เช้าวันที่ 4 ตื่นมา อา... วันสุดท้ายแล้วหรือนี่ สามสี่วันนี้มันอะไรกันหนอ เวลาผ่านไป เหมือนฝัน คล้ายจริง คล้ายเท็จ เดินไปบ้านอิงดอย เดินช้าลงกว่าเดิม ซึมซับความรู้สึก อากาศเย็นแต่สดชื่นของเชียงรายอย่างอรุณรุ่ง พลพรรคมวยจีนตอนเช้าค่อยๆทยอยกันมา ที่ละคนสองคน อ.ฌานเดช ให้เจ้าปูม รำมวยให้พวกเราดูชุดใหญ่หนึ่งชุด อื้อ หือ มันเยอะขนาดนี้เชียวหรือนี่ ปูมรำด้วยความกระฉับกระเฉง มิน่าเล่าเขาถึงใช้คำว่า "รำ" กับการแสดงท่ามวย เพราะมันมีความสัมผัส ต่อเนื่อง สุนทรีย์ เป็นจังหวะจะโคน เกิด flow ไปตามการเคลื่อนไหว ตามการหายใจ ดูแล้วเพลิดเพลิน เหมือนดูระบำ dance อะไรสักอย่างหนึ่ง จบลงด้วยเสียงปรบมือแสดงความชื่นชมยินดีต่อผู้ชม ปูมยิ้มอายๆ วิ่งกลับไปอยู่ท้ายแถวใหม่
วันนี้อาจารย์ฌานเดช ต่อมวย ทุยโส่ว อีกสองแบบ คือ แบบสองมือ คล้ายๆเดิมแต่เอามือซ้ายประคองข้อศอกขวาของฝ่ายตรงข้ามเพีมขึ้น ทีนี้ไม่ได้ใช้แรงผลัก แต่เป็นการถอย ขณะที่ถอยอีกฝ่ายจะต้องพยายามรักษาสัมผัสของข้อมือและข้อศอกให้เหมือนเดิม อาจารย์ฌานเดชและอาจารย์มนตรี "รำ" ให้ดูก่อน ปรากฏว่าเหมือนเต็นรำจริงๆ เดินหน้า ถอยหลัง 1, 2, 3, 4 ฮึบ กลับไปมายังกับนัดกัน แล้วก็ให้พวกเราลองกัน ปรากฏว่าก็เหมือนหัดเต้นรำจริงๆ คือ เกือบเหยียบเท้ากันอุตลุด เพราะเราไม่ได้เตี๊ยมกันว่าจะก้าวหน้ากี่ก้าวหรือถอยหลังกี่ก้าว มือก็ต้องพะวงกับการไม่ให้วงหลุด
ซักประเดี๋ยวก็เกิดปัญญา ลองหลับตาดูดีกว่า อา.... สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น เนื่องจากมองไม่เห็น ประสาทสัมผัสเหลือแค่ข้อมือข้อศอกที่เชื่อมโยงคนสองคนเข้าด้วยกัน ไม่เหลือ logic หรือข้อมูลว่าเขากำลังจะไปทางไหน จะหยุดหรือยัง แต่เหลือแต่ แค่ความรู้สึกที่ข้อมือ ข้อศอก เท่านั้น กลับกลายเป็นจังหวะเริ่มเข้ากัน ง่ายขึ้น ช้าลง และไปได้เรื่อยๆ
สักพักก็ลองเปลี่ยนคู่ ตอนเปลี่ยนคู่ก็เหมือนกับเปลี่ยนหนังสือเล่มใหม่ ทำความรู้จักคุ้นเคยกันใหม่ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ส่งถ่ายน้ำหนักแตะไปที่ข้อมือและข้อศอก รับรู้ทิศทาง เรียนรู้จุดประสงค์ "อ่าน" ซึ่งกันและกัน
อาจารย์ฌานเดชแนะท่าสุดท้ายของวันนี้ และของการอบรมคราวนี้ ด้วยทุยโส่วอีกแบบคือสองฝ่ามือ บวกเคลื่อนไหวร่าง ใช้ทีละมือและเน้นถอย อีกฝ่ายตาม ขยับร่างกาย ซ้ายขวา หน้าหลัง อีกฝ่ายขยับตามให้ข้อมือสัมผัวข้อมือ สักพักก็ให้เปลี่ยนมือซ้ายขวาไปเรื่อยๆ อย่างไร้ตะเข็บ ข้อมือแค่ "แตะกัน" แม้กระทั่งตอนเปลี่ยนมือก็ให้แค่แตะ ไม่ใช่กระแทกกัน
เราเรียนรู้ การอ่าน ที่ใช้ความรู้สึก เท่าทันว่าบางทีประสาทสัมผัสเรานั้น ไม่ได้ "ช่วย" เสมอไป การ "คิด รู้" อาจจะสื่อได้ไม่ดีเท่า "รู้สึก" จากสัมผัส จากใจ โดยไม่ต้องใช้คำพูด อารมณ์และปัญญา ความรู้สึกและความคิด เสริมกัน สนับสนุนกัน ไม่ขัดแย้งกัน ต่างก็มีที่ทาง มีเวลา ที่เหมาะสมของตนเองในการนำมาใช้
