ชีวิตของ ศิลปิน Vincent Van Gogh


อาจกล่าวได้ว่า Van Gogh ไม่ได้ใช้สีเขียนภาพ แต่ใช้เลือดจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเขียน

 

กลับมาเรื่องของ Van Gogh ต่อนะครับ

        เขาเป็นศิลปินที่นักวิจารณ์ศิลปะจัดให้อยู่ในกลุ่ม Post-Impressionist คือเป็นกลุ่มที่นิยมเขียนภาพด้วยการใช้สีสดใสรุนแรงและเริ่มถอยห่างจากความเหมือนจริงในธรรมชาติออกมา  

 

<div style="text-align: center"></div>

     

</span>                       Vincent Van Gogh Self Portrait  <p align="center">  ที่มา : www.biografiasyvidas.com/.../van_gogh_3.jpg</p> <p> </p><p style="margin: 0cm -25.7pt 0pt 0cm; text-indent: 27pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm -25.7pt 0pt 0cm; text-indent: 27pt" class="MsoNormal">คำว่า Impression หมายถึงประทับใจ </p> <p style="margin: 0cm -25.7pt 0pt 0cm; text-indent: 27pt" class="MsoNormal"></p>

      แต่ผมชอบแปลเพิ่มว่าเป็น ความประทับใจฉับพลัน

      เพราะเมื่อเวลาศิลปินกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ Van Gogh พบเห็นสิ่งใดที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการวาดภาพแล้ว เขาจะทุ่มเทเขียนมันอย่างฉับพลัน รวดเร็วและไม่ยอมหยุดพักจนกว่าภาพเขียนจะเสร็จ

     ศิลปินกลุ่มนี้จึงมือไว เขียนภาพไว ซึ่งวิธีการเขียนภาพไวของพวกเขานี้ สร้างลักษณะพิเศษเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะตัวได้หลายอย่าง เช่น 

    หนึ่ง ศิลปินกลุ่มนี้ เชื่อตามทฤษฏีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตัน ที่ว่าด้วยเรื่องสีในแสง คงจำกันได้ตอนเรียนชั้นมัธยมที่มีการทดลองเอาแท่งแก้วปริซึมไปขวางลำแสงอาทิตย์ แสงที่ผ่านแท่งแก้วจะสะท้อนสีออกมาถึง 7 สี ด้วยกันเป็นการพิสูจน์ว่าในอากาศที่เขามองไม่เห็นว่ามีสีอะไรเลย กลับมีสีซ่อนอยู่ถึง 7 สี ด้วยกัน 

    ศิลปินกลุ่มนี้จึงเชื่อว่า ในแสงพระอาทิตย์จึงเป็นบ่อเกิดของสีสันต่างๆ ยิ่งแสงจัดจ้ามาก สียิ่งรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น ศิลปินกลุ่มนี้จึงมักนิยมไปเขียนภาพในที่ที่มีแสงแดดจัดเสมอ 

    สอง เมื่อเชื่อเช่นนี้แล้ว ศิลปินมีความจำเป็นต้องเขียนภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อแสงเปลี่ยน สีจะเปลี่ยนตามไปด้วย ดังนั้นการเขียนภาพแบบฉับพลันจึงเกิดขึ้น ศิลปินจะไม่มีเวลามากที่จะเขียนภาพอย่างนุ่มนวล คอยใช้พู่กันเกลี่ยสีให้กลมกลืนกันเหมือนอย่างยุค Realistic ต่อไปอีกแล้ว 

    สาม เมื่อศิลปินต้องเขียนภาพไวเช่นนี้ ศิลปินจึงต้องเขียนภาพโดยใช้สีหนาเตอะ โป๊ะมันเข้าไป บางทีไม่ทันใจ ต้องเอาด้ามพู่กันช่วย หนักเข้าใช้เกรียงผสมสีมาเขียนภาพก็มี เมื่อเป็นเช่นนี้ผลลัพธ์ที่ได้จะเกิดเอกลักษณ์ขึ้นโดยธรรมชาติ คือฝีแปรงหรือทีพู่กัน ที่แสดงให้เห็นร่องรอยและทิศทางของการเขียนภาพของศิลปิน  

    ในบรรดารอยฝีแปรงของศิลปินกลุ่มนี้ รอยฝีแปรงของ Van Gogh นี่แหละที่หนักข้อรุนแรงที่สุด เพราะแค่มองรอยฝีแปรงในภาพของเขาแล้ว สามารถนำเราให้พุ่งเข้าสู่บึ้งลึกของหัวใจเขาได้เลยทีเดียว 

     ตอนนี้คงจำที่ผมบอกได้ว่า Van Gogh เป็นศิลปินที่มีอะไรๆขัดแย้งกันอยู่สองด้านเสมอ อาทิเช่น แม้ว่าเขาจะเขียนภาพด้วยสีสันสดใสอย่างไรก็ตาม จิตใจของเขามิได้สุขสดใสไปด้วย 

     ในใจของเขาที่ลากพู่กันให้วิ่งไปนั้น มันถูกลากให้ตวัด วนไปมาด้วยจิตใจที่ที่พุ่งพล่าน ด้วยความผิดหวังในชีวิต ด้วยความขมขื่น เจ็บปวด จากประสบการณ์อยุติธรรมในชีวิต 

