ผมมองว่านี่ เป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญ เป็นทุนที่ทำให้กลุ่มน้อง นศ.ชนเผ่า ได้เรียนรู้ต่อสู้ร่วมกัน เพื่อความสันติและเท่าเทียม
เด็กชายตัวเล็กๆดูมอมแมม วิ่งซน ท่าทางเด็ดเดี่ยวไม่กลัวใคร เป็นภาพที่ผมเห็น “อะตาผะ” ครั้งแรกที่บนดอยสูงแห่งหนึ่งในอำเภอปางมะผ้า แม่ฮ่องสอน
พ่อของอะตาผะ กับเด็กลีซูในหมู่บ้านของเขาบนดอยสูงแม่ฮ่องสอน
ภาพนี้ถ่ายโดย :น้องไต๋ Painaima.com
อะตาผะเป็นชาวไทยภูเขาเผ่าลีซู เป็นเด็กอายุ๗ ขวบ ตัวเล็กๆผอมๆ ที่ยังซนตามประสาเด็ก แต่เด็กคนนี้แตกต่างจากเด็กบนดอยทั่วไปที่เคยเห็น เขากล้า และดูท่าทางฉลาด เมื่อได้หยอกเย้าพูดคุยก็รับรู้ถึงความน่ารักที่บริสุทธิ์ของวัยเด็กของเขา
ผมคุยพ่อของอะตาผะ เขาบอกผมว่า อะตาผะถูกส่งลงไปเรียนโรงเรียนสงเคราะห์ตั้งแต่ชั้น ป.๑ แล้ว ตอนนี้ ป.๓ แต่ที่กลับมาเยี่ยมบ้านบนดอยครั้งนี้ พ่อเด็กบอกว่าอะตาผะไม่สบาย
ผมสังเกตเด็กชายตัวเล็ก ผอมเห็นแต่ซี่โครง ผิวหนังเป็นตุ่มๆ จ้ำๆ ก็พอเดาเอาว่าที่โรงเรียนกินนอนฟรี (สงเคราะห์) ไม่ค่อยให้ความสนใจเด็กเท่าไหร่ นอกจากเป็นหิดที่เห็นแล้ว ยังดูเหมือนขาดอาหาร ถามเรื่องการเรียนก็ปรากฏว่า ยังอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ทั้งที่อยู่ ป.๓ แล้ว ...
ผมสงสารอะตาผะจับใจ เมื่อเขาเล่าถึงบรรยากาศการกินการอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า “โรงเรียน” ผมเข้าใจว่าอะไรที่ฟรี คุณภาพก็คงต้องตามมีตามเกิด ผลลัพธ์ก็อยู่ตรงหน้าผม ขืนอะตาผะลงไปเรียนต่อไป มีแต่แย่ นอกจากจะเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว เขาคงต้องขาดสารอาหาร...ผมตัดสินใจ คุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเขา เรื่อง เอาอะตาผะไปเรียนที่บ้านของผม และอยู่กับครอบครัวผม เสมือนสมาชิกหนึ่งในครอบครัว .....
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๔๑
ในใจผมตอนนั้น ผมคิดเพียงอย่างเดียวว่า ผมอยากให้โอกาสเด็กชาวเขาที่ด้อยโอกาสสักคน เพื่อวันหนึ่งเขาจะกลับมาพัฒนาบ้านบนดอยของเขา และในตอนนั้นเขาจะเป็นความหวังของคนบนดอย ...คงอีกไม่นานเขาจะกลับมา
อะตาผะถูกส่งเข้าโรงเรียนใกล้บ้านผม เมื่อไปเรียนครั้งแรกเขาอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ และพูดภาษาไทยสำเนียงตลกๆพูดไม่ชัดจนเพื่อนล้อ แต่ด้วยความน่ารักของเด็กชายชาวดอยคนนี้ เขาอารมณ์ดี จนชนะใจเพื่อนๆและครู ทั้งหมดจึงเคี่ยวเข็ญการเรียนอะตาผะอย่างหนัก กลับมาถึงบ้านคุณพ่อผมก็สอนการบ้าน ทุกวันเป็นกิจวัตร ผลการเรียนอะตาผะค่อยๆดีขึ้น จนในที่สุดเขาการเรียนก็กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ จนเรียนร่วมชั้นเพื่อนได้อย่างไม่มีปัญหา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังจากจบที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน เขาได้เรียนในโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอที่ผมร่ำเรียนมา อะตาผะตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็ง เขาเติบใหญ่ขึ้นมาก ดูเป็นหนุ่มตัวโตขึ้น หากนึกย้อนไปไม่กี่ปี เขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่น่าสงสารอยู่เลย
ผมมีส่วนในการวางแผนการเรียนของเขา ทุกช่วงชั้นเรียน โดยการดูความสนใจและความถนัดของอะตาผะเป็นหลัก ไม่ว่าจะตัดสินใจเรียนไปทางไหน มีครั้งหนึ่งที่ผมให้ความเห็นที่ไม่ตรงกับอะตาผะ เพราะเขาอยากตามเพื่อนไปเรียนวิชาชีพ ปวช. ปวส. ซึ่งผมคิดว่าอะตาผะน่าจะเดินทางสายปกติที่เรียนจบมัธยมและสอบเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เพราะเขามีภาระที่จะต้องไปช่วยคนบนดอยบ้านเขา เราคุยกันเป็นที่ตกลงและก็ตั้งใจเรียนจนจบชั้นมัธยมปลายที่อำเภอ
