สืบเนื่องจากมีผู้เข้ามา Post ข้อความถามผม พร้อมแสดงความชื่นชมในความรู้ความสามารถ คำถามนั้นก็คือ รู้มาก ๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองหนักไหม? ผมเห็นว่าเป็นประเด็นน่าสนใจเลยขอนำมาตอบยาวเป็นบันทึกนี้ครับ
ความตอนหนึ่งในคำถาม มีว่า ...
" .. พอผมได้เข้าไปศึกษาผลงานของอาจารย์แล้วรู้สึกว่าเหนื่อยแทนอาจารย์จริง ๆ ครับ เพราะพึ่งจะรู้ว่า คนเราในตัวคน ๆ หนึ่ง ช่างน่าทึ่งเสียเหลือเกินครับ เพราะท่านอาจารย์รู้มากจริง ๆ สาระพัดเรื่องร้อยแปดพันเก้า ไม่ว่า การศึกษา การบริหารจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ อิเล็กทรอนิกส์ การประดิษฐ์ ธรรมะธัมโม สิ่งดี ๆ ที่มีในตัวท่านอาจารย์ช่างมากมายเหลือเกินครับ ถ้าหากท่านอาจารย์ได้นำสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ ของอาจารย์เป็นวิทยาทานแก่คนที่ยังมีอวิชชาอยู่ให้เขาได้ดวงตาเห็นธรรมโลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นเยอะนะครับ และสุดท้ายนี้ขอถามท่านอาจารย์เล่น ๆ ว่า รู้มาก ๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองหนักไหมครับ . "
ผมขอตอบว่า ...
คำว่า "รู้มาก" มีความ หมายเชิงลบ อยู่ด้วย พึงระวัง เช่นในคำถามที่บอกว่า " .. เพราะท่านอาจารย์รู้มากจริง ๆ " อาจแปลได้ว่า เห็นแก่ตัว มากจริงๆก็ได้ แต่เข้าใจว่าคนถามคงหมายถึง มีความรู้มากจริง ๆ เพียงแต่เขียนย่อไปหน่อยเท่านั้นเอง
ผมยอมรับว่า มีความรู้และประสบการณ์หลายด้าน จริงครับ คนเขาพูดกันอย่างนี้เสมอ แต่ส่วนมากมักพูดผิดว่า ผม เก่งหลายด้าน ซึ่งขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ถ้ารู้และทำได้หลายเรื่อง อันนี้ไม่ปฏิเสธครับ แต่ไม่ได้ เก่ง หลายเรื่อง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้ ก็ได้ทบทวนแล้วพบว่าผม ชอบเรียนรู้แทบทุกเรื่องที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ เป็นมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ อยากทำอะไรได้เอง ไม่อยากพึ่งใคร อยากเก่ง อยากเป็นพี่ เพราะผมมีแต่พี่ 5 คน ไม่มีน้อง และเป็นความบ้าประจำตัวอย่างหนึ่งคือ ชอบความท้าทาย ไม่เชื่อ ใคร หรือ อะไร ง่ายๆ ต้องลองทำเองและ ถ้าไม่สำเร็จมักจะไม่เลิก อดหลับอดนอนเท่าไรก็ยอม ขนาดลืมกินข้าวปลาก็บ่อย แต่เดี๋ยวนี้ บ้า น้อยลงแล้วครับ จำได้ว่าครั้งหนึ่งสมัยเรียนชั้นมัธยมต้น เจ้าจักรยานคู่ชีพยี่ห้อ Standard ของผมซึ่งเป็นรุ่นที่มีเกียร์อยู่ด้วย เสียบ่อยในกล่องเกียร์นั่นแหละครับ ผมต้องใช้เกียร์เพราะต้องปั่นจากตัวอำเภอไปบ้านซึ่งห่างออกไปราว 9 กม. และต้องข้ามเนินเขาสองครั้ง ไม่มีเกียร์ช่วยก็ปั่นขึ้นไม่ค่อยไหว .. ร้านซ่อมที่ชำนาญที่สุดเขายอมแพ้ บอกว่า ซ่อมไม่ได้ ผมเถียงในใจว่า มันต้องได้ แล้วก็เอามาถอดรื้อเอง ค่อยๆดู ค่อยๆทำไป สปริงตัวไหนอยู่ตรงไหน วาดรูปจดเอาไว้ อะไหล่ไม่มีก็ดัดแปลงเอาบ้าง จำได้ว่าแก้ได้สำเร็จ แม้ว่าจะไม่ดีเหมือนเดิมก็ตาม ของแถมที่มีค่าคือตอนนั้นผม รู้เรื่องเกียร์จักรยานทะลุปรุโปร่ง เลยทีเดียว .. นอกนั้นก็เป็นเรื่องบ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผมประกอบ ดัดแปลงเครื่องรับ-ส่งวิทยุ จนประกอบวิทยุขายได้มาตั้งแต่ชั้นมัธยมเช่นกัน ที่สนุกมากกว่าคืองานซ่อมครับ พออาการแปลกๆมาทีหนึ่งก็ สนุกแทบตาย ทีหนึ่ง หมายถึงใจตื่นเต้น-สนุกที่ได้สู้กับมัน บางทีนั่งหลังขดหลังแข็ง วัน สองวันกว่าจะเจอสาเหตุและแก้ปัญหาได้ พอทำได้ก็ไชโยในใจว่า ชนะแล้ว ซ่อมฟรีก็ยินดีครับ ผมเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาจากการมองปัญหาว่าคือ เครื่องท้าทาย พอใครบอกว่ายาก หรือทำไม่ได้ก็จะ ตาลุกวาว ขึ้นมาทันที พร้อมบอกตัวเองในใจว่า มันต้องทำได้ และส่วนมากผมก็หาทางทำจนได้ และ เป็นโอกาสทอง ที่ได้เรียนรู้สิ่งที่คนอื่นยังไม่รู้
ผ่านมาหลายปีก็ยังไม่วาย ออกอาการดังกล่าวอยู่อีก เช่น 4-5 ปีมาแล้วท่านคณบดี ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า หัวหน้าคณะวิชา คือ ดร.อรุณี สำเภาทอง บอกว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาและเทคโนโลยีการศึกษา จากเวียตนามจำนวน 16 คนมาเยี่ยม ซึ่งดูตามคุณวุฒิแล้ว ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่จบปริญญาเอก อายุเฉลี่ยก็ไม่ต่ำกว่า 50 ผมเองนั้นมีคำนำหน้าชื่อว่า "นาย" เรียนในระบบมาก็น้อยนิด น่าจะปฏิเสธ แต่ผมกลับรับปากโดยไม่ลังเล เพราะอยาก ลองของ
งานนี้ต้องบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ และให้ล่ามแปลเป็นภาษาเวียตนามครับ .. ผมคิดๆดูแล้ว ตัดสินใจไม่ค้นคว้าตำราใดๆมาอ้างอิง เพราะมีความเชื่อมั่นในใจว่า สิ่งที่ผมจะพูดได้ ดัง และ ชัด ที่สุดน่าจะต้องเป็นเรื่องที่ผม รู้ และ เห็น มาแล้ว ด้วยตัวเอง ไมใช่อ่านตำรา หรือ เอาขี้ปากใครมาบอกต่อ จึงตัดสินใจตั้งหัวข้อว่า ..
" How to Face the Flood of Modern Technology in Our Changing World ? " แล้วก็มานั่งลำดับความคิด พิมพ์ไปเรื่อยๆใน PowerPoint
งานนี้สำเร็จเกินคาดหมายครับ พูดจบเขามาแสดงความชื่นชม มอบหนังสือ แจกนามบัตร เชิญชวนเราไปเยี่ยมที่เวียตนาม ฯลฯ ทำเอาเรารู้สึกเหมือนเป็นดาราไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ สติ จะมาเตือนว่า "อย่าบ้า"
อีกกรณีหนึ่งคือเมื่อ 2-3 ปีมานี้ ท่าน ดร.อรุณี อีกนั่นแหละ ย้ายไปอยู่สถาบันอื่นแล้ว โทรมาบอกว่า กลุ่มอาจารย์ (ส่วนมากเป็นวิศวกร) จากปากีสถานที่มาอบรมตามหลักสูตรพัฒนาการเรียนการสอน แสดงความไม่ชอบใจที่มีอาจารย์มาสอนเทคโนโลยีการศึกษาเป็นภาษาไทย แล้วให้คนแปลเป็นอังกฤษ เขาบอกว่ารำคาญ จึงขอผมให้ไปช่วยหน่อย ก็รับปากด้วยความรู้สึก อยาก ลองของ อีกแล้ว .. เจอกันวันแรกโดนพ่อหนุ่ม วิศวกร จากปากีสถาน ลองของ จริงๆครับ แต่ก็เหมือนสิ่งท้าทายอีกตัวหนึ่ง ให้ผมได้นึกสนุกกับมัน สุดท้าย Happy Ending ครับ ปราบได้ราบคาบ ชนิดที่ไม่เหลือพยศให้เห็นอีกเลย ผมทำอย่างไร คงต้องเอาไว้เล่าเป็นอีกบันทึกหนึ่งจะดีกว่าครับ ..
รายละเอียดเพื่อสนับสนุนความเชื่อที่ว่าผมมีประสบการณ์หลายด้าน ทำอะไรได้หลายอย่าง พอจะมีอ้างอิงได้บ้าง จาก บันทึกนี้ และ นี้ ครับ แต่ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้บอกใคร ก็คงได้ทะยอยมาบอกกล่าวกันผ่าน Blog นี้ในโอกาสต่อๆไปครับ ..
มาถึงบรรทัดนี้ ผมรู้ดีว่ายังไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นความตั้งใจที่จะเขียนสิ่งที่อยากบอก และเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ถามเสียก่อน ตัวคำตอบมีนิดเดียวครับ .. เมือถามว่า ..รู้มาก ๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองหนักไหม?
ขอตอบว่า ไม่หนักเลย ตรงกันข้ามครับ กลับ เบาสบาย ยิ้มได้ทุกที่ที่เราไป ก็เพราะรู้หลายเรื่องนี่เองทำให้เราถูกเรียกใช้หรือขอความช่วยเหลือ ตั้งแต่ ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ทั้งที่ขอ คำแนะนำ และขอให้ช่วย ทำ จริงๆ ผมจึงต้องพกกระเป๋าใบโตและอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ในนั้นจะมีเครื่องมือ อุปกรณ์สารพัด ทั้งที่ซื้อมาและคิดดัดแปลงสร้างเอง ช่วยเขาได้ทีหนึ่งก็สุขใจ อิ่มใจครั้งหนึ่ง เบาสบาย จริงๆครับ ไม่หนักเลย คนชอบถามผมว่า ไม่เหนื่อยบ้างรึไง คำตอบคือ เหนื่อย แต่มีความสุข และรู้สึกว่า ชีวิตมีค่า ครับ
จริงครับอาจารย์ "เหนื่อยแต่มีความสุข" เป็นผมก็ยอมเหนื่อยครับ โดยเฉพาะหากเราทำแล้วผลประโยชน์เกิดขึ้นกับเด็กๆ นอกจากมีความสุขแล้วยังเกิดความภูมิใจครับ
อยากรู้เหมือนกันว่าใครบ้างที่แบกความรู้ไว้มากๆ แล้วคิดว่าหนัก ผมมีความเห็นเป็นสองประเด็นนะครับ
1. ไม่หนัก = ความรู้ไม่มีน้ำหนักที่เป็นปัญหาต่อการแบกรับไว้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรหยุดรับความรู้ต่างๆ มาแบกไว้ เพราะคนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดทั้งชีวิต
2. หนัก = หากคุณคิดว่าความรู้ที่แบบอยู่หนัก...คุณก็แบ่งความรู้ให้กับผู้อื่นสิครับ เพื่อที่จะได้ผ่อนภาระการแบกรับความรู้ของคุณไป ได้บุญเป็นวิทยาทานด้วยนะครับ
ในส่วนตัวผมคิดว่าไม่ใช่ภาระหนักหนาอะไร จึงชอบที่จะแสวงหาความรู้มากแบกไว้เสมอ
ตอนนี้ผมก็แบกของอาจารย์ไว้หลายเรื่องแล้วครับ..ซึ่งก็ต้องขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง
เห็นด้วยกับความคิดของอาจารย์ และขอแจ้งให้ทราบว่าผมได้เปิดblog แล้วในชื่อว่า "ร่วมคิดด้วยคน"
ผมชื่อ ประเสริฐ นุนาบี นักศึกษาโครงการอบรมผู้บริหาร รุ่น 4 มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม
วันนี้ยังไม่เขียนบันทึก แต่จะลงมือเขียนเร็วๆ นี้ ครับ
ขอให้อาจารย์แวะเข้ามาเยี่ยมชมบ้างนะครับ
อาจารย์พินิจ ครับ
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ครับ
ความรู้ยิ่งมาก ยิ่งเบา ครับ
รู้น้อย ยิ่งหนักครับ รู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งหนักเท่านั้น เพราะเมื่อเรารู้น้อยเราก็จะแบกอะไรไว้มากมาย
ที่พระท่านว่า...แบกไม่ไหว วางไม่เป็น ลำเค็ญไปทั้งชาติ...นั่นล่ะครับ
พอรู้มาก เราก็จะเข้าใจชีวิตไปในลักษณะของ แบกไหว วางเป็น เย็นไปทั้งชาติ
กลับกันเลยนะครับ
อาจารย์เห็นด้วยไหมครับ..
อ่านแล้ว ไม่ได้ทึ่งในความเก่งของอาจารย์นะคะ แต่ทึ่งที่อาจารย์เผื่อแผ่ความรู้ของอาจารย์ให้พวกเราได้ร่วมรับรู้ด้วย
อยากบอกว่า Handy คงมีความหมายถึง โอบอุ้ม อุ้มชู คงไม่ผิด ใช่ไหมคะ
เจริญพรอาจารย์
สัจจกนิครนถ์ (ชื่อนักบวชนอกพระพุทธศาสนา) สั่งให้สานุศิษย์ตีเหล็กเป็นแผ่นแล้วดามทำเป็นวงไว้รอบท้องโดยอ้างว่า ตัวเองมีความรู้มาก เกรงว่าท้องจะแตก จึงต้องมีแผ่นเหล็กดามไว้ ...(เรื่องอีกยาวครับ)
ฉะนั้น ใครก็ตามที่รู้ตัวว่ามีความรู้มากๆ ก็ควรที่จะใช้แผ่นเหล็กดามไว้ที่ท้อง ไม่เช่นนั้นท้องจะแตกเพราะความรู้ทะลักออกมา ...(5 5 5)
เจริญพร
ตามมาดูของหนักครับ...
...อาจารย์เป็นสุดยอดบุคคลแห่งการเรียนรู้แล้วอ่ะครับ...สมควรให้พวกเราติดตามจริง ๆ ...
เรื่องรู้มาก(หรือว่ารู้อะไรมากๆ)รู้น้อย...เป็นการคาดประมาณที่คนเราประเมินจากสมมติฐานของแต่ละคน... ซึ่งไม่สามารถเทียบเคียงได้การการรู้แจ้ง...ซึ่งรู้ได้เฉพาะตนอ่ะครับ...
เรื่องหนักหรือเบา...ผมเห็นว่าเป็นความรู้สึกของคน ๆ หนึ่งที่เอาไปวัดหรือเทียบเคียงกับใครก็ลำบากครับอาจารย์...
ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันก็ได้...ไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้(สำนวนที่ซึมซับจากพระอาจารย์ชัยวุธอ่ะครับ...อิอิ)...เป็นปฏิภาคโดยตรงก็ได้ เป็นปฏิภาคผกผันก็ได้...
รู้มากหรือไม่...ทุกคนเกิดมาจนป่านนี้ไม่มีใครรู้น้อยหรอกครับ(โรคขัดคอกำเริบ...อิอิ)
ถ้ารู้สึกหนัก...อาจเป็นเพราะ รับรู้แล้วไม่เลือกเฟ้น(เฉพาะที่เป็นวิชชา)... เลือกเฟ้นแล้ว...ไม่ปล่อยวาง
ยอมรับว่าองค์ความรู้ของอาจารย์ หาคนเทียบเคียงได้ยากจริง ๆ ครับ...
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็นที่ได้ช่วยกันต่อยอด ขยายให้กว้าง และหลากหลายมากขึ้นครับ
ด้วยความเคารพอีกครั้งคะอาจารย์
ที่หนูบอกว่า ไม่ได้ทึ่งในความเก่งของอาจารย์ เพราะมันเกินกว่าคำว่าทึ่งค่ะ มันมีความหมายมากกว่านั้น นั่นคือ ความศรัทธา อยากเปรียบอาจารย์เป็นเสมือน ครูผู้ให้ จริง ๆค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์พินิจ ดิฉันได้เข้ามาอ่าน
รู้อะไรมากๆแล้วหนักมั้ย? ได้อ่านบทความนี้แล้วมี
ความรู้เพิ่มมากขึ้นและมีความคิดเพิ่มเข้ามาบ้าง
ความรู้ที่อาจารย์ให้เป็นวิทยาทานที่มีค่ามากค่ะ
"รู้สิ่งใด ไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดคน"
อาจารย์โสภณ ..
ขอบคุณมากครับ .. หากไม่มีคำถามของท่าน ความคิดที่จะเขียนของผม ก็ไม่เกิด สรุปว่าเพราะท่านถาม ผมถึงได้คิด และเขียน จนเป็นเหตุให้ได้อ่านความคิด ความเห็นของอีกหลายๆท่าน ดังที่ปรากฏไงล่ะครับ
เรื่องที่ว่าเห็นแว้บเดียวแล้วหายนั้น .. จริงๆก็อยากอยู่ร่วมฟังวิทยากรด้วยเหมือนกันครับ แต่ติดงานอีกรายการคือเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ นักศึกษาที่กำลังจะรับเข้ามาใหม่ เลยเข้ามาแว้บเดียวเพื่อบอกว่าตอนเย็นจะขอมาพบพวกท่านและคุยด้วยสัก 4-5 นาที และผมก็ได้มาตามนัด ได้บอกกล่าวเรื่องงานและการแบ่งกลุ่ม ฯลฯ ไม่แน่ใจว่า ท่านอยู่หรือกลับไปก่อน ยังไงก็สอบถามสมาชิกท่านอื่นได้ครับผม และอย่าลืมไปติดตาม ที่ .. http://learners.in.th/blog/innoworld ด้วยนะครับ
อ่าว...กลายเป็นอาจารย์โสภณหรอกหรือครับ....ที่จุดประกาย....5555
โลกเราก็ประมาณนี้แหละครับ...คอมฯที่เราซื้อมา...จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราก็มิได้... แย่งลูกเล่นก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ผมตกที่นั่งเดียวกับอาจารย์ครับ...
แต่ของผมแย่กว่า...เพราะแม่กับลูกเขาพิมพ์สัมผัสได้...เขาเลยไม่ยอมหาคีย์บอร์ดมาทดแทนภาษาไทย ที่เลือนหายไป...ผมยื้อแย่งมาได้ก็พิมพ์ไม่ถนัด...ทั้งแม่ทั้งลูกก็ไม่ปลื้ม...จบ.....5555
สวัสดีครับอาจารย์ พินิจ
การได้รู้อะไรมากๆจะเรียกว่าหนักหรือเบาคงไม่สามารถหาเครื่องมือใดมาชั่งเพราะการได้รู้อะไรถือเป็นประสบการณ์ที่สามารถจะนำมาประยุกค์หรือพัฒนาตามความต้องการของแต่ละบุคคลปัญหาอยู่ที่ว่าอยากจะรู้อะไรมากๆอยากจะรู้อะไรทั้งหมดสุดท้ายกลับไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่ทำให้คนคิดว่ามันหนักในความรู้สึก
....เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ
นาย วุฒิพงษ์ อินทิแสง (max นิคดอน)
หลักสูตร ป.บัณฑิตบริหารการศึกษา รุ่นที่ 4 มรภ. จันทรเกษม
คุณโสภณครับ...
ปัญหาลูกติดคอมฯนี่...ผมก็ยังแยกแยะไม่ถูก...ว่ามีข้อดีข้อเสียมากน้อยเพียงใด....
ที่จริงผมไม่อยากโทษกระแสสังคมเลยนะครับ... แต่ว่า...พอเขาไปโรงเรียน... เพื่อนทั้งห้องคุยกันเรื่องนี้...แล้วถ้าเขาไม่รู้เรื่องเลย....ก็ไม่มีเพื่อนคุย(แบบได้จัย...อิอิ)
ครั้นจะให้เขาปลีกตัวออกจากสังคม...ทำแต่สิ่งที่เราคิดว่าดี... แต่ไม่มีเพื่อนฝูง.... อันนี้ก็ลำบากครับ...(ดูตัวอย่างเราเองก็เถอะ....ต้านทานกระแสสังคมได้ยาก)
สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือ...ทำความเข้าใจกับความจริงในชีวิตอ่ะครับ...(แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นบรรลุธรรมขั้นสูง) แล้วตั้งสติคอยวิเคราะห์ เหตุ-ผล ความเป็นไปของชีวิตให้เขารับรู้...
ผมบอกเขาไว้ว่า...ไม่จำเป็นต้องเชื่อพ่อในวันนี้... แต่เมื่อไรที่เกิดความทุกข์... ความสงสัยในชีวิต... ก็กลับมาคุยกับพ่อ....
สวัสดีค่ะอาจารย์พินิจ
หนูได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้รุ้สึกถึงเรื่องงานต่างๆที่อาจารย์ มอบหมายให้ทำจะน้อยกว่าที่อาจารย์เขียนนัก แต่หนูคงได้ไม่ถึงครึ่งของอาจารย์ เพราะว่าหนูจบมาน้อย ( กศน ) หนูยอมรับว่าเวลาอาจารย์สอนบางครั้งหนูไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ต้องคอยถามเพื่อนๆเสมอ ถ้าอาจารย์จะกรุณาช่วยสอนหรือพูดให้ช้าลงได้ใหมค่ะ หนูต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยที่หนูอาจจะใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม
นายขำครับ
ขอบคุณนายขำมากครับ ที่ให้ข้อคิดถึงการบ่นของผมถ้าได้รับการชี้แนะก็ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้เหมือนนะครับ การทำความเข้าใจกับชีวิตคือสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนอย่างที่ว่าหละครับ แต่บางครั้งดวงตาก็มืดมน(กิเลสครอบงำ)มองไม่เห็นธรรมเหมือนกันนะครับ บางทีความทุกข์ของคนก็คือการที่อยากให้คนอื่นคิดหรือชอบเหมือนเรา ซึ่งก็ถือว่ามีแต่โลกส่วนตัวโดยลืมคิดถึงผู้อื่น ขอบคุณข้อคิดดี ๆ ครับ