วันเวลาผ่านเข้ามาก็หลายปีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ปัญหาทุกองค์กรต่างแห่กันเข้ามาช่วยกันพร้อมกับงบประมาณก้อนใหญ่ที่รัฐบาลทุ่มเทลงมาให้เบื้องล่าง แต่ทุกวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เปลี่ยนแปลงการก่อเหตุความรุนแรงในรูปแบบต่างๆยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกวัน สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดนั่นก็คือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง เด็กเหล่านี้เป็นเสมือนระเบิดเวลาที่คอยวันที่จะระเบิดทั้งความคิดความรู้สึกของตัวเองจากการที่ตัวเองเคยโดนกระทำมาก่อน อย่างเช่นในกรณีหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส ผมมีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับครอบครัวของผู้ประสบเหตุ เธอเล่าว่า วันที่เกิดเหตุครอบครัวของเธออยู่พร้อมหน้ากันที่บ้านหลังจากที่กินข้าวเสร็จประมาณสามทุ่มพวกเราในครอบครัวกำลังดูละคร ซึ่งสักพักก็ได้ยินเสียงฮอลดังขึ้นก็ไม้ได้สงศัยอะไรคิดว่าเป็นการบินดูพื้นที่ของเจ้าหน้าที่เหมือนทุกวัน และหลังจากนั้นสักพักใหญ่ก็มีคนมาเรียกสามีของตนที่หน้าบ้าน3ครั้งสามีเธอจึงเดินออกไปเปิดประตูภาพที่ปรากฏออกมาคือชายในชุดดำพร้อมอาวุธปืนในมือต่างวิ่งกรูกันเข้ามาในบ้านของเธอและเข้าไปทำร้ายร่างกายของสามีเธอสามีเธอล้มลงและคนอีกกลุ่มก็เข้ามาใช้ผ้าปิดตาเธอไว้แต่ไม่ได้ปิดตาลูกๆของเธออีกสองคนที่ร้องหาพ่อที่กำลังโดนทำร้าย เวลาผ่านไปประมาณ5นาทีกลุ่มชายชุดดำก็วิ่งออกไปทางหลังบ้านพร้อมกับลากสามีเธอไปด้วย เธอมาพบสามีเธออีกทีในสภาพที่เป็นศพแล้วโดยสภาพศพโดนทุบตีจนน่วมและนิ้วมือถูกตัดเกือบหมดคล้ายว่าเป็นการคาดคั้นเอาอะไรจากสามีเธอสักอย่าง และอีกอย่างคือศพมีสภาพที่คล้ายกับการตกจากที่สูง หลังเหตุการณ์วันนั้นหลายๆคนคิดว่าเป็นฝีมือของทหารข่าวลือของชาวบ้านมาถึงหูของเด็กน้อยอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนการเพิ่มแรงอาฆาตให้กับเด็กที่วันนี้ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรที่รุนแรงได้แต่จะรอเวลาที่ตัวเองพร้อมและถึงเวลาระเบิดความแค้นที่เก็บฝังใจอยู่ ทุกวันนี้เด็กคนนี้เปลี่ยนจากเด็กที่ขี้อายกลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าวเกเร ผมคิดว่าการแก้ปัญหาในพื้นที่3 จังหวัดชายแดนใต้นั้นต้องมาให้ความสำคัญกับเด็กๆกลุ่มดังกล่าวให้มากเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กกลุ่มต้องกลายเป็นระเบิดเวลา หรือกลายเป็นเมล็ดพันธ์แห่งความรุนแรงได้ในภาคหน้า