เรื่องราวที่น่าสนใจ นำมาฝากและฝากเพื่ออ่านได้นะครับ
ความรักที่เกิดขึ้น . . .ท่ามกลางความเหงานั้น เกิดขึ้นได้ง่าย แต่การจะสาน |
คนไม่ได้แต่งงาน…ไม่ได้เข้าสวรรค์อย่างนั้นหรือ
โดย ชัยคฺ มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด
อิบนุ อับดุรรอูฟ แปลและเรียบเรียง
คำถาม: ดิฉันได้ยินว่า มุสลิมที่ไม่ยอมแต่งงานจะไม่ได้เข้าสวรรค์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือ? ถ้าหากเป็นเรื่องจริง หลักการนี้วางอยู่บนพื้นฐานอะไร? .... เป็นไปได้หรือไม่ว่า บุคคลหนึ่งสามารถเป็นคนดีที่เคร่งครัด ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ต้องการแต่งงาน?คำตอบ: อิสลามไม่ได้ถือเอาการแต่งงานมาเป็นเงื่อนไขในการเข้าสวรรค์ แต่เมื่อบุคคลใดเกรงว่าตัวเขาจะทำสิ่งต้องห้าม(เนื่องจากไม่ได้แต่งงาน)ก็จำเป็นต้องแต่งงาน กรณีนี้หากว่าเขาไม่ยอมแต่งงานอีก ก็ถือว่าเขากระทำความผิด ประเด็นที่สองคำตอบคือ เป็นไปได้ที่บุคคลหนึ่งสามารถเป็นคนดีที่เคร่งครัด โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องแต่งงาน แต่ว่ากรณีเช่นนี้หายาก ส่วนใหญ่แล้วคนที่ละทิ้งการแต่งงานนั้น มักเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งในสองประเภทนี้ก็คือ เป็นคนไร้ความสามารถหรือไม่ก็เป็นคนทำซีนา ดังที่ท่านอุมัร อิบนุ อัล ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวต่อชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมแต่งงานว่า “สิ่งที่ขัดขวางมิให้ท่านแต่งงาน คือการไร้ความสามารถหรือการทำความชั่ว” ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม อิสลามกระตุ้นให้มีการแต่งงาน โดยจัดมันว่าเป็นแบบอย่างของศาสนทูตทั้งหลาย และห้ามไม่ให้ละทิ้งการแต่งงาน เพียงด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการมุ่งทำอิบาดะฮฺ (ดังมีคำกล่าวที่ยอมรับกับทั่วไปว่า) “ไม่มีระบอบนักบวชในอิสลาม”อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด
http://www.muslimahtoday.com/index.php?option=com_content&task=view&id=116&Itemid=1
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบางคนถึงดูมีแต่ความสุขตลอด เวลา ทำไมบางคนถึงดูไม่เคยทุกข์ร้อนกับปัญหาใดๆ เขาเหล่านั้นมีวิธีจัดการกับ ชีวิตอย่างไร ทำไมถึงทำได้ดีถึงเพียงนั้น
คำตอบก็ คือ เขาเหล่านั้นรู้วิธีที่จะจัดการกับแนวความคิดและมุมมองชีวิตของตน เอง อย่างที่พวกเราทุกๆคนทราบ คนเราทุกคนย่อมมีปัญหา มีอุปสรรคที่ต่างจะต้อง ฝ่าฟัน แต่ใครจะทำได้ดีกว่ากันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองชีวิตในแง่บวก หรือ แง่ลบเพียงใด
คนที่มองชีวิตในแง่ ลบนั้น พวกเขาจะมองทุกๆเรื่องเป็นปัญหา มองทุกๆสิ่งเป็นอุปสรรค และมัก คิดว่าสิ่งที่เลว ร้ายที่สุดได้บังเกิดขึ้นกับพวกเขาแล้ว ทางแก้ปัญหา ก็แสนจะ เลือนลางเกินกว่าที่พวกเขา จะมองเห็นได้ ดังนั้นด้วยมุมมอง ชีวิตในทางลบ ชีวิต ของคนเหล่านั้นจึงมีแต่ความกังวลใจ ขาดความสุขไป อย่างน่าเสียดาย
คนที่มองชีวิตในแง่ บวกนั้น พวกเขาจะรู้ว่าเวลาที่มีปัญหาหรือพบอุปสรรค ปัญหานั้นย่อมมีทาง แก้ ตระหนักว่าทุกอย่างย่อม มีวันคลี่คลาย และรู้ซึ้งว่า ณ เวลานี้ ย่อมมีคนที่ ประสบปัญหา ที่หนักหนาสาหัสกว่าเราหลายร้อยเท่านัก เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว มุม มองชีวิตในทางบวกก็ได้นำพาเขาเหล่านั้นไปสู่ความสุข สดชื่นในทุกๆวันของชีวิต
คัดลดกมาจากน้องสาวที่ส่งมา
นวดคลายเส้น |
นวดหลังคลอดให้มดลูกเข้าอู่เร็ว |
นวดหลังคลอด |
>>
>วันนี้..เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่งจนเราคิดว่า...เราขาดไม่ได้....
>
>แต่เวลา.......จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป..สักวันเราจะรู้ว่า..
>
>สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้..อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา
>
>มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต..
>
>
>
>วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ที่เราคิดว่าเราพึงใจ..ปรารถนา..ต้องการ..และขาดไม่ได้...เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก...
>
>
>
>เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป มันจะสอนเราได้ว่า..ความผูกพันกับสิ่งใด ๆ
>ในช่วงเวลาหนึ่ง
>
>จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ อย่าได้ไปยึดติด
>อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง...
>คิดเสียว่า.เราโชคดี.ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก
>
>
>
>ความผูกพัน..ก็เหมือนกับความรัก..หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก
>
>หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก
>
>แต่ความผูกพันที่ว่าไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเองไว้กับสิ่งนั้น..เพราะคนทุกคน
>ย่อมผูกพันกับหลายๆ สิ่ง ในเวลาเดียวกัน
>
>
>
>เปรียบเสมือนเรามีแก้วน้ำอยู่หนึ่งใบ...ในยามเช้าเราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม...
>
>พออากาศร้อนหน่อยเราอาจต้องการน้ำเย็น ๆ
>บางครั้งที่เราไม่สบายเราอาจต้องการน้ำอุ่น….ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ..ต้องเติมสิ่งต่าง
>ๆในเวลาที่แตกต่างกัน...ตามความเหมาะสม..หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำแล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที
>ในแก้วใบเดียวกัน..เราก็จะพบว่า..แก้วใบนั้น..ก็จะร้าว..แล้วเริ่มแตกซึ่งก็เหมือนกับใจเรา..
>
>
>
>ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่ง..ไม่ผิดถ้าเราค่อย ๆ ปรับใจ
>ปรับตัวของเราเองให้กลับคืนในเวลาที่ควร
>เพราะอย่างน้อยที่สุด..เราก็มีโอกาส..ได้ผูกพัน...ซึ่งก็เหมือนเราได้มีโอกาส..ได้รัก
>นั่นเอง
>
>
>
>“ปลอบใจตัวเองว่าและบอกคุณว่า
>อย่ากลัวความผูกพันที่อาจจะเกิดขึ้น...เพราะถ้าหากเรารู้จักปรับตัว.... ปรับใจ
>..... ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นยังไง เราก็จะรู้สึกดี
>และยิ้มได้ทุกครั้งที่คิดถึง.....เรื่องราวที่ผ่านมา........”
>
>(จะทำได้ป่าวเนี้ย...... เฮ้ย......เหนื่อย)
| |
|
| |||
|
เรื่อง/หัวข้อ : ทองในอเมริกา ยังมีเหลือให้ขุดอีกหรือ? ตอนที่ 1 | ||
|
เรื่อง/หัวข้อ : ทองในอเมริกา ยังมีเหลือให้ขุดอีกหรือ? ตอนที่ 2 | ||
|
เมื่อฉันหกล้ม
ร่างฉันคลุกกับฝุ่นดิน
ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดทราย
กล้ามเนื้อของฉันปวดร้าว
ด้วยแรงกระแทกกับพื้นธรณี
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
แรงสะเทือนจากการล้ม
ส่งการกระเพื่อมถึงหัวใจฉัน
จิตใจถูกเขย่าให้สั่นสะท้าน
ราวกับจะหลุดลอยไปไกล
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ฉันรีบกุมหัวใจไว้
มิให้มันสั่นคลอนหลุดไปไหน
อีกมือหนึ่งพลางไขว่คว้า
หายารักษาโรคหัวใจ"สั่น"
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ฉันยืดมืออันอ่อนล้า
เอื้อมไปยังชั้นหนังสือ
หยิบยาที่เรียกว่า "อัลกุรอาน"
มาสมานหัวใจมิให้สั่นคลอน
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
อักษรต่ออักษร
อายะฮฺต่ออายะฮฺ
บรรทัดต่อบรรทัด
หน้าต่อหน้า
รักษาหัวใจให้เต้นเป็นปกติ
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ฉันรับยาได้ซักพัก
หัวใจจึงกลับดังเดิม
สองมือปัดฝุ่นตามใบหน้า
และสิ่งสกปรกที่ติดตามตัว
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ฉันชันแขนเหยียดตรง
เพื่อดันตัวต้านแรงโน้มถ่วง
กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นดิน
ฉันพร้อมที่จะเดินต่อไป
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
คนเราล้มกันได้ไม่เป็นไร
แต่อย่าลืมลุกขึ้นเดินต่อ
หนทางข้างหน้ายังอีกไกล
กว่าจะถึงสวรรค์สำหรับผู้อดทน
[วิทยปัญญา- 31/01/2551 11:37 น.- ปัตตานี]
http://www.islaminside.com/entry.php?w=sareeya&e_id=1454
2551 กำเนิดกลุ่มการเคลื่อนไหวทางเลือกที่สาม ?
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2008 12:20น.
อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ : Siam Intelligence Unit
หมายเหตุ : ตอนแรกผู้เขียนตั้งใจจะใช้ชื่อบทความว่า “กำเนิดพรรคการเมืองทางเลือกที่สาม” แต่ตัดสินใจเปลี่ยนด้วยเหตุผลซึ่งจะกล่าวต่อไปในบทความ
คนไทยจำนวนมากคาดหวังว่าวิกฤตทางการเมืองซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปลายปี 2548 และลากยาวมาถึงปัจจุบันจะสิ้นสุดลงได้ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพาทหารกลับเข้ากรมกอง และนำประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาด้านความขัดแย้งของคนในชาติเลย ในทางตรงข้ามกลับรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ซึ่งแสดงออกความต้องการที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงผ่านการสนับสนุนพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่
(สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ สุรศักดิ์ ธรรมโม ได้แสดงความเห็นไว้ในบทความ “ประเทศไทยหลัง 23 ธันวาคม 2550″1ว่าเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมพื้นฐาน การกระจายรายได้ที่เหลื่อมล้ำ ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ)
ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจึงแสดงให้เห็นว่า การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเมืองเชิงภูมิภาค (คนใต้เลือกนายกชวน คนสุพรรณเลือกบรรหาร) มาเป็นการเมืองเชิงชนชั้น (คนชั้นกลางในเมืองเลือกประชาธิปัตย์ คนชั้นล่างในต่างจังหวัดสนับสนุนพลังประชาชน) ถึงแม้ว่าจะมีพรรคการเมืองอีกจำนวนหนึ่งที่ชนะการเลือกตั้งเฉพาะท้องถิ่น แต่ด้วยจำนวน ส.ส. ที่ไม่มากจนมีนัยยะสำคัญ แสดงให้เห็นว่าการเมืองเชิงภูมิภาคกำลังมีความสำคัญลดลงอย่างรวดเร็ว
คำถามที่ตามมาก็คือ คนไทยเองพอใจกับทางเลือกแบบใหม่เพียงแค่สองทางหรือไม่ ???
ปฏิกิริยาที่ผู้เขียนได้รับมาตลอดตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง นอกจากประเภท “ด่าสมัคร เชียร์อภิสิทธิ์” และ “เชียร์อภิสิทธิ์ ด่าสมัคร” แล้ว ความคิดเห็นที่มีมากจนน่าสนใจก็คือ “ไม่รู้จะเลือกใคร ไม่ชอบทั้งคู่”
ความคิดเห็นเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า คนไทยกำลังโหยหาทางออกการการเมืองทางเลือกใหม่เป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ประเมินอย่างคร่าวๆ พรรคการเมืองในอุดมคตินี้ต้องภาพลักษณ์สมัยใหม่ ดูซื่อสัตย์สุจริต (ซึ่งพลังประชาชนให้ไม่ได้) และทำงานตอบสนองความต้องการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งประชาธิปัตย์ถูกโจมตีมาตลอดว่าไม่มี) พูดง่ายๆ ว่าตอบสนองความต้องการของทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นล่างได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพรรคการเมืองชนิดนี้ไม่มีอยู่จริง (และด้วยกรอบเงื่อนไขทางการเมืองระบอบรัฐสภา เราก็อาจสรุปได้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในอนาคตเช่นกัน)
แต่ถึงแม้เราจะยอมตัดความเป็นอุดมคติออกไปจากพรรคการเมืองที่สามแล้ว พรรคการเมืองที่สามก็ยังไม่มีอยู่จริงเช่นเดิม (ในกรณีนี้เราไม่สนใจพรรคการเมืองขนาดเล็กอื่นๆ ซึ่งยังไม่สามารถก้าวข้ามการเมืองเชิงท้องถิ่นมาเป็นการเมืองเชิงอุดมการณ์หรือนโยบายได้) ซึ่งทำให้สุดท้ายแล้วคนกลุ่ม “สองไม่เอา” นี้ลงเอยด้วยการโนโหวต หรือไม่ก็ตัดสินใจให้คะแนนแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยเหตุผลเฉพาะบุคคลที่ต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนสังเกตว่าตลอดปี 2550 ที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองขนาดย่อมๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น การชุมนุมต่อต้านเผด็จการทหารที่ท้องสนามหลวงในช่วงกลางปี, การเคลื่อนไหวล้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ช่วงเดือนตุลาคม จนมาถึงการเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติยุติการผ่านร่างกฎหมายในเดือนธันวาคม
จุดร่วมของการเคลื่อนไหวเหล่านี้คือมีขนาดไม่ใหญ่นัก ผู้เข้าร่วมมีทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นล่างในเมือง คนส่วนใหญ่มีอุดมการณ์เฉพาะเรื่องร่วมกัน และมักนำโดยนักวิชาการนอกกระแส (ซึ่งโจมตีปัญญาชนสาธารณะที่เห็นด้วยกับรัฐประหาร) หรือไม่ก็เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมหน้าใหม่ ที่ “ตื่นตัวทางการเมือง” หลังรัฐประหาร 19 กันยา
จุดที่น่าสนใจคือการเคลื่อนไหวเหล่านี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง (มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ใช้) มีการจัดองค์กรอย่างเป็นระบบ ผสมผสานการเคลื่อนไหวหลากรูปแบบ และใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างระดับมาตรฐานของการเคลื่อนไหวทางการเมืองขึ้นมาใหม่ ที่นักเคลื่อนไหวในอนาคตต้องปฏิบัติตาม
ผู้เขียนจึงเกิดคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่การเมืองทางเลือกที่สามจะต้องอยู่ในรูปพรรคการเมือง การต่อสู้ทางการเมืองในอนาคต จึงอาจเกิดจากกลุ่มเคลื่อนไหวอิสระที่รวมตัวกันเรียกร้องทางนโยบายต่อพรรคการเมืองในสภา โดยมีเครื่องต่อรองเป็นคะแนนเสียงที่กลุ่มต่อสู้เหล่านี้ยินดีจะโหวตให้พรรคการเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของตัวเอง
การเคลื่อนไหวทางเลือกที่สามในอนาคตไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปกลุ่มต่อสู้ทางการเมืองขนาดใหญ่เพียงกลุ่มเดียว แต่จะเป็น “เครือข่าย” การเคลื่อนไหวร่วมกันของกลุ่มย่อยขนาดเล็กหลายกลุ่ม กลุ่มเคลื่อนไหวเหล่านี้จะดำเนินงานอย่างอิสระ ไม่มีโครงสร้างตายตัว และไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องต่อข้อเสนอเดียวกันเสมอไป มารวมกันต่อเมื่อมีข้อเสนอร่วม และแยกกันเคลื่อนไหวในกรณีที่เห็นต่าง
ในอดีตเราเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มวิชาชีพหรือกลุ่มเฉพาะถิ่นมามาก (เช่น คาราวานคนจน, สมาคมชาวไร่อ้อยหรือกรีดยาง) การเคลื่อนไหวของเครือข่ายทางเลือกที่สามแบบที่ผู้เขียนเสนอก็คล้ายคลึงกันในเชิงอุดมการณ์ เพียงแต่ในทางปฏิบัติแล้ว เครือข่ายทางเลือกที่สามนี้ก้าวข้ามการเคลื่อนไหวบนท้องถนนเพียงอย่างเดียว ไปสู่การเคลื่อนไหวแบบบูรณาการที่มีประสิทธิผลสูงกว่าหลายเท่า รู้จักต่อรองผลประโยชน์อย่างชาญฉลาดและ “รู้ทัน” นักการเมืองมากกว่าที่เคย
ผู้เขียนเองก็ยังมองภาพไม่ชัดว่าภาพรางๆ ของเครือข่ายทางเลือกที่สามนี้สุดท้ายจะวิวัฒนาการไปในรูปแบบไหน ระยะเวลาหลังรัฐประหาร 19 กันยานั้นถือเป็นแค่ระยะตั้งไข่ของเครือข่ายที่ว่าเท่านั้น หลังจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคมเป็นต้นไป จะเป็นช่วงที่เครือข่ายต้องค้นหาที่ยืนของตัวเอง สร้างสมกำลังและอิทธิพลเพื่อไปให้ถึงจุดที่มีอำนาจต่อรองสูงพอ และเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของการต่อสู้ทางการเมืองนอกสภาแบบใหม่ ซึ่งไม่เคยมีใครมีประสบการณ์มาก่อน
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายแล้วการเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงอยู่ดี
สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนขอยกคำสัมภาษณ์ของเกษียร เตชะพีระ ที่ว่า ถ้าไม่มีทางเลือกที่ 3 มันก็เป็นการพ่ายแพ้ของประชาชนอย่างเราแล้ว ไม่สามารถโทษใครอื่นได้.
http://www.tjanews.org
ใครจะเชื่ออัจฉริยะสร้างได้ด้วย "ออทิสติก" ทั้ง "ไอน์สไตน์-นิวตัน" เข้าข่าย |
โดย ผู้จัดการออนไลน์ | 27 กุมภาพันธ์ 2551 09:59 น. |
เดอะเดลีเทเลกราฟ-นักจิตเวชศาสตร์ลงความเห็น "ไอน์สไตน์" และ "นิวตัน" 2 นักวิทยาศาสตร์ชั้นเซียนของโลกมีความบกพร่องทางสังคม หรือมีอาการของออทิสติกร่วมด้วย และความผิดปกตินี้เองที่เป็นสิ่งผลักดันให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยบุคคล
ไมเคิล ฟิตซ์เจอรัลด์ (Michael Fitzgerald) ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์แห่งวิทยาลัยทรินิตี (Trinity College) กรุงดับลิน ไอร์แลนด์ เปิดเผยระหว่างการประชุมวิชาการด้านจิตเวชศาสตร์ (the Royal College of Psychiatrists' Academic Psychiatry) ว่า 2 นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกอย่าง "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" (Alber Einstein) และ "ไอแซค นิวตัน" (Isaac Newton) มีความบกพร่องทางพัฒนาการด้านสังคม ซึ่งจัดอยู่ในอาการของ "ออทิสติก" และมีส่วนทำให้บุคคลทั้งสองประสบความสำเร็จในฐานะนักวิทยาศาสตร์ของโลก
ฟิตซ์เจอรัลด์ระบุว่า ทั้งไอน์สไตน์ซึ่งเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ และนิวตันผู้ค้นพบกฏความโน้มถ่วงของโลก มีบุคลิกภาพที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขามีอาการอยู่ในกลุ่มของออทิสติก (autism spectrum disorder) ที่เรียกว่า "แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม" (Asperger's syndrome) ซึ่งเป็นความบกพร่องทางสังคม ไม่ค่อยสุงสิงกับบุคคลทั่วไป แต่มักมีความจำดี ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และชอบทำซ้ำๆ แต่จะไม่มีความบกพร่องในด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร
"เป็นที่รู้กันดีว่านิวตันชอบทำงานติดต่อกันหลายวันชนิดลืมวันลืมคืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน หรือหยุดพักผ่อนบ้างเลย ส่วนไอน์สไตน์ก็ต้องไปทำงานอยู่ในสำนักงานทะเบียนสิทธิบัตร (patent office) เพราะดื้อรั้นและไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเหล่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัย" ฟิตซ์เจอรัลด์ เผย
นอกจากไอน์สไตน์และนิวตันที่ปรากฏอาการในกลุ่มออนิสติกนี้แล้ว ยังมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงก้องโลกที่อยู่ในแวดวงต่างๆ ทั้งการเมือง ศิลปะ หรือวรรณกรรม อีกหลายคนที่มีลักษณะอาการเดียวกันนี้ เช่น ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) นายพลผู้แกร่งกล้าและอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2,
จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษผลงานที่โด่งดังที่สุดคือ "รัฐสัตว์" (Animal Farm), บีโธเฟน (Beethoven) ชาวเยอรมนี และโมสาร์ท (Mozart) ชาวออสเตรีย 2 นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งยุคคลาสสิก,
ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักแต่งนิทานชื่อก้องโลกชาวเดนมาร์กเจ้าของผลงาน "เดอะลิตเติล เมอร์เมด" (The Little Mermaid) และอิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชื่อดังชาวเยอรมัน
หลังจากที่ศึกษาบุคลิกลักษณะดังกล่าวนี้มากว่า 1,600 คน ฟิตซ์เจอรัลด์ก็ลงความเห็นว่ากลุ่มอาการออทิสติกนี้ล้วนปรากฏอยู่ในอัตชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกหลายต่อหลายคน ซึ่งเขาบอกด้วยว่าความเป็นอัจฉริยบุคคลนั้นถูกกำหนดไว้ในพันธุกรรมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีใครรู้ว่ายีนไหนกันแน่ที่มีบทบาทสำคัญ และต้องมีมากน้อยเท่าใด แต่เชื่อว่าต้องมีหลายยีนที่เป็นตัวกำหนดให้มีบุคลิกเช่นนั้น
ทั้งนี้ฟิตซ์เจอรัลด์ ยังแต่งหนังสือเรื่อง "ยีนอัจฉริยะ: คนมีพรสวรรค์ที่เป็นแอสเพอร์เกอร์เปลี่ยนโลกได้อย่างไร" (Genius Genes: How Asperger Talents Changed the World) ที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยนำเสนอเรื่องราวชีวิตและพฤติกรรมของบุคคลผู้มีชื่อเสียงของโลก 21 คน ที่มีการแสดงออกของลักษณะอาการแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม เพื่อเป็นกรณีศึกษา ซึ่งรวมถึงนิวตันและไอน์สไตน์ด้วย
ทั้งนี้ฟิตซ์เจอรัลด์ระบุว่าบุคคลที่มีอาการในกลุ่มของออทิสติกนี้จะพบได้ประมาณ 60-120 กรณี ในจำนวน 10,000 คน
ฟิตซ์เจอรัลด์บอกอีกว่า บุคคลที่บกพร่องด้านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อาจมีความหวาดระแวงหรือขัดแย้งอยู่ในใจ แต่พวกเขาเหล่านี้จะมีจริยธรรมและความตั้งใจที่สูงมาก พวกเขาสามารถจดจ่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานถึง 20-30 ปีได้โดยที่ไม่ไขว้เขวไปเรื่องอื่น ซึ่งเกินความคาดหมายของคนทั่วไป
"การศึกษาจิตเวชศาสตร์มักมุ่งไปที่อาการผิดปกติด้านลบของผู้ป่วยที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป แต่ทั้งนี้ต้องการนำเสนอให้เห็นว่าความบกพร่องทางจิตก็ส่งผลให้เกิดมิติทางด้านบวกได้เช่นกัน ดังเช่นที่ปรากฏอยู่ในอัจฉริยบุคคลทั้งหลาย" ฟิตซ์เจอรัลด์กล่าว
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000023726
รายงาน: การจัดการศึกษาในปอเนาะของสังคมมุสลิมท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม
อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่าน และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
วันที่ 15- 16 มีนาคม 2551 ณ โรงแรมหาดใหญ่รามา จ.สงขลา สมาคมผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดสงขลา ได้ร่วมกับ ศูนย์บริหารกิจการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศฮ.บต.) จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง มุสลิมกับสันติภาพ: การจัดการศึกษาท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม ขึ้น เพื่อระดมความคิดจากผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็นครูผู้รับผิดชอบฝ่ายวิชาการโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้, ครูจากสถาบันปอเนาะ และครูตาดีกา จำนวน150 คน ได้ร่วมกันคิดหาแนวทางในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับพหุสังคมในยุคโลกาภิวัตน์และสามารถบูรณาการกับหลักการศาสนาอิสลาม โดยกำหนดกิจกรรม 2 ส่วนด้วยกันกล่าวคือดังนี้ อภิปรายโดยวิทยากรและการอภิปรายกลุ่มย่อยสิบกลุ่ม
สำหรับอภิปรายโดยวิทยากรนั้น สองช่วงด้วยกันคือช่วงเช้าของวันที่ 15 มีนาคม 2551อภิปรายในหัวข้อ บทบาทปอเนาะต่อพัฒนาการของสังคมมุสลิมในภาคใต้ของไทยโดย อ. ศักรินทร์ สุมาลี อ. สมาน ดือราแม กรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา อ.อิสมัย เบ็ญจสมิธ นักวิชาการอิสระด้านวัฒนธรรมอิสลามจังหวัดชายแดนโดยมี ผู้เขียน (อ.อับดุลสุโก ดินอะ) ดำเนินการอภิปราย และช่วงบ่ายอภิปรายในหัวข้อ “มองทิศทางของพหุสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์ ภายใต้การจัดการศึกษาของสังคม มุสลิม”โดยผศ.ดร.อิบรอเฮ็ม ณรงค์รักษาเขต หัวหน้าภาควิชาอิสลามศึกษาม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
อ.มูฮำหมัด อาดัม วิทยากรจากสถาบันปอเนาะ อ.หามะสูดิง มามะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการโรงเรียนพัฒนาวิทยา จ.ยะลาวิทยากรจากสถาบันปอเนาะโดยมี ผศ.วุฒิศักดิ์ พิศสุวรรณ จากการอภิปรายทั้งสองช่วงพบว่าผู้อภิปรายได้มีความคิดเห็นตรงกัน
การจัดการศึกษาในปอเนาะไม่ว่าจะอยู่ในระบบของสถาบันศึกษาปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามได้กลายเป็นวิถีชีวิตของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อสถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้ามาสู่โลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำให้ความเป็นพหุสังคมได้แพร่กระจายเข้าสู่สังคมมุสลิมมากยิ่งขึ้น มุสลิมเองต้องมีการดำเนินชีวิตกับต่างศาสนิกที่มีวัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการนั้นการจัดการศึกษาโดยเฉพาะหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันต่างๆต้องสามารถปรับปรนและสามารถบูรณการกับหลักการศาสนาได้
คนไทยมลายูมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งจะเดินไปสู่หนใดท่ามกลางความเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งจากกระแสโลกและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น การก้าวไปสู่ความทันสมัยของมาเลเซีย-ประเทศเพื่อนบ้าน กระแสการฟื้นฟูศาสนา (Religious Revivalism) โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม การเสาะแสวงหาทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้อย่างเต็มที่ในรูปแบบเศรษฐกิจทุนนิยมไทยและสภาพการณ์ทางการเมืองในประเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการเมืองท้องถิ่นที่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง
หากจะแบ่งกลุ่มคนที่มีวิธีจัดการกับปัญหาดังกล่าวจะสามารถแบ่งกลุ่มคนได้ 3 ประเภท
1.สมัยใหม่หรือก้าวหน้าซึ่งเป็นกลุ่มที่ยอมรับและเจริญรอยทุกฝีก้าวตามกระแสโลกาภิวัตน์
2.อนุรักษนิยมซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการหลีกหนีจากการเผชิญหน้าและต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์โดยกลุ่มนี้มีทัศนคติว่าโลกาภิวัตน์ (Globalization) คือ แนวคิดที่ต้องการจะขับเคลื่อนให้สังคมมุสลิมเป็นตะวันตก (westernization) คือ มีวิถีชีวิตแบบวัตถุนิยม บริโภคนิยม ให้ชาวมุสลิม โดยอาศัยกระบวนการเคลื่อนไหวของข้อมูล ทุน และทรัพยากรอย่างรวดเร็ว ดังนั้น อินเตอร์เน็ต ระบบเชื่อมโยงข้อมูล ระบบการขนส่งที่ดีจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ
จากผลของสองกลุ่มดังกล่าวทำให้มีการปะทะทางความคิดอย่างรุนแรงให้สังคมมุสลิมเอง ดังนั้น ควรมี
กลุ่ม 3 ที่สามารถเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาและคนมุสลิมเองควรคิดแนวทางการจัดการปัญหาดังกล่าวด้วยตนเองที่เหมาะสม บูรณาการได้กับวิถีมลายูท้องถิ่น หลักการศาสนาอิสลามและปรับเข้ากันอย่างกลมกลืนกับโลกาภิวัตน์และความหลากทางวัฒนธรรม กลุ่มมุสลิมกลุ่มนี้จะมีทัศนคติเป็นของตนเองและภาคภูมิใจในเอกลักษณ์แห่งไทยมลายูมุสลิม สำนึกต่อพันธกิจและยึดมั่นในศาสนาที่ตนเองนับถือ เชื่อในความเป็นสากลนิยม และอารยธรรมแห่งประชาชาติ
มุสลิมกลุ่มนี้จะไม่หลีกหนีจากกระแสการเผชิญหน้าทุกรูปแบบ และกล้าที่จะสนทนาแลกเปลี่ยน (Dialogue) ความรู้ ประสบการณ์ และแนวคิดอย่างสันติกับทุกกลุ่มของลัทธิโลกาภิวัตน์ซึ่งแน่นอนที่สุด
แนวคิดในกลุ่มที่สามจะสามารถบรรลุได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ฐานการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ในชุมชนมุสลิมเอง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนของรัฐ สถาบันปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และศูนย์การเรียนของมัสยิดที่สามารถปลูกฝังแนวคิด ทัศนคติ และค่านิยมที่ถูกต้องตั้งแต่เด็กตลอดจนผู้ใหญ่
และท้ายสุดจะสามารถทำให้คนในพื้นที่สามารถใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ด้วยวิถีไทยมลายูมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สามารถเผชิญกับกระแสการก่อการร้าย การปะทะทางวัฒนธรรม และสังคมทุนนิยมของโลกยุคโลกาภิวัตน์ ในขณะเดียวกันมุสลิมหลายคน ที่ผ่านระบบการศึกษาในสถาบันทั้งสองเมื่อต้องปฏิสัมพัน์ธ์กับต่างศาสนิกจะไม่มีความรู้พอในหลักปฏิบัติทางศาสนาและขอบเขตของศาสนาในการปฏิบัติตนต่อศาสนิก เช่น การทักทายกับต่างศาสนิกตามวิถีวัฒนธรรมไทยเช่น การไหว้ทักทาย การขอบคุณ การพูดคุยเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกสอนในหลักปฏิบัติทางศาสนาที่ถูกต้องซึ่งบางครั้งทำให้ต่างศาสนิกเข้าใจผิดมุสลิมว่าไม่มีมารยาทในการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
อีกสิ่งหนึ่งซึงพบในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามการแยกวิชาศาสนาและวิชาสามัญนั้นทำให้ผู้เรียนเมื่อเรียนวิชาศาสนาจะมีความรู้สึกเคร่งครัดอยู่ในกรอบของหลากการศาสนา ในขณะเดียวกันเมื่อเรียนวิชาสามัญผู้เรียนหรือแม้กระทั่งครูผู้สอนส่วนใหญ่จะไม่มีความรู้สึกผูกพันกับหลักการศาสนา อ. ศักรินทร์ (ชากีรีน) สุมาลี มีทัศนะว่า วิถีชีวิตของสังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมโลก ในขณะที่การจัดการศึกษาของสังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่สามารถผลิตให้เยาวชนมุสลิมสามารถเผชิญหน้ากับสังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์ได้ สังคมมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนเองไว้ได้ เมื่อสังคมโลกปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควรปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และบทบาทเพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยที่ยังรักษาเจตนารมณ์ และ อัตลักษณ์ของปอเนาะดั้งเดิมไว้อย่างเข้มแข็ง นั่นคือ เจตนารมณ์ในการสืบทอดอิสลามสู่คนรุ่นหลังอย่างเข้มแข็ง ซึ่งปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในอนาคตที่ควรจะเป็น ดังนี้
1. ปอเนาะควรเป็นองค์กรแห่งการแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เพื่อพัฒนาบุคลากรในองค์กร ให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทได้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
2. ปอเนาะควรเป็นสังคมแห่งองค์ความรู้ (Knowledge Based Society ) อย่างแท้จริง เพื่อให้ชุมชนและสังคมได้พึ่งพาองค์ความรู้ที่ถูกต้องในทุกแขนง โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านศาสนา
3. ผู้บริหารต้องมีแนวคิด (concept) ในการบริหารอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะแนวคิดการบริหารที่ใช้อิสลามเป็นฐาน มีทักษะการบริหาร มีความเชี่ยวชาญในการบริหารงานวิชาการ สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ได้ และต้องสามารถให้ให้คำแนะนำ (Coaching) แก่ครูได้
4. ครูปอเนาะต้องมีความรู้ความเข้าใจอิสลามเป็นพื้นฐาน สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างครูมืออาชีพ เข้าใจพัฒนาการของผู้เรียน ที่สำคัญครูปอเนาะต้องสามารถปลูกฝังอิสลามและสามารถสอนโดยการบูรณาการองค์ความรู้กับอิสลามได้ในทุกวิชา
5. หลักสูตรของปอเนาะ ควรเป็นหลักสูตรที่บูรณาการโครงสร้างทั้งสองหลักสูตรให้เป็นหลักสูตรเดียว หลักสูตต้องพัฒนาผู้เรียนทั้งโดยใช้เนื้อหาและกิจกรรม อีกทั้งหลักสูตรต้องตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่หลากหลาย และตอบตอบสนองความต้องการของสังคมอีกด้วย
6. ปอเนาะต้องมีสื่อและนวัตกรรมที่หลากหลาย เช่น อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ อีเลินนิ่ง ฯลฯ
7. ปอเนาะต้องมีปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) ที่สมบูรณ์และเพียงพอ เช่น อาคารเรียนที่ทันสมัยขั้น ห้องสมุดที่มีหนังสือจำนวนมากและหลากหลาย ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องพัฒนาบุคลิกภาพ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ฯลฯ
แนวทางในการปรับเปลี่ยนปอเนาะหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามสู่อนาคต มีดังนี้
1. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นั่นคือ ผู้บริหาร ครู และนักเรียน มากกว่าการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน และควรพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้นภายใต้แนวคิดการบูรณาการองค์ความรู้กับอิสลาม (Islamization of Knowledge) ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งในการสามารถบูรณาการศาสนาอิสลามกับศาสสตร์สาขาต่างๆ ซึ่งระบบการศึกษาในสังคมมุสลิมยุคปัจจุบันกำลังถูกกระบวนการไถ่ถอนศาสนา
กระบวนการ “ไถ่ถอนศาสนา” ออกจากสังคมหรือที่เรียกในภาษาฝรั่งว่า secularization เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนสู่ความทันสมัยที่เกิดขึ้นในทุกสังคมทั่วโลก แต่สังคมที่รอดพ้นจากความรุนแรงของกระบวนการ “ไถ่ถอนศาสนา” ที่สุดคือสังคมมุสลิม การที่สังคมมุสลิมผ่านกระบวนการ “ไถ่ถอนศาสนา” ออกจากสังคมน้อย เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของสังคมมุสลิมในโลกปัจจุบัน ทั้งนี้แล้วแต่ใครจะมอง และมองจากแง่ไหน
ก่อนอื่นควรเข้าใจด้วยว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาและการแสวงหาความรู้อย่างยิ่ง ถือกันตามคำสอนว่าการศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งที่มุสลิมควรทำตราบจนสิ้นลมหายใจแต่ความรู้ไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง การมีความรู้มากเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ในสายตาของอิสลาม แต่ความรู้นั้นต้องเพิ่มสมรรถนะในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า มูฮัมหมัด อิคบัล (นักปราชญ์และกวีปากีสถาน) อธิบายว่า ความรู้หรือ ilm ในภาษาอาหรับ คือความรู้ที่มีฐานอยู่บนประสาทสัมผัส ความรู้ชนิดนี้ให้อำนาจทางกายภาพ
ฉะนั้นความรู้หรืออำนาจทางกายภาพนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การกำกับของ din หรือศาสนาอิสลาม ถ้าความรู้หรืออำนาจไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ din ก็ย่อมเป็นสิ่งชั่วร้ายฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่ต้องทำให้ความรู้เป็นอิสลาม (Islamize knowledge) ถ้าความรู้อยู่ภายใต้กำกับของ din ความรู้ก็จะเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ในทางปฏิบัติ รับใช้พระผู้เป็นเจ้าหมายถึงการมีศีลธรรม, มีความยุติธรรม และมีความกรุณา
นักปราชญ์บางท่านอธิบายว่าคุณลักษณะสามประการนี้ สรุปรวมก็คือการมีความสัมพันธ์เชิงเกื้อกูลกับคนอื่น นับตั้งแต่ญาติพี่น้องไปจนถึงสังคมโดยรวมนั่นเองการศึกษาของอิสลามจึงไม่ใช่การฝึกวิชาชีพเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการฝึกวิชาชีพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตนเองในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า หรือรับผิดชอบต่อสังคมได้มากขึ้นหนึ่งในลักษณะเด่นของระบบการศึกษาอิสลามก็คือ ควรแสวงหาความรู้และเผยแพร่ความรู้แก่คนอื่นไม่ใช่เพื่อได้รับเงินตอบแทน แต่เพื่อประโยชน์ของสังคม และเพื่อความพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า (Afzalur Rahman, Islam : Ideology and the Way of Life) ฉะนั้น ประเด็นจึงไม่ใช่ว่านโยบายของกระทรวงศึกษาจะล้มเหลว ไม่อาจเชื่อมโยงระบบการศึกษาของมุสลิมให้เข้ากับระบบการศึกษาของประเทศได้
2. ควรวางระบบประกันคุณภาพการศึกษา ทั้งการประกันคุณภาพภายในและประกันคุณภาพภายนอกที่ไม่ใช่เน้นการสร้างเอกสารมากว่าคุณภาพแลความเป็นจริง
3. พัฒนาหลักสูตรโดยการบูรณาการโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 กับ หลักสูตรอิสลามศึกษา พ.ศ.2546 พร้อมกับจัดให้มีแผนการเรียนที่หลากหลายมากขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
- ลดภาระการเรียนของนักเรียน
- ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนและสังคม
- พัฒนาผู้เรียนโดยผ่านเนื้อหาวิชาการและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ในขณะเดียวกันจะต้องเสริมวิชาหรือกิจกรรมการอยู่ร่วมอย่างสันติในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบของหลักการศาสนาที่สามารถปรับปรนได้
4. พัฒนาสื่อและนวัตกรรมภายใต้แนวคิด การบูรณาการองค์ความรู้กับอิสลาม
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปอเนาะในอนาคต จะเป็นปอเนาะคุณภาพ ปอเนาะที่มีศักยภาพในการทำหน้าที่ถ่ายทอดศาสนธรรมให้แก่คนยุคหลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะนำพาพวกเขาไปสู่การดำรงชีวิตยุคในโลกาภิวัตน์อย่างน่าภาคภูมิใจ ได้รับความพอพระทัยจากอัลลอฮฺ อันนำมาซึ่งความสำเร็จทั้งโลกนี้(ดุนยา)และโลกหน้า (อาคีเราะฮฺ ) อินชาอัลลอฮฺ
ฟีโรโมน สารเรียกรัก
คุณเคยสงสัยกันรึเปล่าว่า ก่อนที่เราจะรักใครสักคน มันจะต้องมีเหตุผลอะไรประกอบบ้าง บางคนบอกว่า ก็เขาน่ารัก นิสัยดี สวย หล่อ และอะไรอีกมากมาย หลายคนอาจเชื่อในพรหมลิขิต ที่เบื้องบนดลบันดาลให้คนทั้งสองมาพบกัน แต่พอคิดอีกทีมันก็เป็นเรื่องที่ยากต่อการพิสูจน์ ปริทรรศน์วันนี้เรามีคำตอบให้คุณผู้อ่านคลายข้อสงสัยดังกล่าว แม้ว่าเรื่องที่เรากำลังจะนำเสนอยังต้องรอการพิสูจน์อย่างเป็นทางการอยู่
เคยสงสัยในความรู้สึกของตัวเองหรือไม่ว่า ทำไมเราถึงได้เกิดความรู้สึกรักใครบางคนขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้หล่อ รวย หรือเป็นคนดีอะไร แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้เราหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือเขินอายเพราะทำอะไรเปิ่นๆ ออกไป
นิตยสาร Her World ได้อธิบายเรื่องสารฟีโรโมน ที่เขียนโดย นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ว่า สารฟีโรโมน เป็นสารที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยกลิ่นเหมือนอย่างมดหรือผึ้ง แต่เราสามารถรับรู้ได้ทางสมอง สังเกตได้โดย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไปเจอคนที่ตรงสเปก หรืออยู่ดีๆ ก็เกิดความรู้สึกปลื้ม ชอบ ประทับใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ความรู้สึกนี้แหละที่เรียกว่าสารฟีโรโมนในร่างกายเรากำลังทำงาน ที่สำคัญอีกข้อคือถ้าผู้หญิงคนไหนที่ติดพ่อมาก หรือรักพ่อมากๆ หากเธอได้ไปพบเจอชายที่มีกลิ่นหรือนิสัยคล้ายพ่อเมื่อไหร่ ผู้หญิงคนนั้นมักจะตกหลุมรักเขาไปโดยไม่รู้ตัว
จากหลักวิทยาศาสตร์ สู่หลักความจริง
ตามหลังวิชาการคำว่า ฟีโรโมน (Pheromone) นั้นเกิดจากการรวมกันของคำในภาษากรีก "Pherein" ที่แปลว่า to carry และ "Hormon" ที่แปลว่า to excite โดยกลุ่มนักวิจัยยุคแรก คือ Karlson และ Luscher ได้คิดค้นคำนี้ในปี ค.ศ. 1959 และอาจเรียกฟีโรโมนว่า ecto-hormones กล่าวคือเป็นสารเคมีที่หลั่งออกจากร่างกายแล้วไปมีผลต่อพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิด (สปีชีส์) เดียวกัน เช่น ฟีโรโมนที่มดหลั่งออกมาไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ และฟีโรโมนที่มนุษย์เราผลิตขึ้นก็มีผลต่อมนุษย์เราด้วยกันเองเท่านั้น เป็นต้น