     อาจกล่าวได้ว่า Van Gogh ไม่ได้ใช้สีเขียนภาพ แต่ใช้เลือดจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเขียน 

      หลายคนประณามว่าเขาเป็นบ้า! ใช่เขาบ้าหลายอย่าง บ้าเขียนรูป บ้าทำงาน บ้าหวังว่าสักวันสิ่งที่เขาทำจะประสบความสำเร็จ เพราะเขารู้ว่าการเขียนภาพเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะทำได้ 

     ทุกเช้าผู้คนทีเมือง อาร์เล ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆในฝรั่งเศสตอนใต้ ต้องเห็นเขาเดินเกือบเหมือนวิ่งหอบขาหยั่ง เฟรมผ้าใบสองสามเฟรมและกล่องใส่สี ดูรุงรังเหมือนไอ้บ้าหอบฟางเพื่อออกไปเขียนภาพทิวทัศน์ ก่อนที่แสงแดดยามเช้าจะหายไป 

     บางครั้งเขาแวะยืนดูต้นไม้อย่างหมกมุ่น พินิจ เนิ่นนาน อย่างพิศวงเพื่อดูว่ามันตั้งลำตัวตั้งตรงได้อย่างไร และรากของมันหยั่งลงดินลึกขนาดไหน เพราะเขาเคยเขียนจดหมายไปถามน้องชายที่รัก ธีโอ ว่า มันช่างน่าขันและน่าประหลาดใจที่สุด ที่เขาไม่สามารถเขียนต้นไม้ให้ยืนอยู่บนพื้นดินได้ เขาโอดครวญว่า ถึงแม้เขาจะโป๊ะสีลงไปที่รากมากเท่าใดก็ตาม ต้นไม้ที่เขาเขียนยังแทบจะล้มครืนเพียงลมเบาๆพัดผ่าน         

      ครั้งหนึ่งที่เขายืนเหม่อมองความเป็นไปของธรรมชาติของต้นไม้อยู่ ชาวนาคนหนึ่งเดินผ่านมา หยุดมอง แล้วเอ่ยว่า เขาเป็นบ้าไปแล้วที่มายืนจ้องต้นไม้อยู่ได้เป็นวันวันอย่างนี้โดยไม่ทำอะไรเลย       

       Van Gogh หันไปถามด้วยกิริยาสุภาพว่า

       คุณล่ะทำงานอะไร”       

       ชาวนาตอบว่า ฉันเป็นชาวนา”              

        Van Gogh เอ่ย ทำไมคุณปลูกต้นไม้หรือถอนต้นไม้...คุณบ้าหรือเปล่า?              

        ชาวนาอ้าปากค้าง จ้องหน้า Van Gogh เหมือนเห็นคนบ้ามายืนเบื้องหน้า แล้วตอบว่า               

       “เปล่า มันเป็นงานของผม     

       Van Gogh ยักไหล่แล้วตอบว่า 

       ครับ ผมมองต้นไม้ ผมก็กำลังทำงานของผม”  

        Van Gogh เป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกและสุภาพมาก โดยเฉพาะกับสุภาพสตรี  เมื่อโกแกงมาเยี่ยมตามคำเชิญ ก็บ่นว่า Van Gogh ทำงานหนักไป ควรไปพักผ่อนเสียบ้าง จึงพาเขาไปเที่ยวบาร์เล็กๆแห่งหนึ่ง  มีผู้หญิงบาร์คนหนึ่งมานั่งคุยกับ Van Gogh แล้วชมว่าหูเขาสวยบ่อยๆ เธอคงล้อเขาเล่นเพราะ Van Gogh หน้าตาไม่ดีและหูเขาดูตลก มันเล็กหยิกน่าเกลียดเหมือนหูนักมวยที่ถูกชกบ่อยๆ 

        Van Gogh ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้บ่อย เขาจึงเป็นคนซื่อบื้อเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิง เมื่อถูกชวนให้ไปเที่ยวบาร์อีก เขาจึงปฏิเสธว่าเขาไม่มีของกำนัลให้ผู้หญิงและไม่รู้ว่าผู้หญิงชอบอะไร เมื่อถูกขยั้นขยอให้ไปในภายหลังเขาก็ไป

  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">      ไปพร้อมกับของกำนัล คือหูข้างที่ผู้หญิงบาร์คนนั้นชมว่าสวยไปให้! </p>

       แทนที่จะได้รับคำขอบคุณ กลับถูกกล่าวหาว่าบ้า         

       Van Gogh แกมันบ้าไปแล้ว! 

       หูที่เหลือข้างเดียวของเขาอื้ออึงด้วยคำประณามเหล่านี้ จนต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิต แม้แต่ในที่นี้เขายังเขียนภาพออกมาได้หลายภาพ ภาพหนึ่งเป็นภาพเหมือนของหมอที่รักษาเขา

  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">          หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ วันที่ 27 กรกฏาคม ปี ค.ศ. 1890 เขาก็เลือกทางออกของชีวิตด้วยการยิงตัวตายและเสียชีวิตอีกสองวันต่อมา รวมสิริอายุได้เพียง 37 ปีเท่านั้น</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">          ……………………………………………………</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>

          อัจฉริยะ อายุสั้นเสมอ!       