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตก็มาถึง ผมและเขาพร้อมกับพ่อของอะตาผะ นั่งคุยกันว่าระดับอุดมศึกษาน่าจะไปเรียนอะไร? ผมถามย้อนกลับว่า แล้วอะตาผะอยากไปเรียนอะไร และอยากเรียนที่ไหน (ผมตระหนักเสมอว่า อยากให้เป็นที่ๆเขารักและต้องการเรียน ไม่ว่าจะสาขาใด) ตามคุณสมบัติและความต้องการของเขาผมมีสาขาให้เขาเลือกเรียน ในมหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งหนึ่งในภาคเหนือ
อะตาผะ ได้สมัครเข้าเรียน “ชาติพันธุ์ศึกษาอนุภาคลุ่มน้ำโขง” ที่สถาบันชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผมเชื่อว่า สาขานี้จะสร้างบัณฑิตชนเผ่าที่เรียนรู้เรื่องของตนเอง เพื่อกลับไปทำงานพัฒนาบ้านของพวกเขา ด้วยความรู้ทางวิชาการที่สอดคล้องกับวิถีของเขา และอ่านจากหนังสือแนะนำชองทางสถาบันฯ มีทุนให้กับเด็กชนเผ่าเหล่านี้ด้วย ทั้งค่าเรียน ค่ากินอยู่ และที่สำคัญเป็น นศ.กลุ่มแรกที่เข้ามาเรียนในปีการศึกษา ๒๕๔๙ ประกอบด้วย น้องๆชนเผ่าหลากหลายเผ่า ประมาณ ๑๕ คน
ผมยังจำได้ดีวันที่ผมกับพ่ออะตาผะ ขับรถไปส่งเขาที่เชียงราย เขาแต่งชุดนักศึกษาครั้งแรก ผมรู้ตื้นตันใจมาก ในที่สุดเขาก็มีวันนี้ เขาคือความหวังของทุกคนที่อยู่บนดอยสูง ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นพ่อของเขาบอกว่าไม่ต้องห่วงเขาจะทำงานหนักเพื่อส่งลูกชายเขาให้ถึงฝั่งฝันให้ได้... เงินจากผลิตผลเกษตรที่พวกเขาเก็บหอมรอบริบเพียงพอที่จะส่งอะตาผะเรียนต่อเนื่องไปได้
ผมและเขา ติดต่อกันเสมอ ทางโทรศัพท์ เขามักจะเล่าเรื่องการเรียนให้ฟังอย่างสนุกสนานในเทอมแรก ผมยินดีและให้กำลังใจเขาเรื่อยมา
ช่วงหลังเขาโทรมาคุยบ่อยขึ้น เรื่อง ทุนที่ทางสถาบันที่ว่าจะมีให้ก็ไม่มีแล้ว ที่อยู่หอพักก็อยู่รวมกันอย่างแออัด อาหารการกินก็ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน ในกลุ่มเพื่อนๆทั้ง ๑๕ คน และผมทราบมาหลังสุดว่า ค่าเทอมที่แพงแสนแพงใกล้เคียงกับที่ผมเรียนปริญญาโท และอะตาผะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในปีการศึกษาหนึ่งที่ผ่านมาเขาได้เรียนไม่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก...
และวันที่ผมตกใจมาก...อะตะผะเขาโทรมาคุยเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นกับ นศ.ชนเผ่า
คลิ๊ก ข่าว (๑) นศ.ชนเผ่า มรภ.เชียงราย สุดทนยื่นหนังสือร้อง กสม. สอบ-แฉพฤติกรรมของ ผอ.สถาบันชาติพันธุ์หลอกมาเรียน
คลิ๊ก ข่าว (๒) ศิษย์เก่านศ.เชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ประณาม ผอ.สถาบันชาติพันธุ์ ราชภัฎเชียงราย
คลิ๊กข่าว (๓) มรภ.เชียงรายแจงรอสอบข้อเท็จจริงกรณี ผอ.สถาบันชาติพันธุ์ฯลวง นศ.มาเรียน
และวันนี้เขาอยู่ที่เชียงใหม่ เพื่อมาเรียกร้องสิทธิที่พวกเขาสูญเสียไป
ผมรู้สึกมึนๆ...และพูดไม่ออก สิ่งที่ผมคิดฝันไว้ และความฝันของพ่ออะตาผะ รวมทั้งตัวเขาเองที่กำลังปะติดปะต่อกำลังสิ้นหายมลายลงไป
เรื่องนี้ผมยังไม่คุยกับพ่อของอะตาผะเลย และเขาก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพ่อของเขาที่บนดอย เขาจะบอกเองเมื่อเรื่องราวคลี่คลายไปทางที่ดี
เขาบอกผมว่า “ผมกลัวพ่อจะเสียใจ”
ปลายเดือน มค. ๒๕๕๐ ที่เชียงใหม่
หนุ่มน้อยลีซู “อะตาผะ” หรือ “นายสรวิชญ์ เปรมวชิระนนท์” หนึ่งใน นศ.ชาติพันธุ์ จำนวน ๑๕ คนที่ยื่นเรียกร้องขอความเป็นธรรม ในเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
การตอกย้ำซ้ำเติม ที่พี่น้องชนเผ่า ที่ด้อยโอกาส ถูกทำให้เสียโอกาส ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่กรณีแบบนี้กลุ่มชนเผ่ายอมที่จะไม่ต่อสู้ และให้เรื่องมันเงียบหายไป
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมมองว่านี่ เป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญ เป็นทุนที่ทำให้กลุ่มน้อง นศ.ชนเผ่า ได้เรียนรู้ต่อสู้ร่วมกัน เพื่อความสันติและเท่าเทียม