คนเมาในรถไฟญี่ปุ่น--ภาพนี้ทำให้คุณนึกถึงอะไรบ้าง?


ทายซิคะว่า เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟกำลังทำอะไร เดี๋ยวจะมาเฉลยค่ะ

 

Helping

ทายซิคะว่า  เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟกำลังทำอะไร  ภาพโดย Tsai Tao จาก http://www.flickr.com/photo_zoom.gne?id=223682527&size=m

 

What happens next

 นี่เป็นสถานการณ์จริงนะคะ  ไม่ใช่การถ่ายโฆษณา  ภาพโดย Tsai Tao  จาก http://www.flickr.com/photo_zoom.gne?id=219891984&size=m&context=set-1678476 

 

มาแปะไว้ให้ดูก่อนค่ะ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง   เพราะผู้เล่าหิวข้าวแล้ว

 

จะลองเดาก่อนก็ได้นะคะว่าภาพที่เห็นด้านบนสุดคืออะไร 

 

หรือจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องสถานการณ์คนเมาในสถานที่สาธารณะ หรือ  public transportation ในเมืองที่ท่านอยู่ก็ได้ค่ะ

 

มีอะไรจะมาเล่าให้ฟังเยอะเหมือนกันค่ะ  เพราะเจอมาเยอะ

 

และมีการได้อภิปรายกันในชั้นเรียนที่ญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะเรื่องนี้

 

เรื่องคนเมาในที่สาธารณะนี่น่ะค่ะ

 

ประเด็นไหน

 

อย่างไร

 

เดี๋ยวคุยกันค่ะ

 


เฉลยค่ะ

 

"...เจ้าหน้าที่สถานีหิ้วปีกขึ้นมาใส่รถไฟขบวนสุดท้ายกลับบ้านค่ะ.."

 

 

ซึ่งก็แปลกเหมือนกันนะคะไม่ทราบว่าเป็นของสถานีไหน

 

เพราะส่วนใหญ่ถ้านอนหลับอยู่ที่ชานชาลาเขาก็คงจะสะกิดให้ตื่น

 

แล้วให้กลับออกไปข้างนอกน่ะค่ะ

 

คงแล้วแต่สถานีมั้งคะ

 

 

ที่ว่าจะมาเล่าให้ฟัง  มี ๓ ประเด็นค่ะ

 

 

ประเด็นแรก  คือ ความรู้สึกในฐานะที่เป็นต่างชาติที่ได้ไปเห็น

 

เพราะอยู่บ้านเราไม่ค่อยได้เห็น

 

จะว่าไปแล้ว  ประเทศอื่นก็ไม่ค่อยได้เห็นค่ะ

 

 

อย่างบ้านเรา  ตัวเองคิดว่าสังคมไทยไม่ค่อยได้เห็นเพราะ 

 

ถ้าอยู่กรุงเทพ 

 

เราก็ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องรถไฟขบวนสุดท้ายเหมือนญี่ปุ่น

 

ถ้าเมามากจนหลับ  ก็กลับรถเพื่อน  หรือแท๊กซี่  หรือค้างบ้านเพื่อน

 

ถ้าอยู่ต่างจังหวัด.....ก็ไม่ทราบค่ะ  อันนี้ต้องรอท่านอื่น ๆ

 

มาช่วยกันอธิบาย  แต่ก็คิดว่าน่าจะคล้ายกัน

 

 

ดังนั้น  จึงคิดว่า  คนไทย  จึงไม่ค่อยจะได้เห็นเหตุการณ์ลักษณะ

 

ประชิดอย่างนี้บ่อยครั้งมากนักแบบทุก ๆ คืนก่อนกลับบ้าน

 

 

 

ในคลาสเรียนเรื่องวัฒนธรรมข้ามชาติ  นักศึกษาชาติอื่น ๆ บอกว่า

 

อย่างนี้ประเทศเขาก็ไม่มี  บางประเทศ  เช่น อเมริกา  บอกว่า

 

ถ้ามีเมาถึงขนาดนี้  ก็มีหวังโดนจับด้วย  ได้ไปนอนคุกคืนนั้นแทน

 

และต้องจ่ายค่าปรับแพงมากอีกต่างหาก

 

และเท่าที่ตัวเองจำได้จากสมัยไปเรียนป.โทที่อเมริกา

 

แม้โดนจับจากการมีแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่าปกติเนี่ย

 

ไม่ต้องถึงขั้นเมาเละขนาดนี้น่ะนะคะ

 

ก็อาจต้องไปทำงานรับใช้สังคมอย่างเยอะหลายร้อยชม.แล้ว

 

 

 

 

ประเด็นที่สอง  คือ  คนญี่ปุ่นคนอื่นเขารู้สึกอย่างไรกันบ้าง 

 

และเขาปฏิบัติต่อคนเมาเหล่านี้อย่างไร

 

 

อันนี้ต้องบอกก่อนนะคะว่า  ไม่ได้ทำเป็นแบบสอบถาม

 

แต่ใช้จากการสังเกตุ  ซักถาม  และฟัง ๆ ดูจากการอภิปรายในห้อง

 

พบว่า  คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีความเข้าอกเข้าใจ  และเห็นอกเห็นใจ

 

แถมยังพร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่

 

เป็นคนแปลกหน้า  ที่กำลังเมาเละเทะ อาเจียน ล้มลงหมดสติ

 

อยู่กลางชานชาลาสถานีรถไฟด้วยค่ะ

 

 

 

ที่กล้าพูดเช่นนี้

 

เพราะเห็นอยู่ทุกคืนเลยค่ะ

 

จนมีบางคืนเกือบจะเข้าไปร่วมช่วยด้วยแล้ว

 

แต่พอดีรถไฟมาก่อน แหะ ๆ

 

 

 

นักศึกษาสาวชาวอเมริกันในห้องเรียน  ตั้งข้อสังเกตุว่า

 

เหมือนจะเป็นพันธสัญญาทางใจ

 

ที่คนญี่ปุ่นมีให้กันและกันในสังคมอย่างหนึ่ง

 

เป็นสัญญาที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

 

แต่เป็นที่เข้าใจกันเอง  ด้วยความไว้วางใจซึ่งกันและกันว่า

 

วันนี้ฉันช่วยท่าน

 

สักวันหนึ่ง

 

ถ้าถึงคราวฉันต้องการความช่วยเหลือบ้าง

 

ฉันหวังว่าคงจะได้รับความกรุณาจากท่านด้วย

 

ประมาณนี้น่ะค่ะ

 

 

 

ตอนแรกฟังดูเหมือนจะเหลือเชื่อ

 

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

 

เพราะเนื่องจากสถานีที่ตัวเองต้องนั่งรถไฟกลับที่พักที่ใกล้มหาวิทยาลัยนั้น

 

คือสถานีชิบูย่า

 

หลังจากเรียนดาบแล้วเซนเซจะพาพวกเราไปทานข้าวเย็นด้วยกันเสมอ

 

แล้วก็นั่งสนทนากันจน(เกือบ)จะถึงรถไฟเที่ยวสุดท้าย

 

แถวนั้นจะมีพวกคนทำงานมาพักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงานเยอะไม่แพ้ชินจูกุค่ะ

 

จึงมีให้เห็นแทบทุกวัน

 

 

 

และรถไฟสายยามาโนเตะ (ไม่ใช่เซมากูเตะ นะคะ)

 

ก็จะแล่นผ่านชินจูกุด้วย

 

ดังนั้น ต่อให้ไม่เห็นที่ชิบูย่า  ก็ต้องเห็นที่ชินจูกุ

 

และไม่ได้มีแต่ผู้ชายด้วย

 

ผู้หญิงก็มี  แต่ว่าน้อยกว่า

 

 

 

คนญี่ปุ่นนั้น  เห็นสมัยนี้สังคมเมืองคนทำหน้านิ่ง ๆ เฉย ๆ เข้าหากัน

 

เหมือนเป็นมหานครนิวยอร์คเข้าทุกทีก็เถอะ

 

แต่พอระหว่างเข้าคิวรอรถไฟอยู่นั้น

 

ถ้ามีใครสักคนที่โงนเงน

 

แล้วก็ล้มทั้งยืน ปั้ก ลงไปเมื่อไหร่นี่

 

จะมีคนรุมล้อม พร้อมเข้าช่วยในทันทีค่ะ

 

เป็นญี่ปุ่นมุงเหมือนไทยมุงนี่ล่ะค่ะ

 

 

แต่มุงช่วยน่ะนะคะ  ไม่ใช่มุงเม้าท์

 

ทำท่าราวกับว่ามาด้วยกัน

 

ประสานงานกันเป็นแท็คทีม

 

และดูเหมือนจะรู้งานกันดีด้วย  ในแง่การปฐมพยาบาลน่ะค่ะ

 

 

ครั้งหนึ่ง  เคยเจอนักธุรกิจคนหนึ่งทำท่าจะแย่

 

เหมือนจะหัวใจวายจริง ๆ นะคะ

 

เชื่อไหมคะ  คนบนชานชาลานั่นแหละค่ะ  ปั๊มหัวใจกันเป็นอย่างมือโปร

 

ขณะที่อีกคนเรียกเจ้าหน้าที่สถานี  และอีกคนโทร.เรียกรถพยาบาล

 

ไม่มีใครรู้จักผู้ป่วยเลยค่ะ

 

 

 

ถ้าเป็นเมืองไทยอาจตายไปแล้วก็ได้  ใช่ไหมคะ 

 

แถมมีสิทธิ์โรเล็กซ์หาย  กระเป๋าตังค์โดนฉก

 

ที่นี่ของไม่มีหายเลยค่ะ

 

ขนาดตอนนั้นไปสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นที่ม.โตเกียว

 

มีคนทำกิ๊บเปาะแป๊ะสีดำธรรมดาเนี่ยตก

 

ก็ยังมีคนเอาไปแปะบอร์ดประกาศหาเจ้าของเลยค่ะ

 

พวกนาฬิกา ฯลฯ ถอดลืมไว้ในห้องคอมพ์ อะไรต่ออะไรก็ไม่หายค่ะ 

 

โทรศัพท์มือถือตกที่สถานีรถไฟก็มีคนหยิบให้แล้ววิ่งมาเรียก

 

 

 

ประเด็นสุดท้าย  คือ  เราท่านทั้งหลาย

 

สามารถเรียนรู้อะไรได้จากตรงนี้บ้าง

 

 

ถ้าคนเมายังไม่ถึงขั้นล้ม  เดินมาพูดอะไรกับเราต่าง ๆ นานา

 

ความรู้สึกก็คงเป็นอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ

 

บางท่านอาจจะโกรธ  บางท่านอาจจะกลัว

 

เคยเจอเหมือนกันค่ะ  แต่พอทำเฉย ๆ เขาก็ไป

 

บางรายก็น่ารักนะคะ  เมาแล้วสุภาพ  พูดไปขอโทษไป 

 

โค้งแล้วโค้งอีก  สงสารเหมือนกัน  แต่ก็ต้องทำเฉย ๆ

 

 

แต่เวลาเห็นถึงขนาดเป๋ไปมา เผลอ ๆ มาอาเจียนใส่เรา  แล้วล้มใส่นี่

 

ต้องรีบแผ่เมตตาให้เลยค่ะ  สงสาร

 

อย่าไปต่อว่าซ้ำเติมเขาเลยนะคะ  ว่าทำไมไม่รู้จักประมาณตัว

 

ดื่มเข้าไปได้อย่างไร  ไม่รู้ตัวหรือว่าเมาแล้ว ยังดื่มเข้าไปอีก ฯลฯ

 

 

ก็เพราะเขาไม่รู้ตัวไงคะ  เขาถึงดื่มเข้าไปอีก ถึงได้เป๋เสียล้มเลยนี่

 

ที่ว่าอย่าไปซ้ำเติม  เพราะว่าวันหนึ่งอาจจะเป็นเราก็ได้

 

ไม่ใช่ว่าเพราะเราจะไปดื่ม 

 

หรือว่าเราจะไปทำอะไรที่เหมือนจะไม่มีสติขนาดนี้น่ะนะคะ

 

แต่เพราะว่า เราประมาทไม่ได้หรอก  ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา

 

 

เวลาเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว  นึกถึงที่  อ.พิชัย กรรณกุลสุนทร เคยเล่านิทานเรื่อง "แม่มด" เอาไว้

 

ในคืนวันที่ ๓ ของการปฏิบัติที่ มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ น่ะค่ะ

 

ซึ่งตอนนี้ก็มีคอร์สการปฏิบัติอยู่

 

ถ้าใครอยู่เชียงใหม่  หรือภาคเหนือ  เชิญแวะไปเยี่ยมให้กำลังใจ

 

และบริจาคขนม น้ำกับโยคีได้นะคะ

 

 

กลับไปเรื่องคนเมาหมดสติในที่สาธารณะอย่างนี้น่ะนะคะ

 

คือเราไปหัวเราะเยาะ ซ้ำเติม หรือประมาทไม่ได้หรอก

 

ตราบใดที่เรายังไม่รู้เท่าทันกิเลสหมดทุกอย่าง  เหมือนพระอรหันต์

 

คนที่อาจโดนกิเลสตั๊นหน้าลงไปนอนหงายแผ่หราอยู่กับพื้น

 

หมดสติสตังค์ไม่รู้สมประดีนั้น

 

อาจจะเป็นเราก็ได้สักวันหนึ่ง

 

 

หากท่านไม่อยากให้เกิดขึ้นกับท่าน

 

ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย ได้มีโอกาสใช้ชีวิตในแต่ละวัน

 

แต่ละคืน

 

ด้วยความไม่ประมาทนะคะ

 

 

และถ้าไปญี่ปุ่น

 

ระหว่างรอรถไฟเที่ยวสุดท้าย

 

เจอคนเมามาล้มใส่

 

ก็ช่วย ๆ เขาไปตามที่ช่วยได้ก็แล้วกันนะคะ

 

ทำตามคนข้าง ๆ ก็แล้วกัน  หรือไม่ก็ช่วยเรียกนายสถานี

 

เพราะเขาคงไม่มีโอกาสค้างบ้านเพื่อน  หรือมีเพื่อนขับพาไปส่งบ้าน

 

 เหมือนคนไทยนั่นเองน่ะค่ะ

 

สวัสดีค่ะ



ความเห็น (12)

        โห เค้าเอาอะไรมาเกี่ยวกะเสื้อคนเมาไว้หรือคะคุณณัชร ป้องกันคนเมาลงจากรถไฟลงไปเดี๋ยวจะเกิดอันตรายใช่ไหม

        ได้ข่าวจากทีวีว่า เค้าจะเพิ่มโทษเมาแล้วขับทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น แล้วต่อไปอาจออกกฏหมายเอาผิดกับร้านที่ขายเหล้าให้กับคนที่เมาแล้วด้วย ถ้ามีจริงก็อนุโมทนาด้วยเลยค่ะ

        เมื่อตอนส่งท้ายปีเก่า มีนักศึกษาเมาแล้วขับรถผ่านรั้วเหล็ก ผ่านประตูหน้าบ้าน เข้าไปจอดกลางบ้านญาติ ดีที่ชีวิตยังอยู่ครบแค่ทรัพย์สินเสียหาย  เฮ่อ นึกแล้วน่าจะต้องมีบทลงโทษให้หนักๆเลย

หวัดดีคะ  คุณณัชร

   ดิฉันไม่เคยเห็น คนในเมือง เมาแบบนี้คะ

    เคยแต่ นั่งรถสองแถวเล็ก กลับเด็กรักป่า จากเมือง

มาที่ หมู่บ้าน 14 กม. เจอ คนเมา เหมือนกันคะ ช่วงเทศการ จะเจอเยอะ  ช่วงเกี่ยวข้าวไม่เจอคะ

   ส่วนมาก ก็จะมีคนรู้จักนั่งประกบมาด้วย ไม่ค่อยมาเดี่ยวๆ หรือ ไม่เจอก็ไม่รู้...นอนแอ่งแม้ง

ในรถแบบนี้ไม่เคยเจอคะ
 

อาจารย์เคยนั่งรถไฟไต้ดินที่ Shiga และ Ozaka

ตอนดึกขากลับเห็นคนเมา พยายามขึ้นรถตอนจอดอยู่

แกตั้งท่าเล็งประตูอยู่นาน แล้วเซซัง เอียงรี่เข้ามา

คนโดยสารทั้งตู้คอยลุ้นว่าจะขึ้นมาได้หรือปล่าว

ปรากฏว่าขึ้นได้ แต่เลยประตูที่เล็งไว้ไปตั้งหนึ่งช่วง...

พอเข้ามาแล้วยืนหลับ สัปหงก น้ำลายไหลยืด

เอามือกอดเสาแน่น...รถวิ่งเร็วและโยกขนาดไหน

แกก็โยกตามได้อย่างกลมกลืน

ดูท่ามีประสบการณ์ชำนาญกว่าอีตานอนแผ่ห้าสลึงในรูปหนู

อาจารย์ไม่ได้ดูแกตอนขาลง ว่าจะลงโดยสวัสดิภาพเพราะเจนประสบการณ์หรือไม่? เพราะถึงป้ายก่อน

เลยสงสัยอยู่ในใจมาจนวันนี้

เอ! เวลาแกจะลง ตั้งท่าอย่างไรหว่า?

เมียแกจะรอแฟ่นกระบาลตอนกลับบ้านเหมือนคนไทยไหมหนอ?

สวัสดีคุ่ะ คุณ arthuran,

 

โอ๊ะ ทันสมัยเชียว  นึกถึง Densha Otoko :)

 

ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นพวกเนิร์ด ๆ ก็ดูจะเยอะน่ะนะคะ 

 

แล้วก็มีพวกร้านกาแฟเจาะกลุ่มสำหรับพวกนี้เยอะมากด้วย

 

มีเนทให้เล่นด้วยค่ะ

 

เดี๋ยวนี้ใครจะตกรถไฟรอบสุดท้าย

 

แล้วอยากประหยัดค่าโรงแรมที่พัก

 

ไม่อยากไปนอนเลิฟโฮเต็ลให้จั๊กกะจี้หัวใจ(และแพงด้วย)

 

หรือนอนรร.แคปซูลขนาดเท่าโลงจำปา

 

ก็มีคนแนะนำให้ไปนอน เอ๊ย นั่งเล่นเนท

 

ที่พวกร้านกาแฟ

 

ของบรรดาเหล่าเนิร์ดทั้งหลายนี้น่ะค่ะ

 

ที่จะเปิด ๒๔ ชม.