เช้านี้ โยดาบอกว่าคิดว่าเป็นวาระอันน่าเฉลิมฉลอง หลายๆคนก็ดูจะเห็นด้วยกับมติคตินี้ ฉะนั้นวาระสำคัญอย่างการเฉลิมฉลองก็น่าจะมีการบันทึก เราเริ่ม อ่าน เขียน แปล ก็ควรจะจบด้วยการเขียน ฉะนั้นขอให้แต่ละคนเขียนอะไรออกมาอีกสัก 5 นาทีพรหม (หรือ 20 นาทีมนุษย์) จึงเป็นที่มาของ แบบฝึกหัด อ่าน เขียน แปล กระบวนทัศน์ใหม่ (2) หรือบทความ สะท้อน อ่าน เขียน แปล กระบวนทัศน์ใหม่ เชื่อมโยงปรากฏการณ์สามสี่วันนี้ เข้ากับธรรมะแห่งการเยียวยา หรือโพชฌงค์7 ซึ่งดิบดีแนบเนียน
เสร็จสรรพ์ก็เข้าวงใหญ่ ทุกๆคน ค่อยๆอ่าน ระบายความรู้สึกในช่วงเวลาสั้นๆแต่มีความหมาย หรือได้รู้จักกับความหมาย ความหมายของหนังสือ ความหมายของหลายสิ่งหลายอย่าง ได้รู้จักการอ่านแบบต่างๆ หนังสือที่หลากหลายมากมาย ทราบได้ยินถึงแรงกระตุ้น ในการทำ / ไม่ทำ อะไรของแต่ละคน การบ้านต่อเนื่องหลังจากการอบรมครั้งนี้ก็เต็มกระเป๋ากลับไป อินทรีย์บางตัวก็ถูกบอกให้ดำน้ำเสียบ้าง!!! (โยดาเมารึเปล่าเนี่ย) เพราะบินประเจิดประเจ้อ ปีกใหญ่โตเหลือเกินของเจไดวฆ ดอกไม้บางดอกก็บานจากหัวใจศิลปิน บานอย่างท้าทายองอาจ หมดความไม่แน่ใจ ตัว block ถูกสลายลงไป หลายๆคนก็จะตั้งหน้าตั้งตารอหนังสือเล่มใหม่ เช่น กุงฟู ของอาจารย์ฌานเดช หรือหนังสือแปลของพี่กิจจา ตำราการเป็นพ่อเมืองแพร่ของพี่แดง และ "หนังสือเมื่อคราวจำเป็น" ของพี่วิรัช อาจารย์มนตรีกับแอ็ดก็คงจะมีงานยุ่งกับเด็กอีกสองสามพันคน ไม่ทราบจะได้อ่านอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า
เราอาจจะได้อ่าน "นิยายของหนูตัวหนึ่ง" ของพี่วิธาน อาจจะมีกลิ่นอายรุ่งอรุณผสมปนเปเพราะพี่แกชอบเขียนตอนนั้น นิยายรักน้ำตาท่วมจอเรื่อง "แต่ปางก่อน (ที่ยังอ้าซ่าเมื่อสองเดือนที่แล้ว)" ของคุณณา นิยายประกอบภาพของหมอสุนันท์ ขณะที่ไพลินก็จะไม่เพียงขายยาอย่างเดียว แต่จะซื้อขายหัวใจแก่กันด้วย พี่ชวนพิศอาจจะมีนิยาย palliative care มาแข่งกันเล่าในครั้งต่อๆไป เก่ง ผึ้ง ก็คงจะขอโจทย์เพิ่มจากโยดา เอาไปฝึกปรือ อาจจะแถมน้องเอื้ออีกสักคน (เอาไว้เข้าวงชาเขียวในอนาคต) พี่นพมาศก็คงจะมีหนังสือคู่มือการ (ทุ่มเท) การสอนเด็กออกมา ส่งไปให้เจ้าแอ๊ดอ่านเป็นที่ระลึกที่นั่งอยู่เคียงข้างกัน เราอาจจะมีหนังสืออารมณ์ดีของศิลปินประสาท (ผู้เคย top physics แต่ไม่มีการบันทึก) คู่มือนักธุรกิจผู้มีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ของหนุ่มนครสวรรค์ศรชัย
พยายามเขียน แต่ความทรงจำกำลังเริ่มเหือดหาย ลงไปก้นบึ้งของตัว U ว่ายเวียนฉิวเฉียดกับคลื่น delta เบื้องล่าง ผมยังมีนิยายของ "นศพ. วิหคอัคนี" ที่เขียนค้างคาไว้จากวันแรก เธอจะเป็นอย่างไรต่อไป คงจะต้องอาศัยฌานทัศนะระดับสูงสุดเท่านั้นจึงจะพยากรณ์ได้
ณ ปัจจุบันกาล คงจะถึงเวลาอันสมควร บทความบางอย่างเขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องช่วยจำสำหรับตัวผมเอง คนอื่นอาจจะอ่านแล้วนึกว่ากำลังพร่ำเพ้ออะไรอยู่ ไม่เห็นรู้เรื่อง แต่เนื่องจากนี่เป็น ที่ทางในจักรวาล ที่ผมกำลังมั่นใจใน ความหวังนิรันดร์ ที่จะทำ "หน้าที่" อันทำให้ชีวิตมีความหมายต่อไปเรื่อยๆ
ขอบคุณ Phoenix สำหรับการแบ่งปันอันทรงคุณค่าค่ะ...ตั้งใจจะแวะมาอ่านอีก