เด็กเป็นผู้ที่ยังเยาว์วัยทั้งในด้านความคิด การกระทำและประสบการณ์ จึงควรได้รับการปกป้องดูแลและช่วยเหลือ ตามที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ 2546 ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2547 นับเป็นกฎหมายหลักสำคัญที่กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานด้านการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก
เด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์และคุ้มครองตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
1. การสงเคราะห์เด็ก ในมาตรา 32 ระบุไว้ว่า เด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์ได้แก่
(1) เด็กเร่ร่อน หรือเด็กกำพร้า
(2) เด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือพลัดหลง
(3) เด็กที่ผู้ปกครองไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยเหตุใดๆ เช่น ถูกจำคุก กักขัง พิการ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง ยากจน เป็นผู้เยาว์ หย่า ถูกทิ้งร้าง เป็นโรคจิตหรือโรคประสาท
(4) เด็กที่ผู้ปกครองมีพฤติกรรมหรือประกอบอาชีพไม่เหมาะสมอันอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายหรือจิตใจของเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล
(5) เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยมิชอบ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ถูกทารุณกรรม หรือตกอยู่ในภาวะอื่นใดอันอาจเป็นเหตุให้เด็กมีความประพฤติเสื่อมเสียในทางศีลธรรมอันดีหรือเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
(6) เด็กพิการ
(7) เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก
(8) เด็กที่อยู่ในสภาพที่จำต้องได้รับการสงเคราะห์
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามมาตรา 24 (ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อำนวยการเขต นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ได้รับแจ้ง หรือพบเห็นเด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์ จะต้องสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก ถ้าเด็กเจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องตรวจสุขภาพหรือเป็นเด็กพิการต้องรีบจัดให้มีการตรวจรักษาทางร่างกายและจิตใจแก่เด็กทันที (มาตรา 35) หากเป็นเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการสงเคราะห์อาจพิจารณาดำเนินการให้การสงเคราะห์เด็กได้ใน 2 ลักษณะ คือ (มาตรา 33)
กรณีที่หนึ่ง ครอบครัวยังสามารถให้การเลี้ยงดูเด็กได้ ให้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์แก่เด็กและครอบครัวหรือบุคคลที่อุปการะเลี้ยงดูเด็กเพื่อให้สามารถอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลมิให้ตกอยู่ในภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
กรณีที่สอง ครอบครัวไม่สามารถให้การเลี้ยงดูเด็กได้ ผู้ปกครองหรือญาติของเด็กสามารถนำเด็กไปขอรับการสงเคราะห์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เพื่อส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในสถานแรกรับในระยะแรกก่อนที่จะพิจารณาให้การสงเคราะห์เด็กตามความเหมาะสมในลำดับต่อไป โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก ได้แก่
(1) มอบเด็กให้อยู่ในความอุปการะของบุคคลที่เหมาะสมและยินยอมรับเด็กไว้อุปการะเลี้ยงดูตามระยะเวลาที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกิน 1 เดือน
(2) ดำเนินการเพื่อให้เด็กได้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
(3) ส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในครอบครัวอุปถัมภ์หรือสถานรับเลี้ยงเด็กที่เหมาะสมและยินยอมรับเด็กไว้อุปการะ
(4) ส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในสถานสงเคราะห์
(5) ส่งเด็กเข้าศึกษาหรือฝึกหัดอาชีพ หรือส่งเด็กเข้าบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพ ศึกษาหรือฝึกหัดอาชีพในสถานพัฒนาและฟื้นฟู หรือส่งเด็กศึกษากล่อมเกลาจิตใจโดยใช้หลักศาสนาในวัดหรือสถานที่ทางศาสนาอื่น ที่ยินยอมรับเด็กไว้
อย่างไรก็ตามการส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในสถานแรกรับ ครอบครัวอุปถัมภ์ สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานสงเคราะห์ สถานพัฒนาและฟื้นฟูหรือสถานที่ทางศาสนา ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองโดยความยินยอมดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ หรือยินยอมด้วยวาจาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ในกรณีที่ผู้ปกครองไม่ให้ความยินยอมโดยไม่มีเหตุอันควรหรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ ปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี มีอำนาจส่งเด็กเข้ารับการสงเคราะห์ตามวิธีการข้างต้น ทั้งนี้ปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการจังหวัดต้องฟังรายงานและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในสาชาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และการแพทย์ก่อน ซึ่งในระหว่างที่เด็กได้รับการอุปการะจากบุคคลหรือองค์กรข้างต้น พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการด้วยวิธีต่างๆเพื่อให้เด็กสามารถกลับไปอยู่ในความปกครองของผู้ปกครองโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หากเด็กที่ได้รับการสงเคราะห์มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แต่ยังอยู่ในสภาพที่จำเป็นจะต้องได้รับการสงเคราะห์ อาจได้รับการสงเคราะห์ต่อไปจนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และถ้ามีเหตุจำเป็นต้องให้การสงเคราะห์ต่อตามความจำเป็นและสมควร แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินเวลาที่บุคคลนั้นมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ในกรณีที่ผู้ปกครองรับเด็กกลับมาอยู่ในความดูแล มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะให้การเลี้ยงดูโดยมิชอบแก่เด็กอีก ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง หากผู้ปกครองไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำก็ให้ยื่นคำขอต่อปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี เพื่อเรียกผู้ปกครองมาทำทัณฑ์บนว่าจะไม่กระทำการอันใดที่มีลักษณะเป็นการให้การเลี้ยงดูโดยมิชอบแก่เด็กอีก และให้วางประกันไว้เป็นจำนวนเงินตามสมควรแก่ฐานานุรูป แต่จะเรียกประกันไว้ได้ไม่เกินระยะเวลาสองปี ถ้ากระทำผิดทัณฑ์บนให้ริบเงินประกันเข้ากองทุนคุ้มครองเด็ก (มาตรา 39) ทั้งนี้การให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองหรือการเรียกประกันจะต้องคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ปกครองและประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
2. การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ในมาตรา 40 ระบุไว้ว่า เด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพได้แก่
(1) เด็กที่ถูกทารุณกรรม
(2) เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด
(3) เด็กที่อยู่ในสภาพที่จำต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ
2.1 การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่ถูกทารุณกรรม
พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กเมื่อได้รับแจ้งหรือพบเห็นพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำทารุณกรรมต่อเด็ก มีอำนาจเข้าตรวจค้นและแยกตัวเด็กจากครอบครัว (มาตรา 41) โดยจะต้องนำเด็กไปรับการตรวจรักษาทางร่างกายและจิตใจโดยเร็วที่สุด และต้องทำการสืบเสาะข้อมูลทางครอบครัวเพื่อประกอบการพิจารณาวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสมแก่เด็ก ในระหว่างการสืบเสาะข้อมูลอาจส่งตัวเด็กไปสถานแรกรับหรือถ้าจำเป็นต้องให้การสงเคราะห์ก็จะพิจารณาให้การสงเคราะห์เด็กตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และถ้าจำเป็นต้องให้การฟื้นฟูสภาพจิตใจจะต้องรีบส่งเด็กไปยังสถานพัฒนาและฟื้นฟู
การส่งเด็กไปสถานแรกรับ สถานพัฒนาและฟื้นฟู หรือสถานที่อื่นใด ในระหว่างการสืบเสาะและพินิจเพื่อหาวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสมแก่เด็ก ให้กระทำได้ไม่เกิน 7 วัน ยกเว้นกรณีที่มีเหตุจำเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ของเด็ก พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อมีคำสั่งขยายระยะเวลาออกไปรวมแล้วได้ไม่เกิน 30 วัน (มาตรา 42)
กรณีที่มีการฟ้องคดีอาญาแก่ผู้ปกครองหรือญาติที่เป็นผู้กระทำทารุณกรรมต่อเด็ก ถ้ามีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ถูกฟ้องนั้นจะกระทำทารุณกรรมแก่เด็กอีก ศาลที่พิจารณาคดีนั้นมีอำนาจกำหนดมาตรการคุมความประพฤติ ห้ามเข้าเขตกำหนด หรือห้ามเข้าใกล้ตัวเด็กในระยะที่ศาลกำหนด (มาตรา 43) และจะสั่งให้ทำทัณฑ์บนตามวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 46 และมาตรา 47 แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วยก็ได้ (มาตรา 46 ถ้าความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงาน อัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ในการพิจารณาคดีความผิดใด ถ้าศาลไม่ลงโทษผู้ถูกฟ้องแต่มีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ถูกฟ้องน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งผู้นั้นให้ทำทัณฑ์บน โดยกำหนดจำนวนเงินไม่เกินกว่าห้าพันบาท ว่าผู้นั้นจะไม่ก่อเหตุดังกล่าวตลอดเวลาที่ศาลกำหนด แต่ไม่เกินสองปี และจะสั่งให้มีประกันด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้นั้นไม่ยอมทำทัณฑ์บนหรือหาประกันไม่ได้ ให้ศาลมีอำนาจ สั่งกักขังผู้นั้นจนกว่าจะทำทัณฑ์บนหรือหาประกันได้ แต่ไม่ให้กักขังเกินกว่า 6 เดือน หรือจะสั่งห้ามผู้นั้นเข้าไปในเขตกำหนด มาตรา 47 ถ้าผู้ทำทัณฑ์บนตามความใน มาตรา 46 กระทำผิดทัณฑ์บนให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นชำระเงินไม่เกินจำนวนที่ได้กำหนด ไว้ในทัณฑ์บน)
หากผู้ปกครองหรือญาติของเด็กที่เป็นผู้กระทำทารุณกรรมต่อเด็ก ฝ่าฝืนข้อกำหนดของศาลในการคุมความประพฤติ ห้ามเข้าเขตกำหนดหรือห้ามเข้าใกล้ตัวเด็ก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 81)
กรณีที่ยังไม่มีการฟ้องคดีอาญาหรือไม่ฟ้องคดีอาญา แต่มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจะมีการกระทำทารุณกรรมแก่เด็กอีก พนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก หรือพนักงานอัยการจะต้องยื่นคำขอต่อศาล เพื่อออกคำสั่งมิให้กระทำการดังกล่าวโดยกำหนดมาตรการคุมความประพฤติและเรียกประกันด้วยก็ได้ หากศาลเห็นว่ามีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองเด็กมิให้ถูกกระทำทารุณกรรมอีก ศาลมีอำนาจออกคำสั่งให้ตำรวจจับกุมผู้ที่เชื่อว่าจะกระทำทารุณกรรมแก่เด็กมากักขังไว้มีกำหนดครั้งละไม่เกินสามสิบวัน ทั้งนี้การพิจารณาออกคำสั่งหรือการเรียกประกันจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ
2.2 การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด
พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามมาตรา 24 (ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อำนวยการเขต นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) พบเห็นหรือได้รับแจ้งว่ามีเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด (เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร เด็กที่ประกอบอาชีพหรือคบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย) ให้สอบถามและดำเนินการหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเด็ก ประวัติความเป็นอยู่ และความประพฤติของเด็ก (มาตรา 44) ถ้าเห็นว่าจำเป็นต้องคุ้มครองสวัสดิภาพแก่เด็ก ให้กำหนดมาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กได้ 2 วิธีคือ
วิธีแรก สำหรับเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการสงเคราะห์ ดังนี้
(1) ให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์แก่เด็กและครอบครัวหรือบุคคลที่อุปการะเลี้ยงดูเด็กเพื่อให้สามารถอุปการะเลี้ยงดูเด็กได้
(2) มอบเด็กให้อยู่ในความอุปการะของบุคคลที่เหมาะสมและยินยอมรับเด็กไว้อุปการะเลี้ยงดูตามระยะเวลาที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินหนึ่งเดือน ในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการตาม (1) ได้
(3) ดำเนินการเพื่อให้เด็กได้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
(4) ส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในครอบครัวอุปถัมภ์หรือสถานรับเลี้ยงเด็กที่เหมาะสมและยินยอมรับเด็กไว้อุปการะ (โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง)
(5) ส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในสถานแรกรับ (โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง)
(6) ส่งเด็กเข้ารับการอุปการะในสถานสงเคราะห์ (โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง)
(7) ส่งเด็กเข้าศึกษาหรือฝึกหัดอาชีพ หรือส่งเด็กเข้าบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพ ศึกษาหรือฝึกหัดอาชีพในสถานพัฒนาและฟื้นฟู หรือส่งเด็กศึกษากล่อมเกลาจิตใจโดยใช้หลักศาสนาในวัดหรือสถานที่ทางศาสนาอื่น ที่ยินยอมรับเด็กไว้ (โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง)
วิธีที่สอง มอบตัวเด็กให้ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่ยินยอมรับเด็กไปปกครองดูแล และอาจวางข้อกำหนดให้ผู้ปกครองที่รับเด็กไปดูแล ต้องปฏิบัติเพื่อป้องกันมิให้เด็กมีความประพฤติเสียหาย ข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ดังนี้
1.
ระมัดระวังมิให้เด็กเข้าไปในสถานที่หรือท้องที่ใดอันจะจูงใจให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร
2. ระมัดระวังมิให้เด็กออกนอกสถานที่อยู่อาศัยในเวลากลางคืน
เว้นแต่มีเหตุจำเป็นหรือไปกับผู้ปกครอง
3.
ระมัดระวังมิให้เด็กคบหาสมาคมกับบุคคลหรือคณะบุคคลที่จะชักนำไปในทางเสื่อมเสีย
4.
ระมัดระวังมิให้เด็กกระทำการใดอันเป็นเหตุให้เด็กประพฤติเสียหาย
5. จัดให้เด็กได้รับการศึกษาอบรมตามสมควรแก่อายุ
สติปัญญาและความสนใจของเด็ก
6.
จัดให้เด็กได้ประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดและความสนใจของเด็ก
7. จัดให้เด็กกระทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเองทางด้านคุณธรรม
จริยธรรมและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
หากผู้ปกครองที่รับเด็กไปดูแลไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กจะต้องรับเด็กกลับไปดูแลตามวิธีแรก
นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติที่ให้การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กจากอบายมุข ตามมาตรา 45 ห้ามมิให้เด็กซื้อหรือเสพสุราหรือบุหรี่ หรือเข้าไปในสถานที่เฉพาะเพื่อการจำหน่ายหรือเสพสุราหรือบุหรี่ หากฝ่าฝืนให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบถามเด็กเพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและมีหนังสือเรียกผู้ปกครองมาร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหารือ ว่ากล่าวตักเตือน ให้ทำทัณฑ์บนหรือมีข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับวิธีการและระยะเวลาในการจัดให้เด็กทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ และอาจวางข้อกำหนดให้ผู้ปกครองต้องปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ดังนี้
(1) ระมัดระวังมิให้เด็กเข้าไปในสถานที่หรือท้องที่ใดอันจะจูงใจให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร
(2) ระมัดระวังมิให้เด็กออกนอกสถานที่อยู่อาศัยในเวลากลางคืน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นหรือไปกับผู้ปกครอง
(3) ระมัดระวังมิให้เด็กคบหาสมาคมกับบุคคลหรือคณะบุคคลที่จะชักนำไปในทางเสื่อมเสีย
(4) ระมัดระวังมิให้เด็กกระทำการใดอันเป็นเหตุให้เด็กประพฤติเสียหาย
(5) จัดให้เด็กได้รับการศึกษาอบรมตามสมควรแก่อายุ สติปัญญา และความสนใจของเด็ก
(6) จัดให้เด็กได้ประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดและความสนใจของเด็ก
(7) จัดให้เด็กกระทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเองทางด้านคุณธรรม จริยธรรมและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
หากปรากฏว่าผู้ปกครองของเด็กไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนด พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กอาจให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง หากผู้ปกครองไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำก็ให้ยื่นคำขอต่อปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี เพื่อเรียกผู้ปกครองมาทำทัณฑ์บนว่าจะไม่กระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการให้การเลี้ยงดูโดยมิชอบแก่เด็กอีกและให้วางประกันไว้เป็นจำนวนเงินตามสมควรแก่ฐานานุรูป แต่จะเรียกประกันไว้ได้ไม่เกินระยะเวลา 2 ปี ถ้ากระทำผิดทัณฑ์บนให้ริบเงินประกันเข้ากองทุนคุ้มครองเด็ก
******************************
บรรณานุกรม
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ 2546
เป็นประโยชน์มากขอบคุณอาจารย์ จากศิษย์เก่า
มาช่วยกันดูแลอนาคตของชาติ และวันข้างหน้าของผู้ใหญ่ในวันนี้ที่จะอยู่ในมือของเยาวชนเหล่านี้เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าค่ะ
- ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ
สวัสดีค่ะ
* เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับอาชีพครูค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ แต่อยากจะรบกวนสอบถามข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งค่ะ
พอดีดิฉันได้รู้จักกับครอบครัวนึงค่ะ ดูแล้วเค้าไ่ม่สามารถเลี้ยงลูกของเค้าได้
จริงๆ ค่ะ เพราะครอบครัวหย่าร้างกัน และลูกชายอยู่กับพ่อค่ะ เด็กอายุ 2 ขวบ
ค่ะ อยากจะขอคำแนะนำค่ะ ว่าจะทำอย่างไรได้บ้างค่ะ ตอนนี้พ่อเครียดมาก
ไม่มีอา่ชีพ และลงไม้ลงมือกับเด็กด้วยค่ะ
อย่าทำร้ายเด็กกันนะคะ
ขอขอบคุณมากนะคะ สำหรับข้อมูลดีๆ ขออนุญาตนำไปใช้ในการให้ความรู้แก่ผู้เข้าอบรมโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข้่ายคุ้มครองเด็กระดับอำเภอ ที่กำลังจะอบรมเร็วๆ นี้คะ
ทุกข์ใจมากเลยย ไม่รู้จะทำยังงัยแล้