         “Art Longa Vita Brevis”

          ศิลปะนั้นหนายืนยาว ...แต่ชีวิตเราทั้งเขลาและสั้น

  

       ตลอดชีวิตของการเป็นศิลปิน เขาทำงานหนัก อุทิศตนและซื่อสัตย์ในวิชาชีพ Van Gogh ไม่เคยปริปากบ่นกับใคร ที่เรารู้เรื่องชีวิตของเขาจากการประมวลเนื้อหาจากจดหมายที่เขาเขียนถึงน้องชายของเขาเท่านั้น

       ในชีวิตของเขารังสรรค์ผลงานไว้ราว 2,000 ชิ้น เป็นภาพสีน้ำมันราว 900 ภาพ ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ราว 200 ภาพที่เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์และถูกประมูลซื้อมาด้วยมูลค่ามหาศาล

       แต่ผลงานของเขาทั้งหมดที่ขายได้ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่มีเพียงภาพเดียวเท่านั้น และเป็นภาพที่น้องชายเขาซื้อไว้เอง เพื่อส่งเงินให้ซื้อสีและจ่ายค่าเช่าบ้านให้เขา

       เชิญมอง ภาพนี้ใหม่ครับ ด้วยมุมมองและความเข้าใจใหม่

       

      บางที คุณอาจได้แง่คิดดีดีจากภาพนี้ เพิ่มขึ้นอีกก็ได้

</span>

หมายเลขบันทึก: 76230เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2007 13:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)

หนูอ่านเรื่องราวประวัติชีวิตของเขาแล้วเศร้าใจเหลือเกิน   อ่านแล้วก็อดน้ำตาซึมไม่ได้จริงๆค่ะ

ช่างเป็นคนที่น่าสงสารมาก    คนที่ไม่ประสบความสำเร็จใดๆในชีวิตแต่ก็เป็นคนที่ดี

หนูว่าเค้าคงประทับใจในคำพูดของผู้หญิงคนนั้น   เพราะคนที่ได้รับแต่คำดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบข้าง   เมื่อได้รับคำพูดที่ดี  แม้นจะเป็นสิ่งเล็กน้อยในสายตาคนอื่นแต่สำหรับเขาแล้วนับว่ามีค่าซะเหลือเกิน   เหมือนน้ำทิพย์ที่หยาดลงมาบนพื้นดินที่แห้งผาก   เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ   อยากตอบแทนคุณให้กับคนคนนั้นนั่นเอง

คนที่ไม่ประสพความสำเร็จยิ่งเป็นผู้ชายซึ่งเรื่องงานเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต    ถือว่าน่าสงสารมาก

น่าหดหู่จริงๆที่เค้าอุตส่าห์อยากตอบแทนน้ำใจของคนๆนั้นแต่กลับถูกมองว่าไร้ค่า    คงเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ความอดทนได้หมดลง

หนูไม่นึกตำหนิเค้าเลยแต่รู้สึกเห็นใจในเคราะห์กรรมและโชคชะตา   บางคนก็ทุกข์สุดแสนจริงๆ

หากเราไม่ได้เป็นเค้าแล้วไม่อยากลงโทษตำหนิเลย

ใครในโลกจะไม่รักชีวิตของตัวนอกจากมันจะสุดแสนแล้วจริงๆ

ช่วงวัยเด็กของหนู  หนูยังเคยเป็นเด็กขี้แพ้เลยค่ะ

เข้าใจเลยว่า  คนขี้แพ้เป็นไง   ดีที่หนูมีกำลังใจจากคนที่รักหนูทำให้เด็กอ่อนแอและถูกรังแก    จนขาดความมั่นใจสามารถพบชีวิตที่มีความสุขได้

หนูว่าประวัติของเค้าเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจแก่คนที่กำลังทุกข์ท้อใจได้ดีทีเดียวค่ะ

เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ทุกข์มากกว่าเค้าและคนเราควรมีความหวังที่จะต่อสู้   สู้แม้นจะมองไม่เห็นชัยชนะอย่างน้อยก็เพื่อตัวเอง

เหมือนแสงเทียนที่ส่องในที่มืดส่องประกายจนถึงวินาทีสุดท้าย    ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน

และสำหรับคนเก่งที่มีความสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต   จะได้มีความรู้สึกเห็นใจในคนอื่น

มีน้ำใจกับคนรอบข้างบ้าง  เพราะมนุษย์เราไม่ได้มีแค่ชาตินี้เท่านั้น

คนที่ดูถูกคนอื่นนั้นก็เป็นการสร้างกรรมให้แก่ตัวเองเพราะในชาติภพหน้า    อาจต้องด้อยกว่าคนที่เรานึกดูถูกก็ได้