เมื่อโมเลกุลของฟีโรโมนถูกหลั่งออกจากร่างกายทั้งจากระบวนการของร่างกายเราเองและปฏิกิริยาชีวเคมีของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น เช่น จากบริเวณรักแร้ สารคัดหลั่งที่อวัยวะเพศ น้ำปัสสาวะ และผิวหนังทั่วไป เป็นต้น เดินทางผ่านตัวกลางในอากาศ เมื่อจับกับตัวรับซึ่งคาดว่าเป็นตัวรับชนิดที่เรียกว่า Vemeronasal receptors ที่จมูก แล้วจึงส่งสัญญาณข้อมูลไปยัง Olfactory Bulb และประมวลผลขั้นสูงยังสมองส่วนต่างๆ ต่อ
ฟีโรโมนเป็นคำที่มาจาก คำภาษากรีก 2 คำรวมกันที่รวมกันแล้ว แปลความได้ว่านำเอาความตื่นเต้นมาให้ เป็นความตื่นเต้นในความรัก ตื่นเต้นที่จะได้มีการเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า สัตว์ทุกชนิดในห้วงเวลาที่มีการเจริญพันธุ์นั้นจะมีการหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมา สารดังกล่าวเรียกกันว่าฟีโรโมน ส่วนมากแล้วจะหลั่งออกมาจากเพศเมีย เพราะต้องการเรียกให้ตัวผู้มาทำการผสมพันธุ์จะได้เจริญเผ่าพันธุ์ต่อไป ไม่สูญพันธุ์ไปเสียก่อน ต่อมาก็พบว่าปลาบางชนิดก็มีสารฟีโรโมนดังกล่าวด้วย เช่น ปลาฉลามและปลาแซลมอน ในสัตว์บกนั้นพบเกือบทุกชนิด และไม่เว้นแม้แต่สัตว์ปีกตัวเล็กๆ เช่น ตั๊กแตน ผีเสื้อ แต่ไม่พบในนก
โดยปกติแล้วฟีโรโมนเป็นสารที่ระเหยได้ และสร้างออกมาจากเพศหนึ่ง เพื่อกระตุ้นอีกเพศหนึ่งให้เกิดอารมณ์รักใคร่ อยากจะได้ไว้เป็นคู่ ฟีโรโมนออกฤทธิ์อย่างแรงในการกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกรักใคร่ อยากเป็นของกันและกันให้มากขึ้นในเผ่าพันธุ์เดียวกัน รับรองว่าฟีโรโมนของคุณไม่สามารถไปกระตุ้นม้าหรือช้างให้รักคุณได้เด็ดขาด
สารเรียกรักที่มากกว่า คำว่ารัก
เวลาที่พูดถึงฟีโรโมนนั้นมักจะเรียกกันว่า กลิ่นเรียกรัก แต่โดยแท้ที่จริงแล้ว ฟีโรโมนนั้นไม่มีกลิ่นที่รับรู้ได้จากทางจมูก ซึ่งกลิ่นที่ไม่มีกลิ่นดังกล่าวคนเราจะรับรู้ได้จากสมอง โดยฟีโรโมนจะหลั่งออกมาเพียงน้อยนิด แต่ก็สามารถที่จะเรียกคู่ได้จำนวนมหาศาล โดยปกติแล้ว ฟีโรโมนมักจะหลั่งออกมาจากเพศหญิงเพื่อที่จะให้ชายมาหลงรัก
คุณจำได้ใช่ไหมว่า ฟีโรโมนแท้ๆ นั้นไม่มีกลิ่น ดังนั้น รับรองว่าไม่ใช่กลิ่นที่เรียกว่าสาบสาวอย่างเด็ดขาด เป็นที่เชื่อกันมานานแล้วว่า สัตว์เพศผู้ทั้งหลายมีตัวรับกลิ่นเสน่ห์หรือฟีโรโมนดังกล่าวอยู่ในสมอง จึงสามารถที่จะหลงเสน่ห์เพศเมียได้ ในขณะที่สัตว์เพศเมียไม่มีตัวรับกลิ่นดังกล่าว จึงไม่มีการหลงเสน่ห์ตัวเอง ในสัตว์บกบางชนิดนั้น ตัวผู้ก็มีฟีโรโมนเหมือนกันและเป็นตัวกระตุ้นให้ตัวเมียเกิดการตกไข่ เช่น ในกระต่ายและหนูนั้นตัวเมียจะเกิดการตกไข่ก็ต่อเมื่อได้กลิ่นฟีโรโมนของตัวผู้เท่านั้น
ไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมาที่มีการสกัดเอาฟีโรโมนของมนุษย์เราออกมาได้เป็นผลสำเร็จ โดยสกัดเอาฟีโรโมนจากผิวหนัง ซึ่งเมื่อนำเอาสารสกัดดังกล่าวไปทดสอบกับอาสาสมัครจำนวน 40 คน ผลการทดลองนั้น อาสาสมัครตอบว่ามีความรู้สึกดี เป็นมิตร และอยากตอบสนองต่อความรัก พูดง่ายๆ ก็คือทำให้มีอารมณ์แห่งความรักนั่นเอง
และเนื่องจากเคยมีการวิจัยพบว่า ในน้ำหล่อลื่นและตกขาวตามธรรมชาติของผู้หญิงที่สะอาดนั้น มักจะมีกลิ่นที่ชวนให้วาบหวาม และบางกลิ่นระเหยออกมาจากจุดซ่อนเร้นของสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดในบางห้วงเวลา เมื่อวิเคราะห์ออกมาแล้ว ปรากฏว่าประกอบไปด้วยกรดไขมันบางชนิดที่มีโครงสร้างคล้ายฟีโรโมนด้วย และคุณผู้ชายที่พิสมัยการทำรักด้วยปากกับส่วนนั้นของแฟนคุณ เคยลองสังเกตดูบ้างไหมว่า ในบางช่วง เช่น วันไข่ตกกลิ่นจะเปลี่ยนไป บางครั้งพบว่าผู้หญิงจะมีกลิ่นสะอาด หอมเย้ายวนใจ ออกมาจากส่วนนั้นเหมือนกัน
ในปัจจุบันพบว่า ฟีโรโมนของคนเรานั้นจะหลั่งออกมาในปริมาณน้อยนิด จากน้ำมันบริเวณผิวหนังรอบๆ หัวนม, ใต้รักแร้ และบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ฟีโรโมนของคนมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมน Dhea ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากต่อมหมวกไต เป็นต่อมเล็กๆ ที่อยู่เหนือไตทั้งสองข้าง แค่เหมือนเท่านั้น ไม่ใช่เหมือนทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าฟีโรโมนมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมน และออกฤทธิ์ต่อประสาทสมองส่วนจิตใต้สำนึกที่ทำให้คิดถึงเรื่องราวพื้นฐาน ซึ่งก็คือการเจริญพันธุ์ของมนุษยชาติ
ฟีโรโมนจึงทำให้เกิดอารมณ์รักใคร่ อารมณ์เพศ และกระตุ้นให้มีความต้องการทางเพศต่อเพศตรงข้าม ร่างกายของคนเราจะหลั่งฟีโรโมนออกมาก็ต่อเมื่อเจอกับเพศตรงข้ามที่พึงพอใจ และเมื่อตนเองมีอารมณ์เพศเท่านั้น คือ ทำให้เกิดความรัก และเพิ่มอารมณ์ที่จะมีสัมผัสรักทางกายต่อกันและกัน เมื่อคุณเกิดความรักในเขาและเธอ ฟีโรโมนก็จะหลั่งออกมา ไปกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับทราบถึงความรักและความสนใจที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการตอบสนองตามมา
มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอแล้วเกิดไปแต่งงานขึ้น เธอมีเพศสัมพันธ์กับชายคนรักอย่างสม่ำเสมอ ไม่ช้าไม่นาน ประจำเดือนของเธอก็มาเป็นปกติ แพทย์หลายท่านพยายามอธิบายว่า เกิดจากเซ็กซ์ที่สุขสมทำให้เกิดมีการหลั่งสารแห่งความสุขออกมา จนนอนหลับผ่อนคลาย ฮอร์โมนของการเจริญพันธุ์จึงหลั่งออกมาดี ทำให้มีประจำเดือนเป็นปกติได้
ตาโต แก้มยิ้ม ความรู้สึกแรกของความรัก
ขณะที่ รศ.ดร.นัยพินิจ คชภัคดี โครงการศูนย์วิจัยชีววิทยาระบบประสาทและพฤติกรรมสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า สารฟีโรโมนในคนยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีจริงหรือไม่ แต่ในจมูกคนจะมีเส้นประสาททั้งหมด 12 คู่ และเส้นประสาทคู่ที่ 0 ในจมูกจะมีเส้นประสาทที่เกิดฮอร์โมนชื่อ Vemeronasal เป็นเส้นประสาทที่มีในสัตว์แคระ เช่น มด ผึ้ง หนู กระต่าย ซึ่งในคนยังไม่มีการระบุว่ามีสารดังกล่าวอยู่ โดยโครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการวิจัยที่เสนอเกี่ยวกับฟีโรโมนในคนว่า กลิ่นรอบเดือนของผู้หญิงจะมีปฏิกิริยาด้านพฤติกรรมต่อเพศตรงข้าม และจากการวิจัยพบว่าเวลาที่นักศึกษาหญิงพักอยู่ในหอหญิงล้วน โดยไม่มีนักศึกษาชายอยู่ร่วมหอพัก รอบเดือนของนักศึกษาหญิงจะมาไม่สม่ำเสมอ แต่หากนักศึกษาหญิงพักในหอที่มีนักศึกษาชายรวมอยู่ด้วยมักจะมีรอบเดือนที่มาตามปกติ
ตามหลักฐานข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นกับคนและมีลักษณะที่คล้ายกับสัตว์ชั้นต่ำคือ คนเราสามารถรับกลิ่นหอมต่างๆ ได้โดยใช้จมูกรับกลิ่น แต่คนเราสามารถรับกลิ่นที่เรียกว่ความหลงใหล ความชื่นชอบได้ทางสมอง ขณะที่สัตว์ชั้นต่ำจะมีสารดังกล่าวไว้เพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามหรือป้องกันภัยจากศัตรู
ในปัจจุบันไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าคนเรามีสารฟีโรโมนอยู่ในร่างกายจริง แต่ก็มีการวิจัยอยู่เรื่อยๆ ที่ยังไม่มีข้อสรุป โดยมีการวิชัยชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่าเซ็กซ์ฟีโรโมน การวิจัยดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ทางธุรกิจการค้ามากมาย และทำให้เกิดความตื่นตัวทางเพศในการทำงานร่วมกัน เซ็กซ์ฟีโรโมนยังเป็นพฤติกรรมทางเพศที่ศึกษาแล้วพบว่า สิ่งแรกที่จะทำให้คนเราหลงใหลได้ก็คือรูปร่าง หน้าตา รอยยิ้ม ซึ่งจะมีความสำคัญมากกว่ากลิ่น มันจึงขึ้นอยู่กับการมองเห็นมากกว่า อีกข้อคือความรักจะขึ้นอยู่กับวัยของคนด้วยว่ามีประสบการณ์มาอย่างไร และขึ้นอยู่กับทัศ
นคติของบุคคล หากจะกล่าวว่าผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่เหมือนพ่อ และผู้ชายมักจะชอบผู้หญิงที่เหมือนแม่ก็ไม่ผิดนัก
ในประสาทการมองเห็นของคน ครั้งแรกที่พบกัน หากมีพฤติกรรมตาโต แก้มยิ้ม มักจะเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม หรือที่เรียกว่าซิมโบลิค พิคเจอร์ และหากได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น จนมีโอกาสได้ออกเดท เดินเที่ยว ทานข้าวด้วยกัน หรือคุยกันแล้วมีรสนิยมที่เหมือนกัน และถ้าเป็นช่วงที่เพศหญิงมีรอบเดือน ผู้หญิงจะยิ่งมีฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ร่างกายอบอุ่น ส่งผลมาถึงหน้าตาและทำให้สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้มากขึ้น ส่วนผู้ชายก็จะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งไม่ใช่กลิ่นเหงื่อ แต่เป็นกลิ่นหอมๆ ที่รับรู้ด้วยสมองมากกว่าจมูกในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความหลงใหล การสื่อสารภายนอกร่างกาย เป็นการทำงานของสมอง
หญิง ชาย สัมผัสฟีโรโมนได้ต่างกัน
ปิยาภรณ์ รัตนโชติสกุล นักศึกษานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เล่าให้ฟังว่าเคยดูเรื่อง ของสารฟีโรโมนในรายการเมก้า เครฟเวอร์ วันนั้นเขาทดลองเอาฝาแฝดชายมา 2 คน และให้ทั้งสองคนแยกไปอยู่ในตู้ที่จัดไว้ให้ โดยในตู้หนึ่งมีสารฟีโรโมนที่สกัดมาแล้วอยู่ด้วย แต่อีกตู้หนึ่งไม่มี แล้วก็เชิญผู้หญิงมาร่วมรายการ 5 คน วิธีการเล่นก็คือให้พวกเธอทั้ง 5 คน ปิดตาให้สนิทแล้วให้ใช้ความรู้สึกของตัวเองเลือกว่าชอบที่จะอยู่ตู้ไหนมากกว่ากัน ซึ่งการทดลอปรากฏว่าตู้ที่มีสารฟีโรโมนมีผู้หญิงเลือกถึง 4 คน ส่วนตู้ที่ไม่มีสารฟีโรโมน มีผู้หญิงเลือกแค่คนเดียว
การทดลองดังกล่าว ทำให้รู้ว่าสารฟีโรโมนมีผลต่อการดึงดูดต่อเพศตรงข้ามจริง เพราะผู้หญิงทั้ง 5 คนต่างปิดตา มองไม่เห็นหรอกว่าคนที่เธอเลือกจะหน้าตาเป็นยังไง ที่สำคัญที่สุดเขาทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน สิ่งที่ผู้หญิงทั้ง 5 คนเลือกจึงเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ดึงดูดจากเพศตรงข้ามมากกว่า
ปิยาภรณ์ ยังบอกอีกว่า ในส่วนตัวเธอเชื่อว่า สารฟีโรโมนมีอยู่จริง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยดูรายการ เมก้า เครฟเวอร์ มาก่อนเธอก็เชื่ออย่างนั้นเพราะเธอเองก็เคยรู้สึกดี กับผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเคยชอบ เธอเชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีกลิ่นของตัวเอง ซึ่งทั้งเราและเขาต่างก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้กลิ่นที่ว่านี่มันเป็นยังไง เพราะมันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม หรือกลิ่นเหงื่อ แต่เรารู้แค่ว่ามันเป็นกลิ่นที่เกิดมาจากความรู้สึก กลิ่นดังกล่าวที่ว่านี่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดกับทุกคน มันเกิดได้เฉพาะบางคนเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกของหัวใจที่มีอิทธิพล เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถอธิบายได้
ด้าน โชติวรรณ รุจิประเสริฐวงศ์ หนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้มีประสบการณ์ในเรื่องของความรัก เล่าให้เราฟังว่า ฟีโรโมนเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาพร้อมกับกลิ่นตัวซึ่งมีอยู่ในร่างกายของเราทุกคน โดยแต่ละคนก็จะมีกลิ่นที่ต่างกันออกไป กลิ่นที่ว่านี่สามารถดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาหลงเสน่ห์ตัวเราได้
“โดยส่วนตัวเชื่อว่า ฟีโรโมนเป็นสารที่สร้างความรู้สึกทางเพศได้ แต่ไม่ถึงขั้นเกิดความรักหรอก อย่างเช่นเราไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากๆ แต่เขาดันผิดกลิ่นที่เราชอบ เราก็ไม่อยากจะคบ โดยส่วนตัวเราไม่รู้นะว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นเหมือนเรารึเปล่า คือเราคิดว่าผู้หญิงที่อยู่ในช่วงก่อนที่จะมีรอบเดือนเขาจะดูสวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล น่ารักเลยแหละ มันคงเป็นช่วงที่ผู้หญิงมีฮอร์โมนเยอะมากกว่าปกติ จึงทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเสน่หา น่าหลงใหลในตัวของพวกเธอ” โชติวรรณ บรรยาย
แม้ว่าหลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สารฟีโรโมน สามารถสร้างกลิ่นที่รับรู้ได้ทางสมองจริง แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป ในขณะที่หลายคนคิดว่าแล้วอะไรล่ะที่เป็นบทพิสูจน์ เรื่องของความรัก มันเป็นอะไรกันแน่ ฟีโรโมนหรือพรหมลิขิต หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่สิ่งสำคัญที่สุดของคนที่กำลังมีความรัก หรือกำลังเสียใจ ผิดหวังอยู่ คือการใช้หัวใจและเหตุผลควบคู่กันในการตัดสินใจที่จะรักใครสักคน บางทีความรักอาจจะอยู่รอบๆ ตัวคุณ เพียงแต่คุณลองหยุด และก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ดูบ้าง คุณอาจจะเจอก็ได้