ดีครับที่ได้อ่นบทความของพี่เม้ง
ว่าแต่เมื่อไหร่จะกลับมาหละครับ
เป็นความรู้ที่ได้อ่านแล้วดีมากๆๆคะ สามารถอ่านแล้วทำให้คิดไปได้ด้วย ยังไงก็นำความรู้ดีๆอย่างนี้มาเล่าสู่กันฟังใหม่นะคะ
น้องสายลมแสงแดดครับ คงไม่นานเกินรอครับ คงได้เจอกันครับ เพราะมาเสียนาน รอกันจนลืมกันไปแล้วเลยนะครับ
ขอบคุณมากครับ คุณ Valentine ไว้จะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกครับ เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.thaistudents.de/thaisac/ คลิก บอกเล่าเรื่องราวนะครับ
ผมมีคำถามครับครูเม้ง...เค้ง
ที่ว่าพุทธศาสนานั้นมีกระบวนการคิดแบบปัญญาสู่ความรู้นั้น
พอดีผมมีหนังสือ "วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม" ของพระธรรมปิฎก(ประยุทธ์ ปยุตโต) อยู่ใกล้มือ เลยหยิบมาพลิกดูก็เจอหน้า 11 หัวข้อ ข)กระบวนการของการศึกษา ผมขอสรุปเพื่อให้พอกับเนื้อที่ และเพื่อไม่ให้ยาวเกินไปนะครับ...
กระบวนการของการศึกษา(ในพุทธศาสนา)นั้นแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ เรียกว่า ไตรสิกขา(หลักการศึกษา 3 ประการ) คือ
คำถามของผมก็คือ เมื่อบทความข้างต้น(ของพี่)บอกว่าพุทธศาสนานั้นมีกระบวนความคิดจากปัญญาสู่ความรู้นั้น และเมื่ออ้างจากกระบวนการเกิดปัญญาที่ผมยกมานั้น กว่าที่เราจะเกิดปัญญาจริงๆ นั้นยากแสนยาก เพราะต้องฝ่าด่านอรหันต์สองด่านคือ ศึล และ สมาธิเสียก่อน ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่ายาก ก็ไม่แน่ว่าชาตินี้จะทำกันได้ทุกคนหรือเปล่า แล้วถ้าเรายังไม่เกิดปัญญา หรือกำลังอยู่ในกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญญานั้น เมื่อไหร่กันล่ะครับที่เราจะได้มีความรู้ (เพราะต้องรอให้เกิดปัญญาก่อน) และได้เอาความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม?
สวัสดีครับ น้องธรรมาวุธ
พอดีเอาคำตอบของท่าน นพ.ประเวศ วะสี มากระจายให้อ่านกันนะครับ พี่ตอบได้แต่กระบวนทางปัญญาที่เกิดจากทางวิทยาศาสตร์ครับ ส่วนกระบวนการทางในพุทธศาสนา ยังไม่ได้ฝึกปฏิบัติเลยครับ
ศึกษาเข้านะครับ เผื่อจะได้ถ่ายทอดแล้วเอามาผสมกันในทางวิทย์ตามที่ ท่าน นพ.ประเวศ กล่าวไว้
....ไตรสิกขา..๑.ถ้ามองว่าเป็นลำดับขั้นตอนของการเรียนรู้..ศีล..การเตรียมความพร้อมที่จะศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆด้วยการทำความสะอาดจิตใจ สร้างความเข้มแข็งให้ร่างกาย จิตใจ ขจัดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ก็ได้..สมาธิ..การมุ่งมั่นในการสังเกตพิจารณาปรากฏการณ์ให้เข้าใจ ด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่วอกแวกแต่เป็นไปด้วยความสงบสันติมีความแยบคายที่จะตามติดพิจารณาด้วยเหตุผลโดยมีหลักของทางสายกลาง มีความเข้าใจในสภาวะของตนและทุกสิ่งว่ามีความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนจริงๆ..ไม่ยึดมั่นถือมั่น..ปัญญา..คือผลจากการพิจารณาปรากฏการณ์ที่จะสามารถนำไปประยุกต์เทียบเคียงกับเรื่องอื่น..เกิดดวงตาเห็นธรรม..ทั้งสามสิ่งเป็นสิ่งที่เกื้อกูลกัน..เป็นวัฏจักรของสติ..รับรู้เรียนรู้..ถือเป็นเคล็ดวิธีของการสร้างองค์ความรู้..ใช่อย่างนี้หรือเปล่าครับ..
กราบขอบพระคุณคุณลุงมากครับ
แวะมาบอกว่า...ปลายเดือนสิงหาคม พี่หนิงก็ได้รับโอกาสที่ดี เรียนรู้จากท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี มาอ่ะค่ะ บันทึกครบรอบ 1 ปี กับ G2K และ เรื่องดีดีที่ต้องขยายค่ะ นะคะ
สวัสดีครับพี่หนิง