คุณสุกฤตาครับ

  • คนขี้แพ้กลับมายิ่งใหญ่ได้ภายหลัง
  • เราจึงเรียนรู้ชีวิตเขา เพื่อให้เข้าใจว่าหากจะเป็นคนขี้แพ้ให้เป็นคนขี้แพ้ตัวจริง ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หา"อะไร" สักอย่างในชีวิต จุดประกายให้กับตัวเอง
  • เราจะกลายเป็นคนขี้แพ้ที่โลกไม่มีวันลืม ดีกว่าคนที่ชอบเอาชนะผู้อื่นด้วยสารพันวิธีโฉดฉล พอสิ้นชีวิตมีแต่เสียงก่นด่า
  • เรื่องนี้เป็นบทเรียนแห่งชีวิตเล็กๆบทหนึ่งครับ ผมดีใจที่คุณชอบ

อาจารย์คะ

บล๊อคของคุณณัชรหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ   เปิดไปอ่านไม่ได้

ไม่ทราบเกิดอะไรค่ะ  เค้าบอกแต่ว่าไม่มีบล๊อคนี้ค่ะ

อาจารย์เข้าไปดู บล๊อกยังอยู่ครับ เพียงบันทึกซามูไรไม่ปรากฏ อาจปรับปรุงหรือถูกซ่อนไว้ก่อนเสร็จสมบูรณ์มั้ง ครับ

เห็นบอกว่าเมล์มาถึงผมจะเปิดอ่านหน่อยสงสัยส่งการบ้านปริญญาเอกมาให้ตรวจครับ

อาจารย์คะ

ดูรูปครั้งแรกที่อาจารย์ยังไม่ได้ย่อ...รู้สึกบีบคั้นหัวใจไม่กล้ามองตาเขาในภาพเลยค่ะ..พอฟุตบอลไทยแพ้(ดึงมาเกี่ยวจนได้)..รูปเหลือเล็กลง..ความแรงของภาพก็ลดลงไปด้วยค่ะ...นึกสงสัยว่าเวลาที่ดูภาพจริงใบโต จะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ

ดูรูปจะมองเห็นภาพของผู้ชายที่ผอมจนแก้มตอบ มีดวงตาเป็นจุดเด่นของภาพและมีปากที่เม้มสนิท บ่าที่ห่อลีบอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ยับย่น มีฉากหลังเป็นเกลียวๆ

รู้สึกถึงผู้ชายคนหนึ่งที่มองโลกด้วยสายตาหวาดระแวง เก็บกด ดื้อดึง ลังเลสงสัย และไม่ไว้วางใจคนอื่น เป็นผู้ชายที่มีโลกส่วนตัวที่โดดเดี่ยว แต่ยังพยายามที่จะมีชีวิตร่วมในสังคมและต้องการการยอมรับจากสังคมแต่เขาก็ไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์ของสังคม คนๆนี้แม้จะตายก็จะไม่ยอมเปิดปากพูดถึงความต้องการของตนเอง เขามีความเชื่อว่ามีพลังบางอย่างที่เหนือธรรมชาติและพลังนั้นอยู่รอบๆตัวเขา

...

อ่านประวัติที่อาจารย์เขียนแล้วสงสารค่ะ.ช่วงชีวิตของเขาผูกไว้ด้วยศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ที่ผุกร่อนลงไปจนวันหนึ่งเขาหมดสิ้นศรัทธาที่เขาเคยเชื่อ...นึกถึงช่วงเวลาที่เขาคิดจะนำใบหูไปมอบแก่ผู้หญิงคนนั้น...อาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเบิกบานของเขานะคะ.....

คุณจันทร์รัตน์ครับ

       ผมกลับไปใช้รูปเดิมที่ใหญ่กว่าแล้วครับ เพราะเจตนาอยากให้เห็นรายละเอียดของรอยฝีแปรงของเขา พอดีไปดูฮากลิ้งลิงกะหมาเสร็จ จึงมาแก้ไข

      ครับเวลาเรามองภาพเขียน เป็นภาพเหมือนบุคคลในลักษณะนี้ โดยทั่วไปศิลปินจะสท้อนบุคลิกภาพส่วนตัวของผู้ที่เป็นแบบออกมาให้หมด นอกจากความเหมือนจริงทางสรีระแล้ว

     แต่ภาพเขียนนี้มีความพิเศษขึ้นไปอีกเพราะเป็นภาพ Self portailt คือศิลปินเขียนตัวเอง ซึ่งบางครั้งมักจะยาก เพราะอีโก้ของตนเองจะปิดตาตัวเอง อาจทำให้เห็นตัวเองเฉพาะด้านดีที่อยากโชว์เท่านั้น

     แต่ Van Gogh ไม่เป็นอย่างนั้น ตรงกันข้าม เขาเอากายเนื้อเป็นทางผ่านแสดงให้เราเห็นจิตวิญญาณที่ลึกที่สุดของเขา ความปรารถนาทั้งปวงในชีวิต เป็นภาพที่มีพลังแห่งชีวิตมากเหมือนที่คุณจันทร์รัตน์บรรยาย

 

 

งือ.. ปกติไม่ชอบรูปวาดสไตล์ของแวนโก๊ะเลยนะคะ

แต่ดูรูป (วาด) ของแวนโก๊ะ... อ่านเรื่องของแวนโก๊ะ.. หลายๆเรื่อง หลายๆรูปเข้า

ชักหลงรักแวนโก๊ะ เข้าแล้วสิคะ

ยังไม่ทันถึงวาเลนไทน์ อาจารย์ก็ทำหน้าที่กามเทพให้ k-jira ซะแล้วน้าเนี่ยะ

^___________^

 

ปล. ว่าแต่ในรูป หูของแวนโก๊ะสวยจริงๆนะคะ

สวัสดีคุณ k-jira

ถือเป็นของขวัญก่อนวัน valentine ก็แล้วกันครับ

หูข้างที่เห็นเป็นหูข้างซ้ายที่เหลืออยู่ ถ้าอยากได้ผมจะไปกระซิบบอก Van Gogh ให้นะครับ

............................อะไรนะ?

อ้อ! เขาบอกว่าคืนนี้ตอนตีสองสี่สิบจะเอาไปให้ครับ

^_______________________^ (ยิ้มกว้างกว่าอีก)

  • ขอบคุณอาจารย์มากที่เล่าเรื่องดีดีอย่างนี้ แม้จะเศร้าไปบ้างแต่ก็เป็นตัวอย่างชีวิตที่ดี
  • หนูมองรูปแล้วกลัวมาก เหมือนจ้องมองคนที่มองตอบอย่างเอาเรื่อง ดูนานๆภาพเริ่มหมุนคว้างเข้าไปในตัวเขา
  • หนูรักในความดีของจิตใจเขาแต่หากจะต้องอยู่ตามลำพังกับเขา....ไม่เอาค่ะ

 

        ถ้าคุณk-jira หลงรักแวนโก๊ะแล้ว อย่าไปชมว่าหัวใจเขาช่างสวยอะไรเช่นนี้นะคะ  555  ไม่งั้นตีห้าห้าสิบอาจได้มาวางข้างเตียง

..........................................................

        นี่ถ้าแวนโก๊ะรู้วิชาสติปัฏฐานสี่ของพระพุทธเจ้า แวนโก๊ะอาจไม่ตัดหูไปให้ หรือไม่ยิงตัวตายไหมคะ

        เพราะถ้าเจอสาวคนนั้นชมว่า หูคุณสวยจัง แวนโก๊ะก็จะกำหนดว่ายินหนอยินหนอ ดีใจหนอๆ แล้วก็จบไป เกิดอยากตัดหูก็อยากตัดหูหนอๆ  สติก็จะบอกว่าแต่ไม่ควรหนอๆ

        หรือเวลาแวนโก๊ะเศร้าศร้อยจากโลกที่โหดร้าย ถ้ากำหนดทันว่าเศร้าหนอๆๆๆๆ ก็คงจะอยู่สร้างสรรค์ผลงานดีๆหรือดูแลตัวเองให้สุขภาพดี อยู่ในโลกนี้ได้อีกนานกว่า 37 ปี

............................................................

         อาจารย์คะ ดูรูปแวนโก๊ะแล้ว เห็นรูปชายหน้าตาแก่กว่าวัย ถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าเค้าอายุ 37 เองตอนเสียชีวิต หมอคงคิดว่าอายุในรูปสัก 60 เลยค่ะ หัวก็เถิกเป้นสองง่าม หัวคิ้วขมวดเป็นก้อนสองก้อนเลยโดยเฉพาะข้างขวาขึ้นเป็นสันยาวไปลูกตาขวานี่จ้องเขม็ง ตาซ้ายนี่เศร้าและหวาดระแวง จมูกเป็นสันยาเนื้อตรงปลายจมูกยาวกว่าปีกจมูกเยอะ  มุมปากสองข้างก็ตก หน้าตอบแก้มยุบลงไปเลย โหนกแก้มสุง ผมเผ้าหนวดเคราก็ดูค่อนข้างรุงรัง อกไม่ผายไหล่ไม่ผึ่งเลยค่ะ

         สรุปว่า เป็นรูปเหมือนของผู้ชายที่ดูแก่กว่าอายุจริงๆมาก เป็นคนหมกมุ่นครุ่นคิดมาก ดูไม่มีความสุขเลย แถมสุขภาพดูไม่ค่อยดีเพราะผ่ายผอม คงไม่ค่อยได้ดูแลตนเองเพราะเสื้อผ้าก็ยับย่นผมเผ้าหนวดเคราก็ดูรุงรัง ลักษณะแบบนี้คล้ายๆคนบุคลิกหวาดระแวงอมทุกข์ มองโลกไม่น่าอภิรมย์  สมควรจะดูรายการลิงกับหมา หรือละครเบาสมองเช่นบางรักซอยเก้า เป็นต่อ สภาโจ๊ก หรือดูอะไรสวยๆงามบ้างค่ะ เช่น เสื้อที่แขวนอยู่ริมทะเล ทิวทัศน์ที่สวยงามตามป่าเขาลำเนาไพร

          อยากถามอาจารย์หมอมาโนชจังค่ะ ว่าคนที่ถูกชมว่าหูสวยแล้วตัดหูไปให้เนี่ย เอ่อเข้าข่ายโรคจิตอย่าง schizophrenia ไหมคะ 

สวัสดีครับหมอนิด

      น่าเอาไปทำหัวข้อวิจัยนะครับ หาก VaN Gogh มาเจริญสติปัฏฐานแล้ว ชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร?

      แฮะ แฮะ เดี๋ยวอาจารย์ก็จะไปถามให้เช่นเคยว่า เขาจะยินดีร่วมมือกรอกแบบสอบถามหรือไม่?

      ครับ.....ครับ......ยินดีใช่ไหมครับ อ้อ! จะไปหาหมอนิดเองหลังจากเอาหูคุณ k-jira ไปแล้ว เอ้ย! เอาหูไปให้แล้ว  ยินดีไปให้หมอนิดสัมภาษณ์ถึงข้างเตียงเลยครับ

     อ้อ! โดยเฉพาะท่อนที่หมอนิดว่า เขาดูแก่เกินวัย ...มองโลกไม่น่าอภิรมย์ นั้น ผมเห็นเขานิ่งฟังแล้วขบกรามเล็กน้อยครับ...บอกว่าจะเคลียร์กับหมอเอง ตอนตีสามสิบสองนาที หลังจากบีบคอคุณ k-jira เสร็จแล้ว

     ครับ...ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ โลกเราจึงเหมือนโรงละครโรงใหญ่ มีทั้งผู้สมหวัง ผู้ชนะ และสร้างให้เกิดคนที่ผิดหวัง และผู้แพ้มากมาย

     แต่ชีวิตมนุษย์ดีตรงที่ การรู้จักเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนจากจุดที่ด้อยไปหาจุดที่ดีขึ้น

      อย่างไรก็ตามขอชมว่าหมอดูภาพเนี๊ยบขึ้น เก็บรายละเอียดได้ดีมากครับ ประมวลเป็นบุคลิกภาพของ Van Gogh ได้ดี อ้อ! ผมบอกเขาไปแล้วว่าคุณหมอสงสัยเขาเป็นโรคจิตที่มีชื่อเรียกยากด้วย ดูท่าเขาจะสบอารมณ์มาก เห็นหายใจฟืดฟาดบีบนิ้วตนเองใหญ่ครับ ปากพึมพัมว่าตีสามๆๆๆๆทำนองนี้ละครับ

พอดีเห็นคุณขจิต ถามถึงรูป Van Gogh ตอนหูขาด เลยเอามาลงให้ดูครับ

http://gotoknow.org/file/pichaik/van_gogh.jpg

ที่มา:

http://www.gardenofpraise.com/images/gogh.jpg

เอ! ลืมวิธีแปะภาพในช่องนี้เสียแล้ว ต้องจุดธูปเรียกหนูณัชรมาช่วยแปะหน่อย อาจารย์ทำไปมากลายเป็นแค่ Link

....เอ้า! ร่ายคาถาเรียกหนูณัชรหน่อย ...โอม ตังเม ฝอยทอง ขนมเปี๋ยะ ทองหยอด ข้าวเหนียวดำ น้ำพริกอ่อง ซูซิ ลูกชิ้นทอด เพี้ยง! ณัชรจงมา ณัชรจงมา....

โอ้ยโย๋... อ่านแล้วอึ้งๆ บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลยค่ะ จะว่าสงสาร หรืออะไรดี

อย่างงี้ใครไปชมอะไรเข้าเพิ่มอีกเนี่ย คงแย่เลยนะคะ

o___+

  • ชีวิตน่ารันทดแต่มีพลังอย่างบอกไม่ถูก
  • ผมเคยได้ยินชื่อเขา แต่ไม่เคยรู้ประวัติและเห็นภาพเขียนของเขาอย่างชัดเจนขนาดนี้มาก่อนเลย
  • ขอบคุณอาจารย์มาก เล่าได้อารมณ์ดีมากครับ อ่านจบต้องอึ้งไปนาน

อ่านชีวิตของเขาแล้วเศร้าลึกๆ

อ่านคอมเม้นของผู้อื่นแล้วทึ่ง

อ่านคำตอบของอาจารย์แล้วขำ

มีหลายรสดีครับ

อยากให้อาจารย์เอาเรื่องศิลปินแบบนี้มาเล่าให้ฟังอีกค่ะ แถมด้วยวิธีดูภาพและเข้าถึงภาพ ชอบวิธีเขียนและตอบของอาจารย์ค่ะ

สวัสดีคุณ is ครับ

คราวนี้ไม่เขียนถึงภาพนะครับ อยากทราบว่าคุณ is มองภาพ Van Gogh เป็นอย่างไร

ขอบคุณ คุณอนิรุตครับที่ชม

หายอึ้งแล้วยังครับ

คุณเด็กดอยและคุณเด็กมอ

สังหรณ์ว่าเป็นเด็กร่วมสถาบันเดียวกันนะครับ ที่ชาวเชียงใหม่เรียกว่าเด็กตีนดอย

มีหลายรสก็คืออาหารไทย เป็นยำหรือส้มตำทำนองนี้

ผมเองก็จะหาเรื่องมาเขียนเรื่อยๆครับ

เสื้อผ้าที่ใส่ติดกระดุมที่คอเสื้อเรียบร้อย ดูสุภาพเรียบร้อย แต่ใบหน้าส่อแววว่าจริงจังดูเครียดและส่งกระแสแห่งความสับสนปรากฎออกตามเส้นสายของพู่กัน เขียนภาพตัวเองแบบคนจริงจังกับชีวิตที่ไร้ซึ่งสีสรร

สงสาร Van Gogh ที่ตลอดชีวิตที่ไม่ได้เสวยสุขรับผลจากสิ่งที่ตนเองทำเลย แต่ก็ภูมิใจแทนเขานะค่ะว่าได้สร้างสรรคสิ่งที่ดีดีไว้ในโลก

อาจารย์ค่ะ ชอบประโยคที่ว่า      

         “Art Longa Vita Brevis”

          ศิลปะนั้นหนายืนยาว ...แต่ชีวิตเราทั้งเขลาและสั้น

เอามาจากไหนขอขยายความค่ะ

คุณพัชรา ครับ

คุณมองรายละเอียดที่สะท้อนบุคลิกของเขาได้ดีครับ ชอบประโยคที่ว่า เขียนภาพตัวเองแบบคนจริงจังกับชีวิตที่ไร้ซึ่งสีสรร ดูเหมือนผมเคยอ่านมาว่า เขาเองเคยเขียนเล่าอะไรทำนองนี้ เกียวกับการใช้สีของเขาแล้วเปรียบเทียบกับชีวิตเขาว่า น่าจะมีสีสรรเหมือนในภาพเขียน

สวัสดีหนูนา

คำถามสั้นๆแต่หารู้ไม่ว่าอาจต้องตอบยาวมาก จึงขอยกยอดไปเขียนเป็นบันทึกหน้าก็แล้วกัน

คราวนี้ตอบเพียงสั้นๆเป็นหนังตัวอย่างว่า

“Art Longa Vita Brevis”

ศิลปะนั้นหนายืนยาว ...แต่ชีวิตเราทั้งเขลาและสั้น

นั้นมาจากท่านศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเป็นศิลปินชาวอิตาเลี่ยนที่มารับราชการในเมืองไทย ได้สร้างผลงานทางศิลปกรรมมากมายในประเทศไทยและที่สำคัญได้ปลูกฝังให้เกิดสถาบันทางศิลปและแนวทางการสร้างงานศิลปะสร้างให้เกิดศิลปินไทยมากมาย คำพูดนี้มาจากบทความของท่านที่เขียนกระตุ้นให้ศิลปินนั้น เกิดความพากเพียรพยายามสร้างงานศิลปอยู่ตลอดเวลา...พวกเราเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็จะฮึดสู้ขึ้นมา แม้ว่าผลงานของเราจะขายได้ไม่ได้ จะมีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตาม เพราะเราเกิดมาเป็นผู้สร้างศิลปะเสียแล้ว ชีวิตนี้แสนสั้น อย่ามัวเขลาอยู่สร้างความเป็นอมตะให้แก่ชีวิตจากผลงานของเราเถิด

อ่านประวัติแวนโก๊ะจากที่อาจารย์เล่าทำให้ได้มองมุมใหม่จากที่เคยฟังและรู้อย่างผิวเผินจากอาจารย์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับการป่วยเป็นจิตเภท(Schizophrenia)ของแวนโก๊ะซึ่งปัจจุบันจิตแพทย์ก็มีการเปลี่ยนมุมมองต่อผู้ป่วยโรคนี้..โดยมองว่าเป็นผู้ที่มีปัญหาในการสื่อสารความเข้าใจและความรู้สึกของเขาให้แก่ผู้อื่น.

..อ่านแล้วเกิดความรู้สึกว่าแม้ในความยากจนยากไร้และสุดปัญญาที่จักสื่อสารความคิดนึกในใจให้ใครรู้แต่พลังและความหวังดีต่อชีวิตและสังคมรอบตัวที่มีอยู่ในใจของแวนโก๊ะเป็นความงามในใจของเขา..งานเขานั้นกลั่นมาจากใจและอยากคนรู้จักและชอบงานเขาด้วยค่าที่มันมาจากความพยายามและใส่ใจที่จะสร้างสรรค์มากกว่าเพราะราคา

เพิ่มเติมด้วยความรู้ที่มีอยู่น้อยนิดของผม จากข้อความด้านบนครับ แวนโก๊ะ ต้องทานยาอะไรน้อ จำไม่ค่อยได้แล้วครับ เลยทำให้มีอาการของการรับรู้สีผิดปกติไปครับอาจารย์ ดูตัวอย่างรูป Starry Night
มีหนังสือเรียนที่ผมเคยอ่านบอกว่ามีการใช้สีที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แต่ผมดูยังไงก้อ ปกตินินา เริ่มงงตัวเองอีกแล้วครับ อาจารย์ช่วยผมที

คุณ seangja  ครับ

หากจะเอาเรื่องทางจิตเภทมาจับแล้ว คนเราทุกคนค่อนข้างบ้าครับ ต้องมีพกพร่องหรือผิดปกติไปอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง

อย่างผมอาจจะถูกวิเคราะห์ว่าบ้าศิลปะ บ้าปฏิบัติธรรม

เพราะพูดจาหรือคิดนึกไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน

แต่จากที่ผมดูรูปของ Van Gogh ในขณะที่อยู่โรงพยาบาล เขายังสามารถเขียนรูปได้และเขียนรูปได้ดีด้วย คือ รูปทรงที่เขียนและการสื่อสาร แนวคิดยังแสดงให้เห็นว่าขณะที่เขียนมีสติและสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือไม่บ้าเลย เพราะคนบ้าจะไม่มีสติและควบคุมตนเองไม่ได้ (ใช้มือ ใช้สี อย่างที่ใจคิด)

ดังนั้น ความอัดอั้นตันใจของ Van Gogh จึงเป็นดังคุณว่า คือไม่สามารถสื่อสารทางภาษาให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ...สิ่งเดียวที่เขาทำได้จึงเขียนรูป เขียนรูปและเขียนรูปเท่านั้น และกลับพบว่าไม่มีใครเข้าใจและชื่นชมภาพเขียนของเขาเลย(ในขณะนั้น)

เป็นใครก็น่าจะบ้า หากเกิดเป็นศิลปินในสมัยนั้น!

ต่างกับศิลปินสมัยนี้ที่ทำงานได้อย่างสบาย เพราะศิลปินรุ่นก่อนได้แผ้วทางไว้แล้ว เช่น การใช้สีสดๆ การเขียนภาพโดยลดรายละเอียดของความเหมือนจริงตามธรรมชาติลง

ดังนั้น เขาจึงมีสิ่งตอบแทนอย่างเดียว คือเป็นตำนานที่เล่าขานมาจนเป็นวีรบุรุษของศิลปินในปัจจุบัน

 

 

 

เอ! ข้อมูลนี้ผมยังไม่ทราบครับ

แต่ยืนยันได้ว่า วิธีการเขียนและสีสรรที่ใช้เป็นแนวของVan Gogh ตั้งแต่ต้นจนเสียชีวิตครับ มีพัฒนาการบ้างคือ ลดรายละเอียดของรูปทรงลงและใช้สีสรรสดใสมากขึ้น ฝีแปรงฉับไวและมีพลังมากขึ้นครับ

ผมชอบสไตแบบแวนโก๊ะมากครับ วาดออกมาจากอารมณ์และจิตรวิญญาณเหมือนได้ระบายความรู้สึก เหมือนผมถ้ารู้สึกหงุดหงิดจะเล่นกีต้าร์จนสายเกือบขาดเพื่อระบายความรู้สึก การตายคือสิงสวยงามไม่ได้เลวร้ายอะไรหลอกครับ การตายเพื่อถ่ายเทการกำเนิด

ตายเพื่อหลุดพ้นจากกิเลศและตัญหา คือการว่างเปล่าหลุดพ้นจากทุกอย่าง ถ้าเรารักประชาธิปไตรทุกคนย่อมมีสิทธที่จะอยู่หรือตาย แต่แวนโก๊ะเลือกตายเพื่อหลุดพ้น เพื่อจิตรของเขาจะได้ว่างเปล่าและเทิดทูดความรู้สึกจิตรทางศิลปะ แต่บางคนเลือกอยู่ที่จะสร้างเวรกรรมต่อไป

แนะนำว่าถ้าอยากอ่านเรื่องชีวิตของแวนโกห์แบบเต็มอิ่มเป็นภาษาใทยก็ต้องเรื่อง

ไฟชีวิต แปลโดย กิติมา อมรทัต เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจหลังจากอ่านเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนทำให้ตัดสินใจเรียนศิลปะ และยังคงทำงานศิลปะเรื่อยมาไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ได้ก็ตาม น่าเสียใจหากเรื่องนี้ ( เดิมน่าจะใช้ชื่อว่าไฟศิลป )ไม่มีการวางขายในท้องตลาด

อีก ครั้งสุดท้ายที่เห็นน่าจะเป็นเรื่องนี้ขายรวมกับชุดประวัติศิลปิน Impressionistคนอื่นๆอีกหลายคน เรื่องชีวประวัติของศิลปินที่น่าสนใจอีกเรื่องคือเรื่องของ โกแกงเพื่อนรักของแวนโกห์ ชื่อเรื่อง วิถีเถื่อน แปลโดย กิติมา อมรทัตเช่นเดียวกัน จะหาอ่านได้หรือเปล่าไม่ทราบ ต้องใช้ความพยายามหน่อยแล้วกันเพราะเป็นหนังสือที่พิมพ์นานแล้ว

อยากรู้เรื่องเขามากกว่านี้อีกใครก้อได้ช่วยส่งประวัติมาให้อ่านหน่อยนะค่ะ

เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด..และเราก็ปรารถนาให้เค้าพบความยิ่งใหญ่ที่เค้าทิ้งไว้..

แต่น่าเสียดาย เสียดายมากจริงๆ...อยากทราบว่าน้องชายของเค้าได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ในตัวพี่ชายคนนี้ของเขาหรือไม่..

ถ้าเราเปน ผญ คนนั้น จะรับหูใบนั้นพร้อมมอบจูบให้สักฟอดใหญ่

แล้วกล่าวขอบคุณอย่างไม่รู้สิ้น

แล้วบอกกับเค้าว่า เค้าช่วงเปนคนที่ยิ่งใหญ่ ในน้ำใจจริงๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท