จากความสำเร็จในการจัดการความรู้เรื่องดินตามโครงการฟ้าสู่ดิน ของครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสาน จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีปรามาจารย์ด้านดินอย่างท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.แสวง รวยสูงเนิน จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษา ทำให้พี่น้องเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมแบบประณีต 1 ไร่ ในโครงการมีชีวิตชีวา มีความกระชุ่มกระชวย มีกำลังใจในการที่จะปลูกพืช เพราะหลังจากที่ได้มีการจัดการความรู้เรื่องดินแล้วทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นปลูกอะไรลงไปก็ได้กิน แถมโรคแมลงก็ไม่ค่อยมารบกวน ส่งผลให้พี่น้องเกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องรอความหวังลมๆ แล้งๆ อีกต่อไปแล้ว นี่แหละครับจึงเป็นที่มาของคำว่า "ถ้าดินดี ชีวิตดี แน่นอน"
เมื่อวานผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สรวงธร จากกลุ่ม wearehappy ที่มาติดต่อเกี่ยวกับหนังสือเรื่องการจัดการความรู้ที่ สคส. และก็ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้พอหอมปากหอมคอ จากนั้นพอพี่เขารู้ว่าผมจบเกษตรมาเลยได้โอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องดิน พี่เขาเล่าให้ฟังว่า เมื่อเดือนที่แล้วได้แนะนำหลานชายที่ยังไม่มีงานทำ ให้ไปปลูกไม้ผล และพวกพืชผักที่ต่างจังหวัด (ซึ่งปัจจุบันพ่อแม่ก็เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว) แล้วหลานชายก็ตอบกับพี่เขาว่า มันปลูกไม่ได้หรอกเพราะดินมันไม่ดี ปลูกได้ก็ไม่โต สุดท้ายมันก็ตาย พี่เขาก็ไม่รู้จะแนะนำหลานชายอย่างไรดี เพราะตนเองก็ไม่มีความรู้เช่นกัน สุดท้ายเนื่องจากเวลามีจำกัดก็เลยให้แต่เบอร์โทรเอาใว้เพื่อจะได้ติดต่อกันอีกครังหนึ่ง
จากคำบอกเล่าของพี่สรวงธร จึงทำให้ผมต้องย้อนคิดทบทวนและย้อนถามตนเอง นี่หรือครับลูกเกษตรกรไทย หลังจากที่เคยทำไร่ทำนาตามบรรพบุรุษแล้วพอมาเรียนหนังสือ เรียนจบหางานทำไม่ได้แล้วไม่สามารถหวนกลับไปปลูกพืชผัก และไม้ผลได้ ตามรอยของบรรพบุรุษนั่นแสดงให้เห็นว่าไม่เข้าใจในเรื่องของดิน แม้กระทั่งบรรพบุรุษเองก็ตามทำการเพาะปลูกมาตลอดชั่วอายุไขก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าพืชต้องการอะไร และจะปรับปรุงดินให้เหมาะกับพืชได้อย่างไร จึงไม่สามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานได้
ครับจากคำบอกเล่าดังปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ผมนึกถึงพี่น้องเกษตรกรทั่วๆไป ที่ทำหน้าที่การผลิตตามๆ กันมาโดยไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ของความต้องการของพืชที่ปลูก จึงเกิดคำถามในใจว่าแล้วเราจะช่วยพี่น้องเกษตรกรเหล่านั้นได้อย่างไร คงเป็นโจทย์ให้พี่น้องช่วยกันคิดต่อนะครับ
นั่นเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ นะครับ ทีนี้เรามาดูในส่วนของฝันที่เป็นจริงกันบ้างนะครับ จากความสำเร็จของโครงการฟ้าสู่ดินในการปรับปรุงบำรุงดินว่าเขาทำกันอย่างไรต่อนะครับ
โครงการฟ้าสู่ดินจะเน้นในเรื่องของการทำอย่างไรที่จะให้ดินมีชีวิต นั่นก็หมายความว่าดินมีระบบการหมุนเวียนธาตุอาหารในดินได้ดี และจากตัวอย่างความสำเร็จของคุณองอาจ กาบินทอง หนึ่งในสมาชิกของโครงการฯ ได้เล่าให้ฟังว่าในการที่จะทำให้ดินดีได้นั้นประการแรกเราต้องเข้าใจหลักของการปรับปรุงเรื่องดินก่อน แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ จากนั้นจึงได้นำเอาพวกเศษใบไม้แห้งมาทำปุ๋ยหมัก และผสมกับปุ๋ยคอก บางส่วนนำไปคลุมหน้าดิน
นอกจากนั้นได้ปลูกพวกพืชตระกูลถั่ว เช่นถั่วลิสง ถั่วเขียว งา หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เราจะไม่ปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่า และสุดท้ายก็จะทำให้ดินดีขึ้นตามลำดับ
หลังจากฤดูกาลทำนาจะทำการไถกลบตอซัง แล้วจะหว่านพวกพืชตระกูลถั่วคลุมหน้าดินเอาไว้ ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องพึ่งปุ๋ยเคมีอีกต่อไปแล้ว ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้มากทีเดียว
นอกจากการบำรุงด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักแล้วยังมีการผลิตน้ำหมักชนิดต่างๆ ในการบำรุงให้กับต้นพืชอีกด้วย
จากแนวทางดังกล่าวทำให้เราเห็นว่ากระบวนการคิด และการจัดการความรู้ในสิ่งที่เป็นอาชีพของตนเอง เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะอยู่รอดได้ในอาชีพของตนโดยไม่ต้องพึ่งพาจากภายนอก สุดท้ายเราก็จะสามารถยืนหยัดได้ในอาชีพของตน
ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์
5 มกราคม 2550
สวัสดีครับท่านอาจารย์อุทัย
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
ด้วยความจริงใจครับ
ถึง อาจารย์ปภังกร
ยังคิดถึง ยังเป็นเพื่อน และพี่ที่ดีตลอดไปครับ
ขอบคุณมากครับ
พี่อุทัย
ดินดี กับดินราคาดี บางแห่งอาจจะแตกต่างกัน
ดินหนึ่ง ปลูกพืชผักงอกงามดี
ดินหนึ่ง ปลูกตึกดี
การปรับปรุงดินจึงแตกต่างกัน บางเรื่องต้องทำให้ดินร่วนซุย บางเรื่องต้องการบดอัดแน่นดิน เรื่องของดินจึงขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับดิน
ดินที่แพงที่สุดในโลก คือ ดินที่เอามาปั้นพระสมเด็จ แพงกว่าเพชรเสียอีก แถมยังหายากอีกต่างหาก คำจำกัดความของดินดี ต้องบอกก่อนว่าจะอธิบายในกรณีของการทำอะไร
ขอบคุณมากครับท่านครูบาสุทธินันท์
ด้วยความเคารพ
อุทัย
เพิ่มเติมครับ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับแนวทางนี้ เพียงแต่เกษตรกรต้องรู้ด้วยว่าดินของตนเองนั้นคือดินประเภทใหนเช่น ดินเหนียว ดินร่วน ดินร่วนทราย เป็นดินดาน หรือเป็นดินลูกรัง และตัวของเกษตรกรเองจะปลูกพืชอะไร ต้องทราบพันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆด้วย ว่าชอบดินประเภทใหน ชนิดใด
เพื่อเป็นการลดค่าแรงงาน ค่าใช่จ่าย และเวลาที่ต้องสูญเสียไปกับการแกล้งดิน แล้วจึงทำการแกล้งดินให้เหมาะสมกับพืชนั้นๆ อีกอย่างครับต้องไม่ลืมเรื่องน้ำด้วยนะครับ เพราะเป็นองค์ประกอบอีกตัวหนึ่งที่สำคัญมากทีเดียวเลยครับ ยกตัวอย่าง เช่นแกล้งดินจนเหมาะแก่การปลูกปาล์มแล้ว แต่ถ้าบริเวณนั้น ขาดน้ำ เช่นฝนตกน้อย น้ำใต้ดินไม่มี ฤดูแล้งยาวนานติดต่อกันเกิน 2 เดือน รับรองได้เลยว่าดินที่ว่าดีนั้นก็คงไม่เหมาะแก่การปลูกปาล์มเช่นกัน ฟัง คิด วิเคราะห์ อย่าเพิ่งเชื่อเสียทีเดียว หาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ด้วย บางครั้งตัวเกษตรการเอง พอรับทราบข้อมูลอะไรมาแล้วก็เชื่อเลย โดยขาดการวิเคราะห์ที่ดี เพราะบางครั้งแนวทางใด แนวทางหนึ่งนั้นอาจไม่เหมาะ กับดิน และต้นทุนของเกษตรกร ปลูกพืชด้วยใจ จะปลูกอะไรก็ได้
ด้วยความปราถนาดี