เมื่อเช้านี้ในขณะที่ผมกำลังขับรถออกจากบ้าน ขณะที่รถกำลังจะพ้นประตูรั้วบ้าน มีรถคันหนึ่งวิ่งมา (ในซอยซึ่งก็คือถนนหน้าบ้าน) ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะหยุดให้้ผมหรือไม่ เพื่อไม่ประมาท ผมก็เลยหยุดรถและถอยให้พ้นทางเขา (ถอยกลับเข้าบ้านมานิดหนึ่งเพื่อให้พ้นถนน) เพื่อรถคันที่วิ่งมาจะได้ผ่านไปได้ ซึ่งในตอนนั้นผมลืมไปว่ามือผมได้ "เผลอ" กดรีโมทปิดประตูรั้วไปแล้ว (ด้วยความเคยชิน ทำไปโดยอัตโนมัติ ขาดสติ ) ในขณะที่รถอยู่จอดอยู่ครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างแนวประตูรั้วบ้านนั้นเอง ประตูเหล็กขนาดใหญ่ได้เลื่อนเข้ามาหารถผม มากระแทกบริเวณประตูหน้าด้านซ้ายก่อนที่จะหยุดนิ่งคารถ
ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นในใจของผมก็คือ “โมโห” รถคันที่เพิ่งผ่านไปว่าถ้าเขาทำให้ผมเห็นชัดๆ ว่าเขาจะหยุดให้ผม ผมก็คงจะไม่ถอยรถกลับเข้าไปให้ประตูรั้วชน เป็นการ “เพ่งโทษ” ไปที่คนอื่นว่าเขาเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะการ “ขาดสติ” ของผมที่ไม่ควรกดรีโมทจนกว่ารถจะพ้นประตูไปแล้ว ...เรื่องนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นว่าเมื่อ “ขาดสติ” แล้วเป็นอย่างไร แถมยิ่งไม่มี “เมตตา” ด้วย ก็ยิ่งไปกันใหญ่ กลับไปโทษคนอื่นอย่างที่ผมรู้สึกในตอนแรกนั่นแหละ...ถ้าเป็นบางคนก็คงจะบ่นว่าวันนี้ “ซวยจริงๆ” ผมว่านี่ไม่ใช่เรื่องของโชคร้ายหรอกครับ แต่เป็นเพราะผม “ขาดสติ” ก็เท่านั้น....ไม่นึกไม่ฝันหรอกครับว่ารถจะถูกชนโดยประตูรั้วบ้าน!
ดิฉันก็ "เผลอ" บ่อยเหมือนกันค่ะ
โชดดีนะค่ะที่อาจารย์ปลอดภัย :)
เรียน ท่านอาจารย์คะ
อาจารย์เขียนได้ดีมากค่ะ ตื่นเต้นดีค่ะ ตอนแรกใจหาย..คิดว่าอาจารย์จะเป็นอะไรไป
ตอนแรกอ่านก็นึกว่าอาจารย์ถูกรถชนเช่นเดียวกันครับ เป็นการอ่านที่ขาด "สติ" เช่นเดียวกันครับ ดีใจที่อาจารย์ไม่เป็นอะไรครับ
เรียน ท่านอ.ดร.ประพนธ์ค่ะ
รู้สึกว่าทุกๆ ท่านเขียนไปยิ้มไปนะคะ..รวมถึงดิฉันด้วย..ตอนแรกก็อมยิ้มค่ะ..หลังจากนั้นยิ้มเต็มที่เหมือนกัน
เรียนอาจารย์ประพนธ์
ดิฉันอ่านเรื่องที่อาจารย์เล่าแล้ว ขออนุญาตแลกเปลี่ยนและชื่นชมอาจารย์ดังนี้ค่ะ
๑.อาจารย์ได้ให้ "ทาน" โดยการเจตนาถอยรถกลับเพื่อให้ผู้อื่นได้ไปก่อน เจตนาดีเช่นนี้ถือเป็นกุศลกรรมค่ะ
๒.เมื่อรถอาจารย์โดนประตูชนแล้ว อาจารย์ดูอารมณ์ทัน ไม่เพ่งโทษไปยังผู้อื่น แสดงว่าในตอนนั้นอาจารย์ไม่ได้ขาดสติแล้วค่ะ
เรื่องสติเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ ตอนนี้ดิฉันก็หัดเจริญสติเป็นประจำเสมอค่ะ รู้สึกว่าช่วยได้มากในชีวิตประจำวัน บางทีเคยเห็นอารมณ์โกรธของตัวเองขึ้นเป็นริ้วๆ อย่างที่เขาว่ากันเลยค่ะ แต่พอสังเกตุทัน ก็คิดว่าเราสามารถเลือกได้ค่ะ ว่าอยากจะเป็น "ผู้ดู" หรือ "ผู้เป็น" (อันนี้จะเล่าใน blog วันหลังค่ะว่าได้รับความรู้มาจากไหน)
ถ้าเป็นผู้ดู ก็จะเป็นแบบอาจารย์ค่ะ คือไม่หลงไปตามอารมณ์โกรธ แล้วเกิดโทสะมากมายตามมา แต่คิดพิจารณาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และสิ้นสุดอารมณ์โกรธตรงนั้น แถมยังแผ่เมตตาให้กับเขาอีกต่างหาก แต่ถ้าเป็นผู้เป็น ก็จะรู้สึกเดือดร้อนเป็นอย่างมาก กล่าวโทษสิ่งรอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ กลาย "เป็น" ผู้โกรธ ทั้งวันนั่นเองค่ะ เราหลายคนคงเคยอ่านข่าว คนยิงกันตายกลางถนน ด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แหละค่ะ เพราะเขากลาย เป็น อารมณ์ของเขาในขณะนั้นนั่นเองค่ะ
ผมก้นั่งแถวเดียวกับอาจารย์กฤษณาครับ ยืนยันว่า เรตติ้ง ดร.ประพนธ์ สูงติดลม สติที่ท่านกระตุ้นยังติดมาถึงบ่าย ได้สรุปไฮไลท์การบรรยายในแผนภูมิเดียวไว้เตือนสติตนครับ
เรียน ท่าน นพ.ชาตรี เจริญศิริค่ะ
เสียดายที่ไม่ได้แนะนำผู้ที่มาจากน่าน (หมอชาตรี) ให้รู้จักกับ "สาว" ขอนแก่น (คุณกฤษณา) ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน
ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วง ...ที่จริงผมน่าจะใช้คำว่าประตูรั้วมา "กระทบ" หรือ "กระแทก" รถ น่าจะตรงกว่านะครับ
ผมเคยคิดจะติดประตูเลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบนี้เหมือนกัน พอปรึกษากันในครอบครัว ลูกสาวคนเล็กบอกว่าบ้านเพื่อนใช้ประตูแบบนี้ พอออกจากบ้านประตูหนีบสุนัขตาย(คงทรมานอยู่นานเพราะไม่มีใครเห็น) บางบ้านก็ถูกไฟฟ้าช็อตด้วย ผมก็เลยเลิกความคิดนี้
ต่อมาไปสัมมนากับมูลนิธิโกมลคีมทอง ซื้อหนังสือที่มูลนิธิพิมพ์ ชื่อ คืนชีวิตสู่ความเรียบง่าย มาอ่านแล้วพบว่าที่ตัดสินใจไปนั้น ใช่เลย
อย่างไรก็ตาม บ้านผมอยู่ในซอยตัน รถน้อย ถนนหน้าบ้านก็กว้างพอที่จะจอดรถ ๑-๒ นาที ลงมาเปิด-ปิดประตูรั้วได้ โดยไม่มีใครเดือนร้อนต้องคอยเรา
ดิฉันเพิ่งกลับจากยะลา แวะเข้ามาเห็นชื่อเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก..... เพราะตอนอ่านชื่อเรื่อง ดิฉันได้อ่านคำสลับที่ สลับตำแหน่ง โดยอัตโนมัติ
ดีใจที่อาจารย์ปลอดภัยและหวังว่ารถคงจะไม่เป็นอะไรมากนะคะ