"รู้นะว่าจะมาขายตัว แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน ที่ทำเพราะต้องการสบาย อยากได้เงิน ไม่อยากทำงานหนัก ขี้เกียจทำไร่ทำนา อยากเห็นแสงสี" เอ้ย พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
การทลายสถานเริงรมย์อันเป็นตำนานของเมืองกาญจนบุรี ได้ข้อเท็จจริงอันชวนสลดใจ เมื่อเด็กสาวต่างด้าวที่เข้ามาค้าประเวณี ต่างก็หลงใหลในความฟุ้งเฟ้อ แทบไม่ต่างจากเด็กสาวในประเทศที่เจริญแล้วทั้งสิ้น
แล้วกระแสค่านิยมบูชาวัตถุของบรรดาวัยรุ่นในประเทศที่เจริญแต่เปลือกนอก ก็ถาโถมไปสู่เด็กสาวประเทศเพื่อนบ้าน จนต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอน ลักลอบเข้าเมืองมาแสวงหาหนทางแห่งบาป ด้วยการใช้เนื้อหนังมังสาแลกมาซึ่งเงินตรา เพียงเหตุผลเดียว "พวกหนูอยากสบาย มีเงินใช้"
สามวันก่อนหน้านี้ "คม ชัด ลึก" ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านคนหนึ่งว่า มีเด็กสาวต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองมาลักลอบค้าประเวณีในโรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองกาญจนบุรี สถานที่ที่เด็กผู้ชายหลายคนในจังหวัด ใช้ก้าวผ่านจากความเป็นเด็กชายสู่ชายเต็มวัย ที่เรียกขานทับศัพท์สแลงจนติดหูว่า "ขึ้นครู"
หลังจากได้รับการร้องเรียนจึงประสานไปยัง พล.ต.ท.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) จัดกำลังไปตรวจสอบ ได้แก่ พ.ต.อ.บัณฑิต ตุงคะเศรณี ผกก.1 ศสส.สตม. พ.ต.ท.คมสิทธิ์ รังไสย์ รองผกก.1 ศสส.สตม. พ.ต.ต.อนุภัทร ทวีพันธุ์สานต์ สว.กก.1 ศสส.สตม.พร้อมชุดสืบสวนกว่า 10 นาย
อีก 10 นาที จะ 3 ทุ่ม คืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ชุดสืบสวน สตม.เดินทางถึง จ.กาญจนบุรี พร้อมกับหมายค้นจากศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ มค.71/2550 ตรวจค้น รร.ธารทิพย์กาญจน์ ถนนอู่ทอง ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี แผนการที่วางเอาไว้อย่างรัดกุมถูกนำมาปฏิบัติ ณ วินาทีนั้น
นักสืบหนุ่มค่อนไปทางเจ้าสำอางและนักเลงผู้หญิงปลอมตัวเป็นนักเที่ยวตรงเข้าไปยังโรงแรมเป้าหมาย อาจเป็นเพราะอาชีพที่ผิดกฎหมาย จึงจำเป็นต้องปกปิดซ่อนเร้น ทางเข้าสถานเริงรมย์แห่งนี้จึงลึกลับและค่อนข้างซับซ้อนมากเป็นพิเศษ เมื่อเข้าไปในโรงแรมผ่านเคาน์เตอร์รับลูกค้า เลยตรงไปจะเป็นโรงแรม 2 ชั้นครึ่ง ซ้ายมือเป็นร้านอาหารตามสั่ง เขาได้รับคำแนะนำให้เดินออกไปหลังร้านอาหารแห่งนั้น
ทางเดินแคบๆ แค่พอเดินสวนกันได้นำไปสู่บันไดทางลง 4 ขั้น เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ต้องพบกับภาพอันตื่นตะลึง ตู้กระจกใหญ่ภายในมีเด็กสาวๆ นั่งหน้าสลอนอยู่เต็มไปหมด แทบไม่น่าเชื่อว่าภายในโรงแรมเกรดบีนี้จะมีอาบ อบ นวด อันตระการตาซ่อนตัวอยู่ หลังจากตกลงกันเสร็จสรรพ นักสืบหนุ่มในคราบนักเที่ยวก็ถูกพาย้อนกลับไปทางเดิม ตรงไปยังโรงแรม 2 ชั้นครึ่งที่ทอดตัวอยู่ภายใน
บริเวณชั้นล่างก่อนขึ้นโรงแรมมีที่วางรองเท้าที่เต็มไปด้วยรองเท้าผู้หญิงวางอยู่ระเกะระกะไปหมด นักสืบหนุ่มกะด้วยสายตาคร่าวๆ คงจะมีมากกว่า 100 คู่เป็นแน่ เมื่อเข้าไปในห้องและเห็นว่าการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายค้าประเวณีนักสืบหนุ่มจึงส่งสัญญาณทางโทรศัพท์ให้ชุดสืบสวนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกเข้าจับกุม
หญิงสาวที่ยังไม่ได้ถูกเลือกในตู้กระจกถูกควบคุมตัวให้อยู่ภายในนั้น ก่อนที่ชุดสืบสวนอีกชุดจะตรงเข้าตรวจค้นห้องพักบนโรงแรมพบหนุ่มกระทงไปจนถึงคนทำงานมาใช้บริการอยู่ไม่น้อย จึงแสดงตัวและนำทั้งหมดออกมารวมกัน มีทั้งสิ้น 24 คน เป็นหญิงชาวลาว 15 คน และพม่า 9 คน
เมื่อแสงไฟจากหลอดนีออนส่องสว่างมากยิ่งขึ้น ทำให้ชุดสืบสวนตระหนักว่า หญิงสาวเหล่านี้แม้จะเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่ก็ล้วนมีหน้าตาสะสวย ผิวขาวเนียนผุดผ่อง ดูสะอาดสะอ้าน อายุ 17-21 ปี บางคนถือหนังสือเดินทางถูกต้อง ขณะที่บางคนหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย พวกเขาจึงไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดที่นี่จึงได้รับความนิยมในหมู่ชายทั้งหนุ่มน้อยและหนุ่มมาก
หลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนความเชื่อนี้ก็คือ บัญชีรายรับของธุรกิจขายความสาว เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่ 1 ทุ่มตรงจนถึงตี 3 เจ้าของธุรกิจมีรายได้มากถึง 90,900 บาท จากการให้บริการของเด็กสาว 51 คน ที่มีให้ชายแปลกหน้า และจากการสอบถามทราบว่า ก่อนหน้านี้หนึ่งวันพวกเธอยังทำเงินให้ได้ถึงเรือนแสน
วันละแสน ตกเดือนละ 3 ล้านบาท ปีละ 36 ล้านบาท นับเป็นรายได้ที่มากกว่ามาก !!!
เด็กสาวเหล่านี้มีค่าตัวแตกต่างกันไป ถูกสุดอยู่ที่ 800 บาทต่อครั้ง ส่วนเพดานสูงสุดอยู่ที่ 1,500 บาท แต่ถึงแม้ค่าตัวจะสูงขนาดไหน พวกเธอก็ยังได้ส่วนแบ่งเพียง 400 บาทต่อครั้งต่อคนเท่านั้น
ระหว่างการจับกุมชุดสืบสวน สตม.ได้รับโทรศัพท์หลายสาย ส่วนใหญ่เป็นรายการ "คุณขอมา" บ้างขอไม่ให้ดำเนินคดีต่อเจ้าของโรงแรม บ้างขอให้อะลุ้มอล่วยในข้อหาค้าประเวณี แต่กฎหมายย่อมเป็นกฎหมาย ชุดสืบสวนยืนยันที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์พึงกระทำ
ดังนั้น นอกจากเด็กสาวต่างด้าว 24 คน ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองและค้าประเวณีแล้ว นายสมบูรณ์ ธนน้ำ อายุ 60 ปี เจ้าของ รร.ธารทิพย์กาญจน์ และ น.ส.รัชนี กรองแก้ว อายุ 36 ปี ยังถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันเป็นธุระจัดหาให้มีการค้าประเวณีด้วย
"เห็นว่าเงินดี งานไม่หนัก" ฝ้าย สาวไทยใหญ่วัย 20 ปี ที่เพิ่งมาอยู่ได้เพียง 3 วัน บอกกับ "คม ชัด ลึก" ตอนอยู่ที่บ้านเกิดฝ้ายมีอาชีพทำสวน ซึ่งเป็นงานค่อนข้างหนักสำหรับเธอ เมื่อเพื่อนคนที่เคยทำงานนี้กลับไปเยี่ยมบ้าน จึงชักชวนฝ้ายมาทำงานด้วย
เช่นเดียวกับ "เอ้ย" สาวไทยใหญ่วัย 20 ปี ที่ได้รับการชักชวนจากเพื่อนอีกคน ลักลอบเข้ามาทางแม่สายเมื่อ 15 วันก่อน เมื่อถึงด่านพรมแดนมีรถตู้มารับ ในรถมีเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่หลายคน ระหว่างทางจากเชียงรายมุ่งหน้าเข้า กทม.จะทยอยแวะส่งเด็กสาวลงตามจังหวัดต่างๆ แต่เอ้ยก็บอกไม่ถูกว่าที่นั่นเรียกว่าจังหวัดอะไร และกว่าจะถึง กทม.มีการเปลี่ยนรถโดยสารหลายคัน
"รู้นะว่าจะมาขายตัว แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน ที่ทำเพราะต้องการสบาย อยากได้เงิน ไม่อยากทำงานหนัก ขี้เกียจทำไร่ทำนา อยากเห็นแสงสี" เอ้ย พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
เด็กสาวแต่ละคนเมื่อมาถึงโรงแรมแห่งนี้ จะต้องทำงานชดใช้หนี้ค่ารถคนละ 1 หมื่นบาท พักรวมกันบนโรงแรม ที่เป็นทั้งห้องนอนและห้องทำงานไปในคราวเดียวกัน ห้องหนึ่งอยู่รวมกัน 3 คน ส่วนเรื่องอาหารการกินต้องดูแลจัดหากันเอาเอง
ส่วน "ขันทอง" แล้ว เธอมาไกลจากเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อ 5 เดือนก่อน พร้อมกับเพื่อนอีกคน หญิงสาววัย 21 ปี ได้รับการชักชวนจากเพื่อนให้มาทำงานอาบ อบ นวด ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ ขันทองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาชีพนี้เขาทำกันอย่างไร จึงเพียรถามเพื่อนจนรู้ความจริง
"เพื่อนอธิบายว่าก็แค่อาบน้ำให้แขก ขัดเนื้อถูตัวให้สะอาด เอาใจแขกดีๆ แล้วก็..." ขันทองพูดคำหนึ่งออกมาตรงๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ หญิงสาวจากเวียงจันทน์มีรายได้ตกเดือนละ 2 หมื่นบาท 3 เดือนจะกลับบ้านสักครั้งเอาเงินไปให้แม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ชวนสังเวชใจก็คือ เงินรายได้ส่วนใหญ่ของเด็กสาวเหล่านี้จะหมดไปกับการใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ มาอวดประชันโฉมกัน ยอมดัดฟันด้วยเงินผ่อน และเที่ยวเตร่เหมือนวัยรุ่นในประเทศที่ได้ชื่อว่าศิวิไลซ์
ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก