สวัสดีครับ
ช่วงนี้สอบปลายภาค ๒๕๔๙ เสร็จสิ้นไปแล้ว ภาคเรียนฤดูร้อนกำลังจะเริ่มไม่กี่วันข้างหน้า
การได้ปฏิบติหน้าที่อย่างหลากหลาย ผมถือว่าเป็นเรื่องของความโชคดีที่เราได้รับประสบการณ์ การปฏิเสธงานจะด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นเรื่องที่ขาดโอกาสและเสียโอกาสในการสร้างความช่ำชองให้กับตัวเอง และสร้างความรังเกียจหรือไม่พอใจกับคนที่เขาจะมอบ
เมื่อสองวันก่อน มีโอกาสได้ร่วมประชุมวิทยากรเตรียมการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลงานของข้าราชการครูเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ ๓ (คศ.๓) เมื่อประธานบอกวิธีการและพูดให้คณะวิทยากรได้ฟังจบ จึงเป็นทีของผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็น
ผมพบสิ่งที่มีความแตกต่างจากการนำเสนอของลักษณะของคนในมหาวิทยาลัย มีความคิดเห็นที่ฟังได้แล้วพอสรุปออกมาอย่างนี้ครับ
การไปเป็นวิทยากรให้กับข้าราชการครูครั้งนี้ คนที่จะไปเป็นวิทยากรมีความแตกฉานในเรื่องนั้นหรือยังเช่น การทำแผนการสอนในระดับช่วงชั้นต่าง ๆ การวิจัยในชั้นเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ของการศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน เป็นต้น
ที่จริงแล้วยังมีประเด็นปลีกย่อยอีกมากในการแสดงความคิดเห็น
แต่ผมได้เห็นวิธีการปฏิเสธการเป็นวิทยากรแล้ว เข้าใจเพิ่มเข้าไปอีกว่า คนในมหาวิทยาลัยเขามักหักด้ามพร้าด้วยเข่ากันอย่างนี้หรือ
นำเสนอเสร็จ ลุกหนีจากที่ประชุมไปทันที โดยไม่เอื้ออาทรช่วยเหลือ หาวิธีการก่อนที่ตนเองจะออกจากห้องประชุมไป
และที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง...คือการเป็นวิทยากรให้กับกลุ่มข้าราชการครูกลุ่มศิลปะ ในขณะที่ประชุม ผมคิดเสมอว่าเราจะหาโอกาสบอกท่านประธานอย่างไรว่า เรายังมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ไม่มากนัก ถึงแม้ท่านประธานจะถามในที่ประชุมว่า ผมคงไม่มีปัญหาใด ๆ
ผมตอบไปว่า เรื่องการประเมิน การติดตามที่เกี่ยวข้องการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น เคยมีประสบการณ์ในขณะที่เป็นผู้บริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานมาอยู่บ้าง
แต่ลึก ๆ ที่อยู่ในใจขณะที่ประชุม ผมจะบอกกับท่านประธานภายหลังจากการประชุมแน่นอนว่า คงต้องหาคนที่มีประสบการณ์หรือเชี่ยวชาญโดยตรงมากกว่าผมมาแทน
หลังจากนั้นประชุมเสร็จ ก็ทำตามที่คิดไว้ทันทีครับ...คือหาผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนศิลปะในระดับช่วงชั้นของการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดเชียงใหม่ โดยการประสานงาน ใช้โทรศัพท์จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง จนกระทั่งได้รายชื่อ และช่วยพิมพ์หนังสือขอตัวข้าราชการครูผู้นั่น (เพราะเด็กที่ทำงานกลับหมดแล้ว)
สิ่งที่ได้รับโดยไม่ต้องมีคนมาบอกนะครับ
- ประธานอาจจะตำหนิในใจได้ว่า อุตส่าห์(มัดมือชก)ให้ความไว้ใจแล้ว ยังมาทำแบบนี้อีก
- ได้เห็นวิธีการหักด้ามพร้าด้วยเข่าของคน
- ได้เพื่อน รู้จักคนต่างกลุ่มมากขึ้น
- อาจจะได้ใจประธานก็ได้ (กรณีช่วยติดต่อประสานหาคน พิมพ์หนังสือ)
- น้ำเสียง แววตาที่ใช้ในการประชุม มีความสำคัญมากครับ ถึงแม้ไม่บอกด้วยภาษาพูด แต่คนเราก็อ่านกันได้ในแววตา(เว่อไปมั้ยครับ)
การเขียนเรื่องเล่าในวันนี้ อาจจะเกิดกับผู้อ่านมาแล้วหลายท่าน แต่อาจจะมีวิธีการที่ดีกว่าผมเล่านี้ก็ได้ครับ
และบางท่านก็บอกว่า...ถ้าไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่าก็ไม่รู้จักจบสักที แต่คงลืมนึกไปว่า เราวนเวียนอยู่กันบนโลกนี้ สักวันเราคงต้องอาศัยพึ่งพากัน พบกันด้วยรอยยิ้มด้วยมิตรไมตรี มันน่าจะช่วยให้ชีวิตกลมกล่อมมีความสุข ความงามมากกว่า
บางคนก็บอกต่อไปว่า มันเรื่องของกู
ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วผมก็บอกว่า ขอให้กูไม่เป็นอย่างมึงก็แล้วกัน
จบด้วยการเข้าข้างตัวเองเสียอย่างนี้แหละครับ ไม่รู้ว่าปัญญาเกิดหรือเปล่า?
ไม่มีความเห็น