 

แต่ก็ต้องเป็นแหล่งของเขาน่ะนะคะ

 

ตัวเองไม่เคยไป

 

ขอบคุณที่แวะมาเล่นด้วยค่ะ,

 

ณัชร 

 

สวัสดีค่ะ คุณหมอ อนิศรา,

 

คุณหมอทันสมัยดีมากเลยค่ะ

 

มีกม.ใหม่เพิ่งผ่านออกมาจริง ๆ ด้วยเมื่อปลายปีที่แล้ว

 

เน้นเรื่องป้องกันการเมาแล้วไปขับนี่ล่ะค่ะ

 

ตัวเองก็พอจะเห็นป้ายโปสเตอร์ต่าง ๆ ออกมาบ้างเหมือนกัน

 

ป้ายห้ามเรื่อง เมาไม่ขับ นี่ ประเทศไหนก็เหมือน ๆ กันนะคะ

 

ถึงจะอ่านไม่ออก  ก็เดาได้

 

เห็นคุณหมอสนใจติดตามข่าวท้ีนโลกดีมาก

 

ก็เลยนำข่าวนี้มาฝาก

 

ไม่ทราบเคยผ่านตาหรือยัง

 

เพราะนอกจากจะมีเอ่ยถึงสั้น ๆ เรื่องประเด็นบทลงโทษคนอื่นที่เกี่ยวข้อง

 

ที่ยังคะยั้นคะยอให้ดื่มทั้ง ๆ ที่เมาแล้วนั้น (รวมทั้งเจ้าของร้าน ไปถึงเพื่อนที่กินด้วยกัน หรือเพื่อนที่นั่งกลับไปด้วยกันเลยค่ะ  โหดสะใจดีกม.นี้)

 

ข่าวนี้ยังมีพูดถึงนวัตตกรรมใหม่ ๆ ที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น

 

จะนำมาใส่ไว้ในรถยนต์ของตัวเองด้วย

 

โดยเจ้าสิ่งเหล่านี้

 

จะทำหน้าที่คอยตรวจจับ

 

สัญญาณทางชีวภาพต่าง ๆ น่ะค่ะ

 

ถ้่าส่อแววว่าเมาปุ๊บ

 

เครื่องจะไม่ยอมสต๊าร์ท

 

หรือวิ่ง ๆ ไป

 

มันจะงอน!!  

 

แล้วค่อย ๆ จอดเอง   ฮิ ๆ

 

น่ารักดีมากค่ะ คนญี่ปุ่น

 

คิดอะไรมีแคแรคเตอร์ตัวเองสอดแทรกไปด้วยเสมอ

 

ลองแวะไปอ่านดูก็ได้นะคะ

 

ที่นี่ ค่ะ 

 

แต่ที่คุณหมอร่วมสนุกทายผลบอลโลก เอ๊ย ทายภาพมาด้วยนั้น

 

ไอเดียเข้าท่ามากเลยล่ะคุณหมอ

 

อย่างนี้สงสัยต้องอีเมล์ไปบอกกรมรถไฟญี่ปุ่นซะแล้ว

 

บอกว่าคุณหมออนิศราบอกมา

 

แต่ขอไปเปิดดิคก่อน

 

อืมม.....

 

สงสัยไปให้อาจารย์ภาษาญี่ปุ่นแต่งให้จะง่ายกว่า แหะ ๆ

 

ภาษานี้ยากที่สุดในโลก  ขอบอก แหะ ๆ

 

หรือว่าสมองเราเสื่อมแล้วนั่นเอง  ไปโทษภาษาเขา

 

แต่ก็นั่นแหละเนอะ  คนของเขาเองยังบ่นเลยว่าภาษาเขายาก  ฮิ ๆ

 

แล้วเราล่ะเป็นใคร้  จริงไหมคะ  ฮี่ ๆ ๆ

 

อ้อ, เรื่องที่กม. ญี่ปุ่นแรงมากขึ้นนั้น  เป็นผลจากพ่อแม่ที่เสียลูกสาวไปพร้อมกัน ๒ คนมั้งคะ  ถ้าจำไม่ผิด

 

จากคนขับรถบรรทุกที่เมาน่ะค่ะคุณหมอ

 

ก็เลยลุกขึ้นมารวบรวมลายเซ็นคนกี่แสนคนก็ไม่ทราบ จำไม่ได้แล้ว

 

เป็นคดีตัวอย่างของญี่ปุ่นเลย

 

คือเพิ่มกม.ให้แรงขึ้น  เพิ่มโทษปรับ  ฯลฯ

 

กม.นี้ดูเหมือนจะประกาศตอนครบรอบวันที่รถชนน้องสองคนนั้นเสียชีวิตพอดี

 

คิดว่าอายุไม่ถึง ๕ ขวบทั้งคู่เลยมั้ง

 

อ้อ, ขอบคุณนะคะ ที่กรุณานำเรื่องนักศึกษาไทยมา ลปรร.

 

เรื่องอย่างนี้ต้องหมั่นนำมาเล่าเตือนสติกันค่ะ

 

ให้ตระหนักว่ามีอยู่เสมอ

 

และไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวเลย

 

จะได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

 

ป้องกัน และ แก้ไข

 

ิเริ่มง่าย ๆ

 

ก็ที่ใจเราเองก่อนเลย

 

สวัสดีค่ะ,

 

ณัชร 

สวัสดีค่ะ  คุณ ดอกแก้ว,

 

ขอบพระคุณค่ะที่กรุณาแวะมาให้ความรู้ที่ว่าในเมืองสุรินทร์ไม่เห็น

 

และแถวหมู่บ้านจะไม่มีตอนช่วงเกี่ยวข้าว 

 

แสดงว่าช่วงเกี่ยวข้าวนั้นคนมีจิตสำนึกสาธารณะเยอะ  

 

เลยไม่ค่อยคิดจะมีแก่ใจไปเมาสนุกเล่นส่วนตัวหรือคะ?

 

ประเด็นมีคนนั่งประกบด้วยก็น่าสนใจค่ะ

 

ที่ญี่ปุ่น  บ้านคงจะไม่ได้อยู่ทางเดียวกันน่ะนะคะ คิดว่า

 

และรถขบวนสุดท้ายก็คงหมายความว่า 

 

ทางใคร...ทางมัน จริง ๆ 

 

ยังเคยนึกเหมือนกันค่ะว่า  ตอนเริ่มแยกกัน  เพื่อน ๆ เขาเห็นหรือเปล่า

 

หรือเขาไปเมากันคนเดียว?

 

หรือแยกกับเพื่อนแล้วไปกินเองอีก?

 

โอ...เกินความคาดเดาจริง ๆ ค่ะ

 

และคนที่เมาจริง ๆ บางคนนั้น  คาดว่า  เวลานั่งอาจจะไม่รู้สึก

 

เพื่อนฝูงก็คงอาจจะไม่เห็น

 

แต่จะรู้ตัวก็เมื่อสาย

 

คือเมื่อต้องยืน

 

หรือเดิน

 

หรือเปลี่ยนอุณหภูมิมั้งคะ

 

ยิ่งเจอการปีนบันได ขึ้นบันได  ลงบันได  ในสถานีรถไฟยิ่งแล้วใหญ่

 

มันไม่ได้เป็นบันไดเลื่อนทุกแห่งน่ะนะคะ

 

บางที่ก็ชั้นชัน แล้วก็ต่อหลายบันไดมาก

 

น่ากลัวจะตกลงมาคอหักตายมากเลยล่ะค่ะ แหะ ๆ

 

สงสารเขานะคะ  

 

แค่เราต้องปีนบันไดเหล่านั้น

 

บางวันยังเหนื่อยแทบแย่แล้วเลย

 

บางวันหมดแรงน่ะค่ะ

 

แล้วคนที่เมาล่ะ?

 

ไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ?

 

สงสาร...เฮ้อ....

 

หวังว่าเขาคงจะเรียนรู้ได้สักวันหนึ่ง

 

จากวันใดวันหนึ่งที่เขาแอ้งแม้งนี่น่ะค่ะ

 

สวัสดีค่ะ,

 

ณัชร 

สวัีสดีค่ะ อาจารย์,

 

ขอบพระคุณที่แวะมาค่ะ

 

อาจารย์เล่าได้เห็นภาพชัดมากเลยค่ะ  

 

เห็นตั้งแต่ตอนตั้งท่าเล็ง  แล้วก็วิ่งแถ ๆ ตัวเอียง ๆ ขึ้นมาผิดไปหนึ่งช่วงประตูน่ะค่ะ แหะ ๆ

 

โถ...อุตส่าห์ยืนกอดเสาแน่นอีก  ที่นั่งมีก็ไม่นั่ง (หนูเดาว่าน่าจะมีที่นั่งน่ะนะคะ  เพราะถ้ารถจอดอยู่แสดงว่าออกจากต้นสถานี)

 

หนูก็เห็นมาเยอะค่ะ  ขี้เมาผู้ชำนาญการทั้งหลายนี่ 

 

ยังนึกทึ่งในศักยภาพของเขาเลยค่ะ  เห็นหลับตา ๆ นี่แหละ  ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง แหะ ๆ

 

รวมทั้งอย่างที่อาจารย์็บอกน่ะค่ะ คือสามารถโยกตัวไปกับจังหวะเหวี่ยงของรถไฟได้อย่างกลมกลืน

 

เป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งนะคะหนูว่า  การใช้บริการรถไฟในขณะเมาจนหมดสติน่ะค่ะ แหะๆ

 

และออกถูกป้ายด้วยสิเออ  เก่งจริง ๆ พวกนี้

 

ขนาดพวกคนทำงานที่ไม่ได้เมา  ยังสู้ไม่ีได้เลยค่ะ 

 

พวกนี้ส่วนใหญ่ีทำงานเหนื่อย  ก็มีหลับเกินป้ายตัวเองน่ะนะคะ ลองได้หลับบนรถล่ะก็

 

ไม่ต้องอะไรเลย  ตอนก่อนหนูกลับ  มันหนาวมาก ๆ ช่วงหนึ่งชนิดเขาต้องเร่งฮีทเตอร์ที่เบาะนั่งในรถไฟเสียสูง 

 

นั่ง ๆ ไปเบาะมันก็จะอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ 

 

ทีนี้พออากาศข้างนอกมันหนาวมาก ๆ  แล้วเบาะมันอุ่นสบายอย่างนี้  จะเหลือหรือคะอาจารย์

 

หนูเกือบจะพลอยหลับเกินป้ายไปกับเขาด้วยเลยนั่น  แค่นั่งหลับตาเฉย ๆ เพราะไปเรียนดาบเหนื่อยมากวันนั้น  พอลืมตาขึั้นมาอีกทีตายแล้วเกือบเลย  แหะ ๆ

 

สำหรับข้อถามเรื่องภรรยาญี่ปุ่นนั้น

 

หนูว่าคงไม่หรอกค่ะอาจารย์

 

ประเทศนี้เขาโอ๋สามีกันจะตาย

 

ที่ว่าสูตรสำเร็จต้อง อยู่บ้านฝรั่้ง ทานอาหารไทย (หรือจีนนะคะ หนูลืมไปแล้ว คตินี้)  และมีเมียญี่ปุ่นนั้น  ยังคงใช้ได้อยู่มั้งคะ หนูว่า

 

สุดแสนจะเอาใจผู้ชายเลยล่ะค่ะ ประเทศนี้

 

หนูว่าใช้คำว่า สปอยล์ ยังได้เลยค่ะ

 

ไม่ต้องอะไรเลย  ขนาดหนุ่มสาวเป็นแฟนกัน อายุ ๒๐ นี่ล่ะค่ะ  (กะเอาจากสายตา)  เวลาขึ้นรถไฟแล้วมีที่นัี่่งที่เดียว  ผู้หญิงจะเสียสละให้ผู้ชายนั่งค่ะ

 

แล้วผู้ชายก็นั่งด้วย  จนถึงเป็น Young Adult คือเริ่มทำงานกันแล้ว  ก็เห็นยังเป็นอย่างนี้ หนูล่ะอึ้งไปเลยค่ะ

 

สวัีสดีค่ะ อาจารย์

 

ณัชร 

นึกถึงตัวเองเวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วไม่รู้ว่าเมื่อคืนกลับมาอย่างไร

นึกไปเรื่อยว่าจำความครั้งสุดท้ายได้เมื่อไหร่

กลัวไปเรื่อยว่าทำอะไรไม่ดีไปบ้างเมื่อคืน

เป็นความทุกข์หลังจากเมื่อคืนเมาหนัก นี่ยังไม่นับความมึนที่ได้มาแน่นอนอยู่แล้ว

ใครเลิกได้แล้ว ยินดีด้วยครับ

สวัสดีค่ะ คุณ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม,

 

ขอบคุณมากค่ะ ที่กรุณาให้เกียรติแวะมาเยือนถึงนี่

 

ก่อนอื่นต้องบอกอีกทีว่าชอบชื่อนี้ของคุณจังค่ะ 

 

เสียดายจังไม่ยักรู้ว่าเขาให้ใช้ชื่อนี้เป็นนามแฝงได้ด้วย

 

ไม่งั้นคงขอ(ชิง)ใช้ไปแล้ว ฮิ ๆ

 

อ้าววววววว

 

อ่านความเห็นแล้วตกลงยังกลายเป็นยังต้องลุ้นกันอยู่หรือคะ  แหะๆ

 

หมายถึงยังหนักถึงขนาดในภาพเลยหรือคะคุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม?

 

ไหนว่าปฏิบัติธรรมแล้วนี่นา  ฮิ ๆ

 

เอาเป็นว่าอดีตเป็นไงช่างมัน

 

วันนี้เริ่มต้นใหม่ก็แล้วกันนะคะ จะเอาใจช่วยสำหรับการต่อสู้กับมารในยกต่อไปค่ะ

 

เราทั้งหลายต่างก็ยังต้องว่ากันไปทีละยกน่ะนะคะ

 

แต่ถ้าอยากเลิกได้ถาวรล่ะก็  มีทางอยู่นะคะ

 

หมายถึงมีที่ฝึกที่ดีน่ะค่ะ

 

ตัวเองไม่ได้เคย "ติด" ถึงขนาดต้องอาศัยการฝึกเพื่อให้เลิก  แต่เนื่องจากเคยไปเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์อยู่ก็เลยเห็นตัวอย่างมาเยอะ

 

ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่นี่แหละค่ะ

 

วิธีฝึกมีอยู่  สถานที่ก็มีอยู่  คนที่เห็นผลก็มีมาก ถ้านับย้อนไป ๒๐ ปีตั้งแต่ตั้งศูนย์มาก็คงหลายหมื่น

 

แค่นับจากที่ตัวเองเห็นช่วง ๓-๔ ปีนี้ก็เป็นเรือนพันแล้ว

 

อ่านเฉย ๆ มันไม่  "เข้า"  ไปใน "ใจ" เหมือนลองทำเองหรอกค่ะ 

 

อันนี้ไม่ได้ว่าเอง แต่พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า

 

ธรรมทั้งหลายไม่อาจทำให้แจ้งไปด้วยกระบวนการถามตอบธรรมดา

 

หากต้องปฏิบัติเองให้แจ้งเข้าไปในใจ

 

จึงจะหายสงสัย

 

ในที่นี้  หมายถึงการเจริญสติน่ะค่ะ

 

พอไปฝึกพื้นฐานเองเป็นแล้ว  มันก็พอจะอาศัยนำมาฝึกใช้ต่อในชีวิตประจำวันได้อีกเรื่อย ๆ

 

แบบไม่ต้องไปอ่านหนังสือเล่มใด ๆ เพิ่มอีกแล้วน่ะค่ะ เรื่องของเรื่อง

 

หรือถ้าอ่าน  ก็คงจะเข้าอกเข้าใจในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น

 

นี่ก็ว่าตามประสบการณ์เล็กน้อยๆ ระดับอนุบาลที่มีอยู่น่ะนะคะ

 

ไม่ต้องเชื่อก็ได้

 

ไม่เชื่อยิ่งดี

 

แต่ต้องไปพิสูจน์ค่ะ  ฮี่ๆๆ

 

สวัสดีค่ะ,

 

ณัชร

มีคำถามนึงที่ไม่อยากสงสัย เพราะรู้ดีว่าถ้าสงสัยแล้วคงต้องเอาหัวชนฝาผนัง ดีกว่าจะฟังคำตอบที่ได้รับ นั่นคือ คนเราดื่มเหล้าทำไม?

     ที่เห็นนั่นไม่สมควรเรียกว่าคนเมาเลยสักนิด น่าจะเรียกว่า ผู้บรรลุแล้วซึ่งความไม่มี(สติ)

     ยังมีคนเมาอีกชนิดหนึ่งที่สลดใจยิ่งกว่ามาก คือคนที่เมาความคิดและปัญญา คนเมาชนิดนี้มีสติครบถ้วนชนิดที่ไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักกระเบียดนิ้ว และเวลาที่คนเมาเหล่านี้อาละวาด ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทั้งยังทนงตัวอีกต่างหาก

     ด้วยเหตุผลร้อยพันอันยกมากล่าวอ้างในการดื่ม มีเหตุผลเดียวที่เขามองข้าม นั่นคือ 'จิต'ของเขาที่เหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าเขาเอง

     ทำไมคนเราถึงดื่มเหล้า? ก็เพราะเขาอยากดื่มน่ะสิ (เมาหรือไม่เมามันไม่ใช่ประเด็นเลย).

สวัสดีค่ะ คุณ อนุเซน รินไซ,

 

มาได้คมคายเหมือนเดิมเลยนะคะ

 

ชอบค่ะ ที่เปรียบเทียบคนที่เมาความคิดและปัญญา

 

อ่้านแล้วก็ต้องสะดุ้งแล้วก็รีบพิจารณาตัว

 

แล้วก็คิดไ้ด้ว่าเราไม่มีปัญญานี่นา ฮ่า ๆ ๆ (หัดหัวเราะแบบเซนค่ะ ฮิ ๆ)

 

จริง ๆ แล้วคิดว่าสติมันก็คงมีสองอย่างน่ะนะคะ  ทั้งสัมมาสติ แล้วก็ มิจฉาสติ

 

แต่้ก็นั่นแหละ  พูดยาวไปมันก็เหมือนเล่นคำ  เพราะในที่สุดแล้วเจ้าตัวแต่ละคนก็รู้ ๆ อยู่ทั้งรู้ล่ะค่ะว่า  "ดื่มทำไม"

 

เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้มั้งคะ?

 

ชอบใจจริง ๆ ค่ะที่คุณอนุเซนบอกว่า  คนเมาปัญญาแล้วอาละวาดคนถ้วนหน้า

 

เข้าใจว่ามีบาลีเรียกกิเลสตัวนั้นโดยเฉพาะด้วย

 

ไอ้เราก็ไม่ใช่นักเลงบาลีเสียด้วย  ไม่แน่ใจ  คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นตัวมานะ

 

จริงเสียด้วยสิคะ  คุณอนุเซน  กิเลสตัวนั้นท่าทางจะน่ากลัวดีแท้

 

น่้าจะเป็นตัวที่เอาคนที่เรียนแต่ปริยัติเสียอยู่หมัด

 

โชคดีที่ตัวเองไม่ได้ขยันเรียนขนาดนั้น ฮี่ ๆ

 

เรียนจากการกระทำมันก็ดูจะสะดวกกาย สบายใจดีฉะนี้แล

 

ขอบพระคุณจริง ๆ ค่ะ  ที่กรุณาแวะมาให้สติ

 

และคำคมอีกมากมาย ในความจริงใจที่มอบให้นี้

 

สวัสดีค่ะ,

 

ณัชร 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท