อาจารย์ค่ะ ดิฉันฝันว่าถ้าเรามีมาตรฐานวิชาชีพแล้วเราจะรวมกันได้โดยไม่แบ่งว่าเป็นรังสีการแพทย์หรือรังสีเทคนิค เพราะเรามีหลักการปฏิบัติงานภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
สิ่งที่ควรจะเกิดตามมาคือเราทุกคนรู้หน้าที่......และรู้ที่หน้าว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้รังสีของพวกเรา
การสอบใบประกอบวิชาชีพแต่ละครั้งเราน่าจะประเมินได้ว่าข้อบกพร่อง หรือปัญหาอยู่ที่ใหน
ถ้าอยู่ที่ผู้เข้าสอบ....วิชาการน้อยก็ควรจะได้รับการพัฒนา สมาคมต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพราะเราไม่สามารถประเมินตนเองจากข้อสอบที่เราสอบไป
การสอบเหมือนเราสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีมีทั้งเก่ง และเฮ็งรวมกัน แต่ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังต้องมีการทบทวน ปรับปรุงทุกปี
ทำอย่างไรให้ทุกคนสอบผ่านและเป็นการสอบที่ได้มารตฐานเหมือนกันจะได้เป็นความภาคภูมิใจและสิ่งที่ทุกคนปราถนาคือได้รับความไว้วางใจให้แพทย์วินิจฉัยโรคและรักษาโรคได้และการันตรีด้วยใบประกอบวิชาชีพ
และผู้ที่ปฏิบัติงานแต่ละคนยืนอยู่บนตำแหน่งของตนเองมิได้เบียดบังใครและไม่ได้ข้ามใครขึ้นมา
หลายวิชาชีพถามพวกเราเสมอว่าเรายังทะเลาะกันอยู่หรือแย่งตำแหน่งกันหรือ
การสอบครั้งต่อไปอย่างไรเสียก็ต้องมีคนมาสมัครสอบแน่นอน ดิฉันขอความกรุณาคณะกรรมการออกข้อสอบช่วยพิจารณาเรื่องข้อสอบที่ท่านว่าได้มาตรฐาน
ในความเป็นจริงผู้ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลทั่วไป รพ.ศูนย์ รพ.ชุมชน เขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติงานด้านรังสีรักษา หรือเวชศาสตร์นิวเคลียร์เลยด้วยซ้ำ บางคนแม้แต่ CT หน้าตาเป็นอย่างไรไม่เคยเห็นในชีวิต ต้องมาขวนขาย หาเอกสารมาอ่าน แต่ก็ไม่ตรงใจกับผู้ที่ค่ำวอร์ด อยู่กับเอกสารวิชาการเหมือนผู้ที่อยู่ รพ.มหาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ สิ่งที่จะวัดว่าเขามีความรู้หรือไม่ไม่ได้วัดกันที่การสอบแต่แพทย์ผู้ปฏิบัติงานด้วย(รังสีแพทย์หรือแพทย์ทั่วไป)ถ้าจะเข้า CASE กับคนที่จบใหม่ๆเขาไม่เอาเขาจะเรียกหาคนที่ปฏิบัติงานกับเขามาเก่าแก่ที่ยังสอบใบประกอบวิชาชีพไม่ผ่านนะค่ะ(นี่มันบอกอะไร)
ประสบการณ์ เป็นสิ่งวิเศษมากเพราะเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ที่เรียกว่า Tacit knowledge ดิฉันว่าถ้าการสอบให้ทุกคนเล่าประสบการณ์การทำงานต่างๆที่ประสบความสำเร็จ ที่เรียกว่าสิ่งๆดีๆ ดิฉันว่าพวกเขาผ่านแต่ในมุ้งแล้วละค่ะ
ความรู้(ท่านอาจารย์ วิจารณ์ พานิช) ท่านบอกว่าคือสิ่งที่เมือนำไปใช้จะไม่หมดหรือสึกหรอแต่ยิ่งจะงอกงามและเกิดเป็นทุนทางปัญญาที่ใช้สร้างคุณค่าและมูลค่าด้วย
แบ่งระดับความรู้ออกเป็น
1 ความรู้เชิงทฤษฎีล้านๆ เป็นความรู้ของผู้ที่จบปริญญาตรีใหม่ๆ เมื่อนำความรู้ไปใช้จะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
2 ความรู้เชิงทฤษฎีและเชิงบริบท เป็นความรู้ของผู้ที่จบปริญญาตรีแล้วไปทำงานแล้วในระยะหนึ่ง
3 ความรู้ระดับที่สามารถอธิบายเหตุผลได้ ว่าสามารถนำไปใช้ได้กับบริบทหนึ่งแต่ไม่สามารถนำไปใช้กับอีกบริบทหนึ่งได้
4 ความรู้ที่สร้างคุณค่า สร้างความเชื่อถือ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจที่ต้องให้กระทำสิ่งนั้นๆขณะที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นั้นๆ
ถ้าถามแพทย์ที่กำลังช่วยคนไข้เขาต้องการรังสีคนใหนช่วยงานเขาขณะนั้น
เห็นด้วยกับความเห็นคุณขนิษฐา
ถ้าจะแก้คงต้องแก้ทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง
ถ้าบริบทเปลี่ยนไปในทางที่เป็น hi-tech แต่วิชาชีพอยู่กับที่ หรือการที่เราไม่มี basic knowledge เป็นของตนเองเป็นการยากที่จะพัฒนา
ลองกลับไปค้นหาดูงานวิจัยในวิชาชีแล้วจะทราบถึงพัฒนาการดี
ถ้าจะให้ใครเล่าว่าสมาคมฯมีวิวัฒนาการอย่างไรจากอดีตถึงปัจจุบันจะมีกี่คนที่เล่าได้บ้าง หรือไม่มีเลย ถึงแม้จะฟังดูไม่เป็นสาระ แต่สะท้อนให้เห็นว่า เราไม่ค่อยสนใจพัฒนาวิชาชีพ ถ้ารอบบ้านเต็มไปด้วยสังคมยาเสพติด บ้านเราหลังเดียวคงยากที่สมาชิกในครอบครัวจะรอด
พลาเดช
ถึงคุณ RT failed โดยเฉพาะครับ
จริงๆผมคิดว่าผมเข้าใจconcept ของคุณนะครับ
แต่วิธีการสอบก็คือวิธีการสอบ
เนื้อหาและขอบเขตที่ใช้สอบผมว่าน่าจะ OK
แต่กระบวนการและวิธีการที่จะให้คนสอบแล้วผ่านตรงนี้ผมว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนสอบแล้วไม่ผ่านเยอะ เป็นที่น่าตกใจว่าแทนที่ส่วนใหญ่จะสอบได้แต่ส่วนใหญ่กลับสอบไม่ผ่าน
ดังนั้นมันต้องแก้ที่สาเหตุครับ ซึ่งผมดูแล้วค่อนข้างยากในระดับมากที่เดียว
ปัญหาคือถ้าไม่รู้ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน แล้วจะแก้ยังไง คิดแค่นี้ก็จุกแล้วครับ
ยังไงก็ตามผมว่าถ้าคุณ RT failed ยังอยู่ในอารมณ์แบบนี้นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้วยังจะทำให้การทำงานในอาชีพไม่สนุกด้วย สุดท้ายก็จะ quit ออกจากอาชีพไป
ถ้ายังอยากทำงานอยู่ในอาชีพรังสีอย่างเป็นสุขสนุกสนาน โทร.มานัดผมเข้ามาคุยกัน ที่ทำงานผมมีตัวอย่างทางด้านรังสีให้ดู คุยและดูตัวอย่างแล้วจะสบายใจขึ้นครับจะกลับไปทำงานอย่างเป็นสุขครับ
หรือจะเมล์มานัดก่อนก็ได้ถ้าไม่อยาก โทร.
พลาเดช
0-2564-7200 ext.5370
ตามความเข้าใจของคนแก่ตกรุ่นนะครับ ใบประกอบฯมิใช่มาตรฐานวิชาชีพ แต่เป็นใบรับรองขั้นต่ำเท่านั้น วิชาชีพรังสีเทคนิคเป็นวิชาชีพที่ต้องมีมาตรฐานการทำงานสูงมากในยุคปัจจุบัน เพราะมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งฟิสิกส์(ระดับพลังงานของรังสีแตกต่างกันจะต้องมีความเข้าใจในหลักการของฟิสิกส์ที่แตกต่างกันออกไป คณิตศาสตร์ เนื่องจากมีการใชเคอมพิวเตอร์ในการสร้างภาพรังสีมากมาย ดังนั้นนักรังสีควรจะมีความรู้พื้นฐาน,ขั้นสูงของการสร้างภาพมิใช่เป็นเพียงแต่ผู้ใช้เครื่องมือ และการควบคุมคุณภาพมิใช่หน้าที่ของช่างเท่านั้น นักรังสีต้องมีส่วนในการควบคุมคุณภาพเพื่อให้ได้มาตรฐาน นอกจากนั้นยังมีเรื่องเทคนิคต่างๆมากมาย เช่นการประมวลภาพ(Film processing) ซึ่งนักรังสีจะต้องสามารถรักษาและควบคุมมาตรฐานของเครื่องมือได้ ปริมาณรังสีที่ใช้ นักรังสีจะต้องสนใจรับผิดชอบต่อปริมาณรังสีที่ให้กับผู้ป่วย มาตรฐานของเครื่องมือที่ใช้
ถ้าจะให้อาชีพรังสีเทคนิคมีคุณค่ามากขึ้นสมาคมฯควรจะมีการกำหนดมาตรฐานในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่นปริมาณรังสีที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคด้วยเทคนิคแต่ละชนิด จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าพบว่านักรังสีไม่ค่อยคำนึงถึงปริมาณรังสีที่ใช้ในการวินิจฉัยโรค(จากการวิจัยของนักศึกษาพบว่า ในร.พ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับการถ่ายเอกซ์เรย์ทรวงอกได้รับค่าผลคูณของปริมาณรังสีกับพื้นที่(DAP:Dose area product) สูงมากกว่ามาตรฐานสากลมาก เครื่องมือที่ใช้แม้ว่าจะถือเอามาตรฐานของกรมวิทย์เป็นเกณฑ์ แต่กรมวิทย์ก็มีข้อสงสัยว่าเพื่อตรวจสอบแล้วเครื่องมือไม่ได้มาตรฐานเช่น เควี, เอ็มเอ, แล้วจะอรุญาติให้ใช้เครื่องได้หรือไม่ และอาจจะมีปัญหามากกว่านี้ที่กรมวิทย์มิได้ตรวจสอบ เช่นรังสีกระเจิงนอกพื้นที่รับรังสี,ความสม่ำเสมอของรังสี และถ้าใครเคยอ่านหนังสือเกณฑ์มาตรฐานเครื่องมือของกรมวิทย์ เรื่องความหนาของแผ่นกรองรังสี ซึ่งมีแต่ขีดจำกัดล่าง หมายความว่าเมื่อใช้เควี ขนาดนี้จะต้องมีแผ่นกรองที่มีความหนาอย่างต่ำ เท่ากับ...HVLของAl ท่านจะสงสัยมั้ยว่าทำไมไม่มีขีดจำกัดบน เพราะถ้าใส่แผ่นกรองหนากินไปจะมีผลต่อคุณภาพรังสีหรือไม่ นอกจากนี้กรมวิทย์ก็ไม่ได้ตรวจสอบเครื่องมือทุกชนิด เช่นเครื่องล้างฟิล์ม รวมถึงมาตรฐานของเคมีภันฑ์ที่ใช้ ความปลอดภัยต่อประชาชนและบุคลากรรังสี ร.พ หลายแห่งมิได้มีการวัดปริมาณรังสีในบริเวณที่ประชาชนทั่วไปนั่งรอ รวมถึงปริมาณสารเคมีที่แพร่มาจากห้องล้างฟิล์มที่มีผลทั้งต่อบุคลากรและประชาชน ซึ่งเรื่องเหล่านี้สมาคมควรจะมีการระดมสมองกำหนดมาตรฐานของทุกเรื่องในวิชาชีพรังสีเทคนิค
ประการสุดท้ายที่คนแก่คนนี้อยากจะฝากถึงก็คือการใช้ภาษาไทยในวงการรังสีเทคนิค หลายๆคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่ภาษาคือสื่อที่ทำให้เข้าใจเหมือนกัน ประเทศไทยต้องใช้ภาษาไทย การใช้ภาษาในภาษาราชการนั้นจะต้องปฏิบัติตามราชบัณฑิตฯ แต่ในราชบัณฑิตนั้นยังไม่มีศีพท์รังสีเทคนิค ดังนั้นพวกเราจึงใช้กันตามใจ ไม่ว่าจะเป็นภาษาในวารสารหรือเอกสารประกอบการสอนก็มักจะแตกต่างกันออกไปตามความพอใจ และบางครั้งก็ควรปรับปรุงเช่น ศัพท์คำว่า Optical density ก็มักจะใช้คำไทยว่าความดำของฟิล์ม ทั้งๆที่ราชบัณฑิตกำหนดให้ใช้ ค่าความทึบแสง Intensifying screen ก็มักจะใช้คำว่าสกรีน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นที่เข้าใจของพวกเราชาวรังสีเทคนิค แต่อาจจะเป็นปัญหาของคนนอกวงการของเรา และไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ถ้าสมาคมรังสีฯจัดทำมาตรฐานวิชาชีพรังสีเทคนิคของประเทศไทยขึ้นมาก็จะไม่มีปัญหาเรื่อง HA เฮ็ดเอง(ชอบใจจริงๆ เพราะทุกแห่งก็เป็นอย่างนี้ เขียนอย่างที่ทำ ทำอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ยางทีก็ไม่ทำตามที่เขียน เช่นการกำจัดกากรังสี มีหลายโรงพยาบาลที่อาจจะได้ไอ้เซ่อร์หมื่นสี่เพราะเขียนเอกสารดี แต่เวลาทำไม่ได้ทำตามนั้น ระวังตอนนี้มีใบประกอบฯ แล้ว อันตรายจากรังสีจะเป็นเรื่องที่พวกเราถูกฟ้องมากที่สุด