื่องสถานที่และเทคโนโลยีสำหรับโรงงานผลิตวัคซีนที่จะมีขึ้นในอนาคตไว้แล้ว แต่สิ่งที่ขาดอยู่ขณะนี้คือเงินทุน ซึ่งเขาหวังให้รัฐบาลเป็นหัวเรือใหญ่ ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดกั้นเอกชนที่สนใจและมีความสามารถที่จะทำได้ เพื่อให้ได้วัคซีนราคาถูกสำหรับประชาชนไทย และพัฒนาศักยภาพของประเทศไปพร้อมกัน







http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000013088


































อย่าสงสัยว่าทำไมเงินเดือนไม่ขึ้น หลังจากทำงานผ่านไปได้ 2 ปี หนุ่มคนหนึ่งก็เริ่มสงสัยว่า ทำไม๊ทำไมเค้าไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเลย

เช้าวันหนึ่งเค้าตัดสินใจเข้าไปพบผู้จัดการแผนกบุคคล และคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อฝ่ายบุคคลได้ฟังข้อสงสัยของเค้า จึงได้หัวเราะเชิญให้เค้านั่งลงและพูดว่า

บุคคล : นี่คุณ คุณจะให้ผมขึ้นเงินเดือนให้คุณได้ยังไง ในเมื่อคุณไม่ได้ทำงานที่นี่เลยแม้แต่วันเดียว

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก แต่ฝ่ายบุคคลก็ยังคงใจเย็นและอธิบายต่อไป

บุคคล : ไหนคุณตอบคำถามผมหน่อยสิ ในหนึ่งปีมีกี่วัน
ชายหนุ่ม : 365 วัน และบางปีก็ 366 วันครับ

บุคคล : แล้วในหนึ่งวันมีกี่ชั่วโมง
ชายหนุ่ม : 24 ชั่วโมง

บุคคล : แล้วในหนึ่งวัน คุณทำงานกี่ชั่วโมง
ชายหนุ่ม : 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น มีพัก 1 ชั่วโมง ..........ทำ 8 ชั่วโมงครับ

บุคคล : อาฮะ .... แสดงว่า คุณทำงานเท่าไหร่ต่อหนึ่งวัน
ชายหนุ่ม : ก็ทำ 8/24 ชั่วโมง ก็แปลว่า 1/3 ก็คือทำงาน 1 ใน 3 ของวันครับผม

บุคคล : โอเคขอบคุณมาก งั้นลองมาคิดต่อนะ คุณทำงาน 1 ใน 3 ของ 366 วันแสดงว่าคุณทำงานกี่วัน
ชายหนุ่ม: 1 ปี ผมทำงาน 122 วันครับ (366 หาร 3 = 122 วัน)

บุคคล : เอาล่ะ ปกติคุณมาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ด้วยรึเปล่า
ชายหนุ่ม : ไม่ได้มาครับ

บุคคล : แล้วปีหนึ่งมีวันหยุดสุดสัปดาห์กี่วัน
ชายหนุ่ม : มีวันเสาร์ 52 วัน วันอาทิตย์ 52 วัน รวมเป็น 104 วันครับ

บุคคล : 1 ปี คุณว่าคุณทำงานจริง 122 วัน แต่มีเสาร์อาทิตย์อีก 104 วัน งั้นตกลงคุณทำงานกี่วัน
ชายหนุ่ม : 122 – 104 = 18 วันครับ (เสียงเริ่มอ่อย)

บุคคล : โอเค .. ปกติผมอนุญาตให้คุณลาป่วยได้ปีละ 2 อาทิตย์ ซึ่งก็คือ 14 วัน ตกลงตอนนี้คุณเหลือเวลาทำงานกี่วัน
ชายหนุ่ม : 18 – 14 = 4 วันครับ

บุคคล : แล้ววันปีใหม่คุณมาทำงานมั๊ย
ชายหนุ่ม : ไม่ครับ

บุคคล : วันแรงงานล่ะ
ชายหนุ่ม : ไม่ครับ

บุคคล : ตกลงเหลือกี่วัน
ชายหนุ่ม : 2 วันครับ

บุคคล : วันพ่อมาทำงานมั๊ย
ชายหนุ่ม : ไม่มาครับ

บุคคล : ตกลงเหลือกี่วันแล้ว
ชายหนุ่ม : 1 วันครับ

บุคคล : แล้ววันแม่ล่ะ หยุดมั๊ย
ชายหนุ่ม : หยุดครับ

บุคคล : ตกลงปีนึงคุณทำงานให้บริษัทกี่วันเนี๊ยะ
ชายหนุ่ม : ไม่ได้ทำเลยครับ!!!

บุคคล : อ้าว !! .. แล้วนี่คุณจะมาเรียกร้องอะไรอีกเนี๊ยะ
ชายหนุ่ม : ผมเข้าใจแล้วครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทุกวันนี้ เงินเดือนที่ผมได้ เหมือนกับขโมยบริษัทมาเปล่าๆเลยครับ

ชายคนหนึ่งมีภรรยาอยู่ 4 คน
ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ ทุกอย่าง
ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหา ภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้ง คราว
ภรรยาคน ที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไป หาไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ

ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับ
ต้องถูก ประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่า

เขาขอกลับบ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง
ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต

เมื่อกลับ มาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1
เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟังและถามภรรยา คนที่ 1 ว่า "
ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่างไร? "
ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า " ถ้าเธอตาย เราก็จบ กัน"
คำตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่าง จัง
เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่าง ยิ่งนึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้ เลย

จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก
เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟังและถามคำถาม
เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร?
ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ "
เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึก
เสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน
เขาเดินคอตก


มาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถามภรรยา คนที่ 3 ว่า" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3
จะทำ อย่างไร? "ภรรยา คนที่ 3 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง "
ทำให้เขา คลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง
อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับ เขา


ก่อนกลับไป รับโทษ เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งไม่
เคยไปหาเลยจึงไป หาภรรยาคนที่ 4
และถามว่า" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร? "
ภรรยาคน ที่ 4 ตอบว่า "ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย "
แทนที่เขา จะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขา
มีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคน นี้
แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย
แล้วชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหาร และเมื่อเขาตาย
ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไปด้วย.....

เราทุกคนก็มีภรรยา 4 คน นี้
มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? ลองคิดกันก่อน นะ
แล้วค่อยดูเฉลย
....................................................................................


ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกันบ้าง

ภรรยาคน ที่ 1 = ร่างกายของเรา
เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่าง
อยากได้อะไรก็หาให้แต่ พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตาย
ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น

ภรรยาคนที่ 2 = ทรัพย์สมบัติ
เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่
เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน มา แต่พอเราตาย
มันกลับไม่ไปกับเราแต่ไปเป็นของคน อื่น

ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง
เพราะพอเรา ตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไป ให้ แปลว่า
เขา แค่ไปส่งเราเท่านั้น


ภรรยาคนที่ 4 = บุญกับ บาป
เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้
มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป



.....หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง ?
.... จะให้ความสำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?


ใครจะเชื่ออัจฉริยะสร้างได้ด้วย "ออทิสติก" ทั้ง "ไอน์สไตน์-นิวตัน" เข้าข่าย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 กุมภาพันธ์ 2551 09:59 น.

เดอะเดลีเทเลกราฟ-นักจิตเวชศาสตร์ลงความเห็น "ไอน์สไตน์" และ "นิวตัน" 2 นักวิทยาศาสตร์ชั้นเซียนของโลกมีความบกพร่องทางสังคม หรือมีอาการของออทิสติกร่วมด้วย และความผิดปกตินี้เองที่เป็นสิ่งผลักดันให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยบุคคล
       
       ไมเคิล ฟิตซ์เจอรัลด์ (Michael Fitzgerald) ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์แห่งวิทยาลัยทรินิตี (Trinity College) กรุงดับลิน ไอร์แลนด์ เปิดเผยระหว่างการประชุมวิชาการด้านจิตเวชศาสตร์ (the Royal College of Psychiatrists' Academic Psychiatry) ว่า 2 นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกอย่าง "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" (Alber Einstein) และ "ไอแซค นิวตัน" (Isaac Newton) มีความบกพร่องทางพัฒนาการด้านสังคม ซึ่งจัดอยู่ในอาการของ "ออทิสติก" และมีส่วนทำให้บุคคลทั้งสองประสบความสำเร็จในฐานะนักวิทยาศาสตร์ของโลก
       
       ฟิตซ์เจอรัลด์ระบุว่า ทั้งไอน์สไตน์ซึ่งเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ และนิวตันผู้ค้นพบกฏความโน้มถ่วงของโลก มีบุคลิกภาพที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขามีอาการอยู่ในกลุ่มของออทิสติก (autism spectrum disorder) ที่เรียกว่า "แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม" (Asperger's syndrome) ซึ่งเป็นความบกพร่องทางสังคม ไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลทั่วไป แต่มักมีความจำดี ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และชอบทำซ้ำๆ แต่จะไม่มีความบกพร่องในด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร
       
       "เป็นที่รู้กันดีว่านิวตันชอบทำงานติดต่อกันหลายวันชนิดลืมวันลืมคืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน หรือหยุดพักผ่อนบ้างเลย ส่วนไอน์สไตน์ก็ต้องไปทำงานอยู่ในสำนักงานทะเบียนสิทธิบัตร (patent office) เพราะดื้อรั้นและไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเหล่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัย" ฟิตซ์เจอรัลด์ เผย
       
       นอกจากไอน์สไตน์และนิวตันที่ปรากฏอาการในกลุ่มออนิสติกนี้แล้ว ยังมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงก้องโลกที่อยู่ในแวดวงต่างๆ ทั้งการเมือง ศิลปะ หรือวรรณกรรม อีกหลายคนที่มีลักษณะอาการเดียวกันนี้ เช่น ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) นายพลผู้แกร่งกล้าและอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2,
       
       จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษผลงานที่โด่งดังที่สุดคือ "รัฐสัตว์" (Animal Farm), บีโธเฟน (Beethoven) ชาวเยอรมนี และโมสาร์ท (Mozart) ชาวออสเตรีย 2 นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งยุคคลาสสิก,
       
       ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักแต่งนิทานชื่อก้องโลกชาวเดนมาร์กเจ้าของผลงาน "เดอะลิตเติล เมอร์เมด" (The Little Mermaid) และอิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชื่อดังชาวเยอรมัน
       
       หลังจากที่ศึกษาบุคลิกลักษณะดังกล่าวนี้มากว่า 1,600 คน ฟิตซ์เจอรัลด์ก็ลงความเห็นว่ากลุ่มอาการออทิสติกนี้ล้วนปรากฏอยู่ในอัตชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกหลายต่อหลายคน ซึ่งเขาบอกด้วยว่าความเป็นอัจฉริยบุคคลนั้นถูกกำหนดไว้ในพันธุกรรมอยู่แล้ว
       
       อย่างไรก็ดี ยังไม่มีใครรู้ว่ายีนไหนกันแน่ที่มีบทบาทสำคัญ และต้องมีมากน้อยเท่าใด
แต่เชื่อว่าต้องมีหลายยีนที่เป็นตัวกำหนดให้มีบุคลิกเช่นนั้น
       
       ทั้งนี้ฟิตซ์เจอรัลด์ ยังแต่งหนังสือเรื่อง "ยีนอัจฉริยะ: คนมีพรสวรรค์ที่เป็นแอสเพอร์เกอร์เปลี่ยนโลกได้อย่างไร" (Genius Genes: How Asperger Talents Changed the World) ที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยนำเสนอเรื่องราวชีวิตและพฤติกรรมของบุคคลผู้มีชื่อเสียงของโลก 21 คน ที่มีการแสดงออกของลักษณะอาการแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม เพื่อเป็นกรณีศึกษา ซึ่งรวมถึงนิวตันและไอน์สไตน์ด้วย
       
       ทั้งนี้ฟิตซ์เจอรัลด์ระบุว่าบุคคลที่มีอาการในกลุ่มของออทิสติกนี้จะพบได้ประมาณ 60-120 กรณี ในจำนวน 10,000 คน
       
       ฟิตซ์เจอรัลด์บอกอีกว่า บุคคลที่บกพร่องด้านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อาจมีความหวาดระแวงหรือขัดแย้งอยู่ในใจ แต่พวกเขาเหล่านี้จะมีจริยธรรมและความตั้งใจที่สูงมาก พวกเขาสามารถจดจ่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานถึง 20-30 ปีได้โดยที่ไม่ไขว้เขวไปเรื่องอื่น ซึ่งเกินความคาดหมายของคนทั่วไป
       
       "การศึกษาจิตเวชศาสตร์มักมุ่งไปที่อาการผิดปกติด้านลบของผู้ป่วยที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป แต่ทั้งนี้ต้องการนำเสนอให้เห็นว่าความบกพร่องทางจิตก็ส่งผลให้เกิดมิติทางด้านบวกได้เช่นกัน ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในอัจฉริยบุคคลทั้งหลาย" ฟิตซ์เจอรัลด์กล่าว

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000023726

 

รายงาน: การจัดการศึกษาในปอเนาะของสังคมมุสลิมท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม

อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

[email protected]

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

วันที่ 15- 16 มีนาคม 2551 ณ โรงแรมหาดใหญ่รามา จ.สงขลา สมาคมผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดสงขลา ได้ร่วมกับ ศูนย์บริหารกิจการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศฮ.บต.) จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง มุสลิมกับสันติภาพ: การจัดการศึกษาท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม ขึ้น เพื่อระดมความคิดจากผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็นครูผู้รับผิดชอบฝ่ายวิชาการโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้, ครูจากสถาบันปอเนาะ และครูตาดีกา จำนวน150 คน ได้ร่วมกันคิดหาแนวทางในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับพหุสังคมในยุคโลกาภิวัตน์และสามารถบูรณาการกับหลักการศาสนาอิสลาม โดยกำหนดกิจกรรม 2 ส่วนด้วยกันกล่าวคือดังนี้ อภิปรายโดยวิทยากรและการอภิปรายกลุ่มย่อยสิบกลุ่ม

สำหรับอภิปรายโดยวิทยากรนั้น สองช่วงด้วยกันคือช่วงเช้าของวันที่ 15 มีนาคม 2551อภิปรายในหัวข้อ บทบาทปอเนาะต่อพัฒนาการของสังคมมุสลิมในภาคใต้ของไทยโดย อ. ศักรินทร์ สุมาลี อ. สมาน ดือราแม กรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา อ.อิสมัย เบ็ญจสมิธ นักวิชาการอิสระด้านวัฒนธรรมอิสลามจังหวัดชายแดนโดยมี ผู้เขียน (อ.อับดุลสุโก ดินอะ) ดำเนินการอภิปราย และช่วงบ่ายอภิปรายในหัวข้อ “มองทิศทางของพหุสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์ ภายใต้การจัดการศึกษาของสังคม มุสลิม”โดยผศ.ดร.อิบรอเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต หัวหน้าภาควิชาอิสลามศึกษาม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

อ.มูฮำหมัด อาดัม วิทยากรจากสถาบันปอเนาะ อ.หามะสูดิง มามะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการโรงเรียนพัฒนาวิทยา จ.ยะลาวิทยากรจากสถาบันปอเนาะโดยมี ผศ.วุฒิศักดิ์ พิศสุวรรณ จากการอภิปรายทั้งสองช่วงพบว่าผู้อภิปรายได้มีความคิดเห็นตรงกัน

การจัดการศึกษาในปอเนาะไม่ว่าจะอยู่ในระบบของสถาบันศึกษาปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามได้กลายเป็นวิถีชีวิตของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อสถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้ามาสู่โลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำให้ความเป็นพหุสังคมได้แพร่กระจายเข้าสู่สังคมมุสลิมมากยิ่งขึ้น มุสลิมเองต้องมีการดำเนินชีวิตกับต่างศาสนิกที่มีวัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการนั้นการจัดการศึกษาโดยเฉพาะหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันต่างๆต้องสามารถปรับปรนและสามารถบูรณการกับหลักการศาสนาได้

คนไทยมลายูมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งจะเดินไปสู่หนใดท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งจากกระแสโลกและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น การก้าวไปสู่ความทันสมัยของมาเลเซีย-ประเทศเพื่อนบ้าน กระแสการฟื้นฟูศาสนา (Religious Revivalism) โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม การเสาะแสวงหาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้อย่างเต็มที่ในรูปแบบเศรษฐกิจทุนนิยมไทยและสภาพการณ์ทางการเมืองในประเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการเมืองท้องถิ่นที่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง

หากจะแบ่งกลุ่มคนที่มีวิธีจัดการกับปัญหาดังกล่าวจะสามารถแบ่งกลุ่มคนได้ 3 ประเภท

1.สมัยใหม่หรือก้าวหน้าซึ่งเป็นกลุ่มที่ยอมรับและเจริญรอยทุกฝีก้าวตามกระแสโลกาภิวัตน์

2.อนุรักษนิยมซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการหลีกหนีจากการเผชิญหน้าและต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์โดยกลุ่มนี้มีทัศนคติว่าโลกาภิวัตน์ (Globalization) คือ แนวคิดที่ต้องการจะขับเคลื่อนให้สังคมมุสลิมเป็นตะวันตก (westernization) คือ มีวิถีชีวิตแบบวัตถุนิยม บริโภคนิยม ให้ชาวมุสลิม โดยอาศัยกระบวนการเคลื่อนไหวของข้อมูล ทุน และทรัพยากรอย่างรวดเร็ว ดังนั้น อินเตอร์เน็ต ระบบเชื่อมโยงข้อมูล ระบบการขนส่งที่ดีจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ

จากผลของสองกลุ่มดังกล่าวทำให้มีการปะทะทางความคิดอย่างรุนแรงให้สังคมมุสลิมเอง ดังนั้น ควรมี

กลุ่ม 3 ที่สามารถเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาและคนมุสลิมเองควรคิดแนวทางการจัดการปัญหาดังกล่าวด้วยตนเองที่เหมาะสม บูรณาการได้กับวิถีมลายูท้องถิ่น หลักการศาสนาอิสลามและปรับเข้ากันอย่างกลมกลืนกับโลกาภิวัตน์และความหลากทางวัฒนธรรม กลุ่มมุสลิมกลุ่มนี้จะมีทัศนคติเป็นของตนเองและภาคภูมิใจในเอกลักษณ์แห่งไทยมลายูมุสลิม สำนึกต่อพันธกิจและยึดมั่นในศาสนาที่ตนเองนับถือ เชื่อในความเป็นสากลนิยม และอารยธรรมแห่งประชาชาติ

มุสลิมกลุ่มนี้จะไม่หลีกหนีจากกระแสการเผชิญหน้าทุกรูปแบบ และกล้าที่จะสนทนาแลกเปลี่ยน (Dialogue) ความรู้ ประสบการณ์ และแนวคิดอย่างสันติกับทุกกลุ่มของลัทธิโลกาภิวัตน์ซึ่งแน่นอนที่สุด

แนวคิดในกลุ่มที่สามจะสามารถบรรลุได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ฐานการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ในชุมชนมุสลิมเอง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนของรัฐ สถาบันปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และศูนย์การเรียนของมัสยิดที่สามารถปลูกฝังแนวคิด ทัศนคติ และค่านิยมที่ถูกต้องตั้งแต่เด็กตลอดจนผู้ใหญ่

และท้ายสุดจะสามารถทำให้คนในพื้นที่สามารถใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ด้วยวิถีไทยมลายูมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สามารถเผชิญกับกระแสการก่อการร้าย การปะทะทางวัฒนธรรม และสังคมทุนนิยมของโลกยุคโลกาภิวัตน์ ในขณะเดียวกันมุสลิมหลายคน ที่ผ่านระบบการศึกษาในสถาบันทั้งสองเมื่อต้องปฏิสัมพัน์ธ์กับต่างศาสนิกจะไม่มีความรู้พอในหลักปฏิบัติทางศาสนาและขอบเขตของศาสนาในการปฏิบัติตนต่อศาสนิก เช่น การทักทายกับต่างศาสนิกตามวิถีวัฒนธรรมไทยเช่น การไหว้ทักทาย การขอบคุณ การพูดคุยเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกสอนในหลักปฏิบัติทางศาสนาที่ถูกต้องซึ่งบางครั้งทำให้ต่างศาสนิกเข้าใจผิดมุสลิมว่าไม่มีมารยาทในการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

อีกสิ่งหนึ่งซึงพบในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามการแยกวิชาศาสนาและวิชาสามัญนั้นทำให้ผู้เรียนเมื่อเรียนวิชาศาสนาจะมีความรู้สึกเคร่งครัดอยู่ในกรอบของหลากการศาสนา ในขณะเดียวกันเมื่อเรียนวิชาสามัญผู้เรียนหรือแม้กระทั่งครูผู้สอนส่วนใหญ่จะไม่มีความรู้สึกผูกพันกับหลักการศาสนา อ. ศักรินทร์ (ชากีรีน) สุมาลี มีทัศนะว่า วิถีชีวิตของสังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมโลก ในขณะที่การจัดการศึกษาของสังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่สามารถผลิตให้เยาวชนมุสลิมสามารถเผชิญหน้ากับสังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์ได้ สังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนเองไว้ได้ เมื่อสังคมโลกปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควรปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และบทบาทเพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยที่ยังรักษาเจตนารมณ์ และ อัตลักษณ์ของปอเนาะดั้งเดิมไว้อย่างเข้มแข็ง นั่นคือ เจตนารมณ์ในการสืบทอดอิสลามสู่คนรุ่นหลังอย่างเข้มแข็ง ซึ่งปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในอนาคตที่ควรจะเป็น ดังนี้

1. ปอเนาะควรเป็นองค์กรแห่งการแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เพื่อพัฒนาบุคลากรในองค์กร ให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทได้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก

2. ปอเนาะควรเป็นสังคมแห่งองค์ความรู้ (Knowledge Based Society ) อย่างแท้จริง เพื่อให้ชุมชนและสังคมได้พึ่งพาองค์ความรู้ที่ถูกต้องในทุกแขนง โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านศาสนา

3. ผู้บริหารต้องมีแนวคิด (concept) ในการบริหารอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะแนวคิดการบริหารที่ใช้อิสลามเป็นฐาน มีทักษะการบริหาร มีความเชี่ยวชาญในการบริหารงานวิชาการ สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ได้ และต้องสามารถให้ให้คำแนะนำ (Coaching) แก่ครูได้

4. ครูปอเนาะต้องมีความรู้ความเข้าใจอิสลามเป็นพื้นฐาน สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างครูมืออาชีพ เข้าใจพัฒนาการของผู้เรียน ที่สำคัญครูปอเนาะต้องสามารถปลูกฝังอิสลามและสามารถสอนโดยการบูรณาการองค์ความรู้กับอิสลามได้ในทุกวิชา

5. หลักสูตรของปอเนาะ ควรเป็นหลักสูตรที่บูรณาการโครงสร้างทั้งสองหลักสูตรให้เป็นหลักสูตรเดียว หลักสูตต้องพัฒนาผู้เรียนทั้งโดยใช้เนื้อหาและกิจกรรม อีกทั้งหลักสูตรต้องตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่หลากหลาย และตอบตอบสนองความต้องการของสังคมอีกด้วย

6. ปอเนาะต้องมีสื่อและนวัตกรรมที่หลากหลาย เช่น อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ อีเลินนิ่ง ฯลฯ

7. ปอเนาะต้องมีปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) ที่สมบูรณ์และเพียงพอ เช่น อาคารเรียนที่ทันสมัยขั้น ห้องสมุดที่มีหนังสือจำนวนมากและหลากหลาย ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องพัฒนาบุคลิกภาพ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ฯลฯ

แนวทางในการปรับเปลี่ยนปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามสู่อนาคต มีดังนี้

1. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นั่นคือ ผู้บริหาร ครู และนักเรียน มากกว่าการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน และควรพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้นภายใต้แนวคิดการบูรณาการองค์ความรู้กับอิสลาม (Islamization of Knowledge) ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งในการสามารถบูรณาการศาสนาอิสลามกับศาสสตร์สาขาต่างๆ ซึ่งระบบการศึกษาในสังคมมุสลิมยุคปัจจุบันกำลังถูกกระบวนการไถ่ถอนศาสนา

กระบวนการ “ไถ่ถอนศาสนา” ออกจากสังคมหรือที่เรียกในภาษาฝรั่งว่า secularization เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนสู่ความทันสมัยที่เกิดขึ้นในทุกสังคมทั่วโลก แต่สังคมที่รอดพ้นจากความรุนแรงของกระบวนการ “ไถ่ถอนศาสนา” ที่สุดคือสังคมมุสลิม การที่สังคมมุสลิมผ่านกระบวนการ “ไถ่ถอนศาสนา” ออกจากสังคมน้อย เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของสังคมมุสลิมในโลกปัจจุบัน ทั้งนี้แล้วแต่ใครจะมอง และมองจากแง่ไหน

ก่อนอื่นควรเข้าใจด้วยว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาและการแสวงหาความรู้อย่างยิ่ง ถือกันตามคำสอนว่าการศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่มุสลิมควรทำตราบจนสิ้นลมหายใจแต่ความรู้ไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง การมีความรู้มากเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ในสายตาของอิสลาม แต่ความรู้นั้นต้องเพิ่มสมรรถนะในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า มูฮัมหมัด อิคบัล (นักปราชญ์และกวีปากีสถาน) อธิบายว่า ความรู้หรือ ilm ในภาษาอาหรับ คือความรู้ที่มีฐานอยู่บนประสาทสัมผัส ความรู้ชนิดนี้ให้อำนาจทางกายภาพ

ฉะนั้นความรู้หรืออำนาจทางกายภาพนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ din หรือศาสนาอิสลาม ถ้าความรู้หรืออำนาจไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ din ก็ย่อมเป็นสิ่งชั่วร้ายฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ต้องทำให้ความรู้เป็นอิสลาม (Islamize knowledge) ถ้าความรู้อยู่ภายใต้กำกับของ din ความรู้ก็จะเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ในทางปฏิบัติ รับใช้พระผู้เป็นเจ้าหมายถึงการมีศีลธรรม, มีความยุติธรรม และมีความกรุณา

นักปราชญ์บางท่านอธิบายว่าคุณลักษณะสามประการนี้ สรุปรวมก็คือการมีความสัมพันธ์เชิงเกื้อกูลกับคนอื่น นับตั้งแต่ญาติพี่น้องไปจนถึงสังคมโดยรวมนั่นเองการศึกษาของอิสลามจึงไม่ใช่การฝึกวิชาชีพเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการฝึกวิชาชีพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตนเองในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า หรือรับผิดชอบต่อสังคมได้มากขึ้นหนึ่งในลักษณะเด่นของระบบการศึกษาอิสลามก็คือ ควรแสวงหาความรู้และเผยแพร่ความรู้แก่คนอื่นไม่ใช่เพื่อได้รับเงินตอบแทน แต่เพื่อประโยชน์ของสังคม และเพื่อความพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า (Afzalur Rahman, Islam : Ideology and the Way of Life) ฉะนั้น ประเด็นจึงไม่ใช่ว่านโยบายของกระทรวงศึกษาจะล้มเหลว ไม่อาจเชื่อมโยงระบบการศึกษาของมุสลิมให้เข้ากับระบบการศึกษาของประเทศได้

2. ควรวางระบบประกันคุณภาพการศึกษา ทั้งการประกันคุณภาพภายในและประกันคุณภาพภายนอกที่ไม่ใช่เน้นการสร้างเอกสารมากว่าคุณภาพแลความเป็นจริง

3. พัฒนาหลักสูตรโดยการบูรณาการโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 กับ หลักสูตรอิสลามศึกษา พ.ศ.2546 พร้อมกับจัดให้มีแผนการเรียนที่หลากหลายมากขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

- ลดภาระการเรียนของนักเรียน

- ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนและสังคม

- พัฒนาผู้เรียนโดยผ่านเนื้อหาวิชาการและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

ในขณะเดียวกันจะต้องเสริมวิชาหรือกิจกรรมการอยู่ร่วมอย่างสันติในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบของหลักการศาสนาที่สามารถปรับปรนได้

4. พัฒนาสื่อและนวัตกรรมภายใต้แนวคิด การบูรณาการองค์ความรู้กับอิสลาม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปอเนาะในอนาคต จะเป็นปอเนาะคุณภาพ ปอเนาะที่มีศักยภาพในการทำหน้าที่ถ่ายทอดศาสนธรรมให้แก่คนยุคหลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะนำพาพวกเขาไปสู่การดำรงชีวิตยุคในโลกาภิวัตน์อย่างน่าภาคภูมิใจ ได้รับความพอพระทัยจากอัลลอฮฺ อันนำมาซึ่งความสำเร็จทั้งโลกนี้(ดุนยา)และโลกหน้า (อาคีเราะฮฺ ) อินชาอัลลอฮฺ

ฟีโรโมน สารเรียกรัก

คุณเคยสงสัยกันรึเปล่าว่า ก่อนที่เราจะรักใครสักคน มันจะต้องมีเหตุผลอะไรประกอบบ้าง บางคนบอกว่า ก็เขาน่ารัก นิสัยดี สวย หล่อ และอะไรอีกมากมาย หลายคนอาจเชื่อในพรหมลิขิต ที่เบื้องบนดลบันดาลให้คนทั้งสองมาพบกัน แต่พอคิดอีกทีมันก็เป็นเรื่องที่ยากต่อการพิสูจน์ ปริทรรศน์วันนี้เรามีคำตอบให้คุณผู้อ่านคลายข้อสงสัยดังกล่าว แม้ว่าเรื่องที่เรากำลังจะนำเสนอยังต้องรอการพิสูจน์อย่างเป็นทางการอยู่

เคยสงสัยในความรู้สึกของตัวเองหรือไม่ว่า ทำไมเราถึงได้เกิดความรู้สึกรักใครบางคนขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้หล่อ รวย หรือเป็นคนดีอะไร แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้เราหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือเขินอายเพราะทำอะไรเปิ่นๆ ออกไป

นิตยสาร Her World ได้อธิบายเรื่องสารฟีโรโมน ที่เขียนโดย นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ว่า สารฟีโรโมน เป็นสารที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยกลิ่นเหมือนอย่างมดหรือผึ้ง แต่เราสามารถรับรู้ได้ทางสมอง สังเกตได้โดย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไปเจอคนที่ตรงสเปก หรืออยู่ดีๆ ก็เกิดความรู้สึกปลื้ม ชอบ ประทับใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ความรู้สึกนี้แหละที่เรียกว่าสารฟีโรโมนในร่างกายเรากำลังทำงาน ที่สำคัญอีกข้อคือถ้าผู้หญิงคนไหนที่ติดพ่อมาก หรือรักพ่อมากๆ หากเธอได้ไปพบเจอชายที่มีกลิ่นหรือนิสัยคล้ายพ่อเมื่อไหร่ ผู้หญิงคนนั้นมักจะตกหลุมรักเขาไปโดยไม่รู้ตัว

จากหลักวิทยาศาสตร์ สู่หลักความจริง

ตามหลังวิชาการคำว่า ฟีโรโมน (Pheromone) นั้นเกิดจากการรวมกันของคำในภาษากรีก "Pherein" ที่แปลว่า to carry และ "Hormon" ที่แปลว่า to excite โดยกลุ่มนักวิจัยยุคแรก คือ Karlson และ Luscher ได้คิดค้นคำนี้ในปี ค.ศ. 1959 และอาจเรียกฟีโรโมนว่า ecto-hormones กล่าวคือเป็นสารเคมีที่หลั่งออกจากร่างกายแล้วไปมีผลต่อพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิด (สปีชีส์) เดียวกัน เช่น ฟีโรโมนที่มดหลั่งออกมาไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ และฟีโรโมนที่มนุษย์เราผลิตขึ้นก็มีผลต่อมนุษย์เราด้วยกันเองเท่านั้น เป็นต้น

เมื่อโมเลกุลของฟีโรโมนถูกหลั่งออกจากร่างกายทั้งจากระบวนการของร่างกายเราเองและปฏิกิริยาชีวเคมีของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น เช่น จากบริเวณรักแร้ สารคัดหลั่งที่อวัยวะเพศ น้ำปัสสาวะ และผิวหนังทั่วไป เป็นต้น เดินทางผ่านตัวกลางในอากาศ เมื่อจับกับตัวรับซึ่งคาดว่าเป็นตัวรับชนิดที่เรียกว่า Vemeronasal receptors ที่จมูก แล้วจึงส่งสัญญาณข้อมูลไปยัง Olfactory Bulb และประมวลผลขั้นสูงยังสมองส่วนต่างๆ ต่อ

ฟีโรโมนเป็นคำที่มาจาก คำภาษากรีก 2 คำรวมกันที่รวมกันแล้ว แปลความได้ว่านำเอาความตื่นเต้นมาให้ เป็นความตื่นเต้นในความรัก ตื่นเต้นที่จะได้มีการเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า สัตว์ทุกชนิดในห้วงเวลาที่มีการเจริญพันธุ์นั้นจะมีการหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา สารดังกล่าวเรียกกันว่าฟีโรโมน ส่วนมากแล้วจะหลั่งออกมาจากเพศเมีย เพราะต้องการเรียกให้ตัวผู้มาทำการผสมพันธุ์จะได้เจริญเผ่าพันธุ์ต่อไป ไม่สูญพันธุ์ไปเสียก่อน ต่อมาก็พบว่าปลาบางชนิดก็มีสารฟีโรโมนดังกล่าวด้วย เช่น ปลาฉลามและปลาแซลมอน ในสัตว์บกนั้นพบเกือบทุกชนิด และไม่เว้นแม้แต่สัตว์ปีกตัวเล็กๆ เช่น ตั๊กแตน ผีเสื้อ แต่ไม่พบในนก

โดยปกติแล้วฟีโรโมนเป็นสารที่ระเหยได้ และสร้างออกมาจากเพศหนึ่ง เพื่อกระตุ้นอีกเพศหนึ่งให้เกิดอารมณ์รักใคร่ อยากจะได้ไว้เป็นคู่ ฟีโรโมนออกฤทธิ์อย่างแรงในการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกรักใคร่ อยากเป็นของกันและกันให้มากขึ้นในเผ่าพันธุ์เดียวกัน รับรองว่าฟีโรโมนของคุณไม่สามารถไปกระตุ้นม้าหรือช้างให้รักคุณได้เด็ดขาด

สารเรียกรักที่มากกว่า คำว่ารัก

เวลาที่พูดถึงฟีโรโมนนั้นมักจะเรียกกันว่า กลิ่นเรียกรัก แต่โดยแท้ที่จริงแล้ว ฟีโรโมนนั้นไม่มีกลิ่นที่รับรู้ได้จากทางจมูก ซึ่งกลิ่นที่ไม่มีกลิ่นดังกล่าวคนเราจะรับรู้ได้จากสมอง โดยฟีโรโมนจะหลั่งออกมาเพียงน้อยนิด แต่ก็สามารถที่จะเรียกคู่ได้จำนวนมหาศาล โดยปกติแล้ว ฟีโรโมนมักจะหลั่งออกมาจากเพศหญิงเพื่อที่จะให้ชายมาหลงรัก

คุณจำได้ใช่ไหมว่า ฟีโรโมนแท้ๆ นั้นไม่มีกลิ่น ดังนั้น รับรองว่าไม่ใช่กลิ่นที่เรียกว่าสาบสาวอย่างเด็ดขาด เป็นที่เชื่อกันมานานแล้วว่า สัตว์เพศผู้ทั้งหลายมีตัวรับกลิ่นเสน่ห์หรือฟีโรโมนดังกล่าวอยู่ในสมอง จึงสามารถที่จะหลงเสน่ห์เพศเมียได้ ในขณะที่สัตว์เพศเมียไม่มีตัวรับกลิ่นดังกล่าว จึงไม่มีการหลงเสน่ห์ตัวเอง ในสัตว์บกบางชนิดนั้น ตัวผู้ก็มีฟีโรโมนเหมือนกันและเป็นตัวกระตุ้นให้ตัวเมียเกิดการตกไข่ เช่น ในกระต่ายและหนูนั้นตัวเมียจะเกิดการตกไข่ก็ต่อเมื่อได้กลิ่นฟีโรโมนของตัวผู้เท่านั้น

ไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมาที่มีการสกัดเอาฟีโรโมนของมนุษย์เราออกมาได้เป็นผลสำเร็จ โดยสกัดเอาฟีโรโมนจากผิวหนัง ซึ่งเมื่อนำเอาสารสกัดดังกล่าวไปทดสอบกับอาสาสมัครจำนวน 40 คน ผลการทดลองนั้น อาสาสมัครตอบว่ามีความรู้สึกดี เป็นมิตร และอยากตอบสนองต่อความรัก พูดง่ายๆ ก็คือทำให้มีอารมณ์แห่งความรักนั่นเอง

และเนื่องจากเคยมีการวิจัยพบว่า ในน้ำหล่อลื่นและตกขาวตามธรรมชาติของผู้หญิงที่สะอาดนั้น มักจะมีกลิ่นที่ชวนให้วาบหวาม และบางกลิ่นระเหยออกมาจากจุดซ่อนเร้นของสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดในบางห้วงเวลา เมื่อวิเคราะห์ออกมาแล้ว ปรากฏว่าประกอบไปด้วยกรดไขมันบางชนิดที่มีโครงสร้างคล้ายฟีโรโมนด้วย และคุณผู้ชายที่พิสมัยการทำรักด้วยปากกับส่วนนั้นของแฟนคุณ เคยลองสังเกตดูบ้างไหมว่า ในบางช่วง เช่น วันไข่ตกกลิ่นจะเปลี่ยนไป บางครั้งพบว่าผู้หญิงจะมีกลิ่นสะอาด หอมเย้ายวนใจ ออกมาจากส่วนนั้นเหมือนกัน

ในปัจจุบันพบว่า ฟีโรโมนของคนเรานั้นจะหลั่งออกมาในปริมาณน้อยนิด จากน้ำมันบริเวณผิวหนังรอบๆ หัวนม, ใต้รักแร้ และบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์

ฟีโรโมนของคนมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมน Dhea ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากต่อมหมวกไต เป็นต่อมเล็กๆ ที่อยู่เหนือไตทั้งสองข้าง แค่เหมือนเท่านั้น ไม่ใช่เหมือนทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าฟีโรโมนมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมน และออกฤทธิ์ต่อประสาทสมองส่วนจิตใต้สำนึกที่ทำให้คิดถึงเรื่องราวพื้นฐาน ซึ่งก็คือการเจริญพันธุ์ของมนุษยชาติ

ฟีโรโมนจึงทำให้เกิดอารมณ์รักใคร่ อารมณ์เพศ และกระตุ้นให้มีความต้องการทางเพศต่อเพศตรงข้าม ร่างกายของคนเราจะหลั่งฟีโรโมนออกมาก็ต่อเมื่อเจอกับเพศตรงข้ามที่พึงพอใจ และเมื่อตนเองมีอารมณ์เพศเท่านั้น คือ ทำให้เกิดความรัก และเพิ่มอารมณ์ที่จะมีสัมผัสรักทางกายต่อกันและกัน เมื่อคุณเกิดความรักในเขาและเธอ ฟีโรโมนก็จะหลั่งออกมา ไปกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับทราบถึงความรักและความสนใจที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการตอบสนองตามมา

มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอแล้วเกิดไปแต่งงานขึ้น เธอมีเพศสัมพันธ์กับชายคนรักอย่างสม่ำเสมอ ไม่ช้าไม่นาน ประจำเดือนของเธอก็มาเป็นปกติ แพทย์หลายท่านพยายามอธิบายว่า เกิดจากเซ็กซ์ที่สุขสมทำให้เกิดมีการหลั่งสารแห่งความสุขออกมา จนนอนหลับผ่อนคลาย ฮอร์โมนของการเจริญพันธุ์จึงหลั่งออกมาดี ทำให้มีประจำเดือนเป็นปกติได้

ตาโต แก้มยิ้ม ความรู้สึกแรกของความรัก

ขณะที่ รศ.ดร.นัยพินิจ คชภัคดี โครงการศูนย์วิจัยชีววิทยาระบบประสาทและพฤติกรรมสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า สารฟีโรโมนในคนยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีจริงหรือไม่ แต่ในจมูกคนจะมีเส้นประสาททั้งหมด 12 คู่ และเส้นประสาทคู่ที่ 0 ในจมูกจะมีเส้นประสาทที่เกิดฮอร์โมนชื่อ Vemeronasal เป็นเส้นประสาทที่มีในสัตว์แคระ เช่น มด ผึ้ง หนู กระต่าย ซึ่งในคนยังไม่มีการระบุว่ามีสารดังกล่าวอยู่ โดยโครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการวิจัยที่เสนอเกี่ยวกับฟีโรโมนในคนว่า กลิ่นรอบเดือนของผู้หญิงจะมีปฏิกิริยาด้านพฤติกรรมต่อเพศตรงข้าม และจากการวิจัยพบว่าเวลาที่นักศึกษาหญิงพักอยู่ในหอหญิงล้วน โดยไม่มีนักศึกษาชายอยู่ร่วมหอพัก รอบเดือนของนักศึกษาหญิงจะมาไม่สม่ำเสมอ แต่หากนักศึกษาหญิงพักในหอที่มีนักศึกษาชายรวมอยู่ด้วยมักจะมีรอบเดือนที่มาตามปกติ

ตามหลักฐานข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นกับคนและมีลักษณะที่คล้ายกับสัตว์ชั้นต่ำคือ คนเราสามารถรับกลิ่นหอมต่างๆ ได้โดยใช้จมูกรับกลิ่น แต่คนเราสามารถรับกลิ่นที่เรียกว่ความหลงใหล ความชื่นชอบได้ทางสมอง ขณะที่สัตว์ชั้นต่ำจะมีสารดังกล่าวไว้เพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามหรือป้องกันภัยจากศัตรู

ในปัจจุบันไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าคนเรามีสารฟีโรโมนอยู่ในร่างกายจริง แต่ก็มีการวิจัยอยู่เรื่อยๆ ที่ยังไม่มีข้อสรุป โดยมีการวิชัยชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่าเซ็กซ์ฟีโรโมน การวิจัยดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ทางธุรกิจการค้ามากมาย และทำให้เกิดความตื่นตัวทางเพศในการทำงานร่วมกัน เซ็กซ์ฟีโรโมนยังเป็นพฤติกรรมทางเพศที่ศึกษาแล้วพบว่า สิ่งแรกที่จะทำให้คนเราหลงใหลได้ก็คือรูปร่าง หน้าตา รอยยิ้ม ซึ่งจะมีความสำคัญมากกว่ากลิ่น มันจึงขึ้นอยู่กับการมองเห็นมากกว่า อีกข้อคือความรักจะขึ้นอยู่กับวัยของคนด้วยว่ามีประสบการณ์มาอย่างไร และขึ้นอยู่กับทัศ

นคติของบุคคล หากจะกล่าวว่าผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่เหมือนพ่อ และผู้ชายมักจะชอบผู้หญิงที่เหมือนแม่ก็ไม่ผิดนัก

ในประสาทการมองเห็นของคน ครั้งแรกที่พบกัน หากมีพฤติกรรมตาโต แก้มยิ้ม มักจะเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม หรือที่เรียกว่าซิมโบลิค พิคเจอร์ และหากได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น จนมีโอกาสได้ออกเดท เดินเที่ยว ทานข้าวด้วยกัน หรือคุยกันแล้วมีรสนิยมที่เหมือนกัน และถ้าเป็นช่วงที่เพศหญิงมีรอบเดือน ผู้หญิงจะยิ่งมีฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ร่างกายอบอุ่น ส่งผลมาถึงหน้าตาและทำให้สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้มากขึ้น ส่วนผู้ชายก็จะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งไม่ใช่กลิ่นเหงื่อ แต่เป็นกลิ่นหอมๆ ที่รับรู้ด้วยสมองมากกว่าจมูกในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความหลงใหล การสื่อสารภายนอกร่างกาย เป็นการทำงานของสมอง

หญิง ชาย สัมผัสฟีโรโมนได้ต่างกัน

ปิยาภรณ์ รัตนโชติสกุล นักศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เล่าให้ฟังว่าเคยดูเรื่อง ของสารฟีโรโมนในรายการเมก้า เครฟเวอร์ วันนั้นเขาทดลองเอาฝาแฝดชายมา 2 คน และให้ทั้งสองคนแยกไปอยู่ในตู้ที่จัดไว้ให้ โดยในตู้หนึ่งมีสารฟีโรโมนที่สกัดมาแล้วอยู่ด้วย แต่อีกตู้หนึ่งไม่มี แล้วก็เชิญผู้หญิงมาร่วมรายการ 5 คน วิธีการเล่นก็คือให้พวกเธอทั้ง 5 คน ปิดตาให้สนิทแล้วให้ใช้ความรู้สึกของตัวเองเลือกว่าชอบที่จะอยู่ตู้ไหนมากกว่ากัน ซึ่งการทดลอปรากฏว่าตู้ที่มีสารฟีโรโมนมีผู้หญิงเลือกถึง 4 คน ส่วนตู้ที่ไม่มีสารฟีโรโมน มีผู้หญิงเลือกแค่คนเดียว

การทดลองดังกล่าว ทำให้รู้ว่าสารฟีโรโมนมีผลต่อการดึงดูดต่อเพศตรงข้ามจริง เพราะผู้หญิงทั้ง 5 คนต่างปิดตา มองไม่เห็นหรอกว่าคนที่เธอเลือกจะหน้าตาเป็นยังไง ที่สำคัญที่สุดเขาทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน สิ่งที่ผู้หญิงทั้ง 5 คนเลือกจึงเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ดึงดูดจากเพศตรงข้ามมากกว่า

ปิยาภรณ์ ยังบอกอีกว่า ในส่วนตัวเธอเชื่อว่า สารฟีโรโมนมีอยู่จริง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยดูรายการ เมก้า เครฟเวอร์ มาก่อนเธอก็เชื่ออย่างนั้นเพราะเธอเองก็เคยรู้สึกดี กับผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเคยชอบ เธอเชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีกลิ่นของตัวเอง ซึ่งทั้งเราและเขาต่างก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้กลิ่นที่ว่านี่มันเป็นยังไง เพราะมันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม หรือกลิ่นเหงื่อ แต่เรารู้แค่ว่ามันเป็นกลิ่นที่เกิดมาจากความรู้สึก กลิ่นดังกล่าวที่ว่านี่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดกับทุกคน มันเกิดได้เฉพาะบางคนเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกของหัวใจที่มีอิทธิพล เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถอธิบายได้

ด้าน โชติวรรณ รุจิประเสริฐวงศ์ หนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้มีประสบการณ์ในเรื่องของความรัก เล่าให้เราฟังว่า ฟีโรโมนเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาพร้อมกับกลิ่นตัวซึ่งมีอยู่ในร่างกายของเราทุกคน โดยแต่ละคนก็จะมีกลิ่นที่ต่างกันออกไป กลิ่นที่ว่านี่สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาหลงเสน่ห์ตัวเราได้

“โดยส่วนตัวเชื่อว่า ฟีโรโมนเป็นสารที่สร้างความรู้สึกทางเพศได้ แต่ไม่ถึงขั้นเกิดความรักหรอก อย่างเช่นเราไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากๆ แต่เขาดันผิดกลิ่นที่เราชอบ เราก็ไม่อยากจะคบ โดยส่วนตัวเราไม่รู้นะว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นเหมือนเรารึเปล่า คือเราคิดว่าผู้หญิงที่อยู่ในช่วงก่อนที่จะมีรอบเดือนเขาจะดูสวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล น่ารักเลยแหละ มันคงเป็นช่วงที่ผู้หญิงมีฮอร์โมนเยอะมากกว่าปกติ จึงทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเสน่หา น่าหลงใหลในตัวของพวกเธอ” โชติวรรณ บรรยาย

แม้ว่าหลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สารฟีโรโมน สามารถสร้างกลิ่นที่รับรู้ได้ทางสมองจริง แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป ในขณะที่หลายคนคิดว่าแล้วอะไรล่ะที่เป็นบทพิสูจน์ เรื่องของความรัก มันเป็นอะไรกันแน่ ฟีโรโมนหรือพรหมลิขิต หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่สิ่งสำคัญที่สุดของคนที่กำลังมีความรัก หรือกำลังเสียใจ ผิดหวังอยู่ คือการใช้หัวใจและเหตุผลควบคู่กันในการตัดสินใจที่จะรักใครสักคน บางทีความรักอาจจะอยู่รอบๆ ตัวคุณ เพียงแต่คุณลองหยุด และก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ดูบ้าง คุณอาจจะเจอก็ได้

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท