หลายคนอาจรู้สึกว่าการปฎิบัติธรรมเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วเราสามารถปฎิบัติธรรมได้ตลอดเวลา เพราะว่าธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่ใด แต่อยู่ที่ตัวเราและรอบๆ ตัวเรานั่นเอง
การพิจารณาดูอารมณ์ของเราเองก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรมได้แล้ว เพราะถ้าหากเราตามดูอารมณ์ของเราได้ทัน และเห็นว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียงแค่สภาวะธรรมหรือสภาพธรรมหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็จะดับไป เท่านั้น ถ้าเรารู้เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ถือเอาอารมณ์นั้นๆ มาเป็นตัวตนของเรา ไม่เอามาเป็นสรณะเสียจนเกิดความเดือดร้อนไปกับอารมณ์นั้นๆ หรือยึดมั่นถือมั่นกับอารมณ์นั้นๆ นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้าได้ยินคำชม ว่าเป็นคนเก่ง คนรวย จิตของเราจะทำหน้าที่รับรู้คำชมนั้น เกิดความสุขกับคำชมนั้นๆ พาลคิดไปว่าเรานั้นเก่งและรวยขึ้นจริง แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปจะเห็นว่า หลังจากขณะที่มีคนมาชมว่าเราเก่ง หรือเรามีเงินมากนั้น เราไม่ได้เก่งขึ้นจริงในทันใด เราก็ยังเป็นคนเดิม มีสิ่งที่สังคมเรียกว่าความเก่งเท่าเดิม มีเงินในกระเป๋าเท่าเดิม ดังนั้นถ้าเราไม่มีสติ เราอาจหลงว่าเราเก่งขึ้น และรวยขึ้นเนื่องจากคำชมไปแล้วก็ได้ และเกิดกิเลสฝันหวานอยากเก่งอยากรวยมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นการปฏิบัติธรรม โดยมีสติตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวันให้ทัน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมชั้นยอดแล้ว เพราะถ้าเรามีสติ ไม่หลงไหลไปกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบตัวเราทุกวัน และเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ กิเลสของเราก็จะลดลงไปด้วยเช่นกัน