เรื่องเล่าของครู


ชะตาชีวิต

          ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟัง ถึงแม้ว่าออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่มันก็เป็นเรื่องที่ประทับอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าเท่าวันตาย....เอาละนะจะเล่าให้ฟัง...ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน มีอาชีพทำไร่..ข้าพเจ้ามีภูมิลำเนาอยู่ จ.ชัยภูมิ ..และข้าพเจ้ามีพี่น้องทั้งหมด 6 คน ข้าพเจ้าเป้นคนที่ 5 มีพี่สาว 3 คน พี่ชาย 1 คน และน้องชายสุดท้อง 1 คน รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่แสนดีก็ รวมทั้งหมด 8 คน...(เยอะใช่ไหม? ...หลายคนคงตอบว่าใช่...ข้าพเจ้าก็เช่นกัน...

     คุณพ่อของข้าพเจ้าเป็นคนที่มีความรู้ดี(ท่านเคยบวชเรียน)แต่ท่านไม่เคยมีโอกาสได้รับราชการ......เลยต้องเป็นชาวไร่

คุณแม่เรียนจบป.4 แต่มีวาทะในการพูดคุย และคิดดี..มีไอเดียดี(เรื่องของงานถักทอผ้า) พี่ๆของข้าพเจ้าทุกคนเรียนหนังสืออยู่ในเกณฑ์ดีเกือบทุกคน บางคนได้รับทุนการศึกษาให้เรียนต่อแต่..รับโอกาสนั้นได้เพราะต้องเลี้ยงดูน้องๆช่วยกัน..

     ข้าพเจ้าก็เกือบจะไม่มีโอกาสได้เรียน...ข้าพเจ้าและพี่ๆจบ ป.6 กันทุกคน..และต้องจบการศึกษาสูงสุดไว้เท่านั้น..ข้าพเจ้าก็เช่นกัน พอจบ ป.6 ข้าพเจ้าก็ต้องทำหน้าที่เหมือนคนอื่นๆข้าพเจ้าต้องออกไปช่วยพี่ๆทำงานที่ไร่..ทั้งที่ข้าพเจ้าทำคะแนนสูงสุดกับเพื่อนอีก 1 คนในชั้น ป.6 แต่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสเพราะต้องไปเรียนไกลถึงอำเภอที่อยู่ห่างเกือบ 40 กม.ระยะทางไม่เท่าไหร่แต่สภาพภูมิประเทศสิลำบากยิ่ง..นั่นเป็นเหตุผลประการหนึ่ง แต่ที่สำคัญข้าพเจ้าเป็นผู้หญิง และไม่มีเงินที่จะเสียค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียน  ..ข้าพเจ้าจึงต้องยอมรับชะตากรรมในวันนั้น....

       1 ปี เต็มที่ข้าพเจ้าต้องต้องฝืนตัวเองเพื่อทำงานช่วยเหลือครอบครัว..แต่ข้าพเจ้ามีโรคประจำตัวคือตาเป็นโรคต้อลม..ถ้าหากต้องตากแดด..ตากลม(อ่านว่าตาก-ลม นะจ๊ะ) ก็จะมีอาการเจ็บปวดที่ตาและมีสีแดงมากจนน่ากลัว....เรื่องนี้คนในครอบครัวรู้ดีโดยเฉพาะคุณพ่อ...ท่านเป็นคนที่แสดงให้เห็นว่าท่านเห็นใจข้าพเจ้ามาก..และอีกคนก็คือพี่สาวคนโต...

    และแล้ววันหนึ่งก็มีโรงเรียนจากอำเภอมาเปิดสอนเป็นโรงเรียนสาขาที่หมู่บ้านข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ารู้ข่าวจากเพื่อนๆ..นอนคิดอยู่หลายวันว่าจะสมัครเรียนดีมั้ย...ข้าพเจ้ารู้สึกเกรงใจคนอื่นๆเป็นอย่างมาก..ข้าพเจ้าจึงได้พูดคุยกับพี่สาวคนโตเรื่องการสมัครเรียน.พี่สาวก็เห็นดีด้วยจึงบอกให้ข้าพเจ้าไปสมัครแต่บุคคลที่ข้าพเจ้ายังไม่กล้าเอ่ยปากขอก็คือ...คุณแม่ของข้าพเจ้านั่นเอง....ข้าพเจ้าจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปขอกับคุณแม่ที่กำลังนอนเป็นไข้อยู่...ข้าพเจ้าได้รับคำตอบที่ไม่เต็มใจมากนักของคุณแม่..ท่านก็คงกลัวว่าจะเป็นการเอาเปรียบและเป็นภาระของคนอื่นเกินไป...แต่สุดท้ายท่านก็ยอม(ทั้งที่ต้องลำบากใจนักหนา)..

     ข้าพเจ้าจึงรับปากกับแม่ว่าขอเรียนต่อแค่ ม.3 ก็พอ...แต่การเรียนชั้น ม.1-3 ข้าพเจ้าก็พยายามทำคะแนนให้ดี ทั้งที่ข้าพเจ้าต้องำหน้าที่หลายอย่างเช่น..รองประธานนักเรียน นักกีฬา..ของโรงเรียน..งานสหกรณ์และอื่นๆที่โรงเรียนดำเนินการ...3 ปีก็เป็นเวลาไม่มากไม่น้อย..แต่โรงเรียนที่เปิดใหม่ เป็นสาขาก็นับว่ายังไม่พร้อมเท่าไหร่..บางวันฝนตกคุณครูเดินทางขึ้นเขาไปสอนไม่ได้ก็อดเรียน(ลืมบอกว่าบ้านข้าพเจ้าอยู่บนสันเขาหรือหลังเขาของภูแลนคา)มีเพียงคุณครู 1 คนเท่านั้นที่ประจำอยู่ที่โรงเรียน พวกเราจึงต้องเรียนแบบบูรณาการบ่อยๆ บางครั้งรุ่นพี่ก็ต้องสอนรุ่นน้องกันเอง...

     โดยเฉพาะห้อง ม.3 ของข้าพเจ้ามีเพื่อนๆที่อายุแตกต่างกัน 3 ปี 5 ปี อายุน้อยก็มี...เอาเป็นว่ารวมมิตรก็ว่าได้...มันก็เลยสนุก...พอข้าพเจ้าจบ ม.3 หากจะเรียนต่อต้องไปเรียนที่อำเภอ..มันจึงเป็นเริ่องยากสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้าที่ไม่เคยมีใครได้ไปไกลจากครอบครัวสักคน...

    ข้าพเจ้าก็คิดแล้วคิดอีกว่าหากไม่เรียนต่อชีวิตของข้าพเจ้าก็ต้องอยู่กับไร่-นา ไปแบบนี้ตลอดชีวิต....ภาพเหล่านี้ปรากฏอยู่ในหัวสมองของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้ามีลุกฮึดอีกสักครั้ง...ข้าพเข้าปรึกษาพี่สาวคนโตก่อน..แล้วไปพูดคุยกับคุณพ่อ..คำตอบนั้นทำให้ข้าพเจ้าดีใจยิ่งนักเพราะทั้งพี่และพ่อต่างเห็นด้วย..แต่ที่ข้าพเจ้าลำบากใจก็คือต้องไปขอกับคุณแม่อีกคน...ข้าพเจ้ารวบรวมความกล้าอยู่นานในที่สุดก็ต้องเสี่ยง...เหมือนเดิมค่ะ..คุณแม่บอกว่า เราเป็นผู้หญิงเรียนไปก็คงต้องมีลุก มีสามี กลัวว่าจะไปไม่ถึงฝั่ง...และอีกเหตุผล..รายได้จากการทำไร่-นาก็ไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว...น้ำตาของข้าพเจ้าเอ่อล้นจนไหลออกมา...มันก็จริงอย่างที่แม่ว่า..เราจน..จึงต้องเสียโอกาสนั้นไป...

     ค่ำคืนนั้นข้าพเจ้าก็ทานอาหารเย็นไม่รู้รส..ทุกคนในครอบครัวรู้ดี..เรื่องของข้าพเจ้าจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมีการหยิบยกมาพูดกันพร้อมกับการรับประทานอาหารในวันนั้น..แต่มันไม่ได้มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของข้พเจ้า...เพราะมันอาจเป็นการเห็นแก่ตัวก็ได้...มีการพูดคุยกันไปหลายประเด็น หลายแง่ทั้งดีและไม่ดี..ข้าพเจ้าได้แต่นั่งฟัง...แต่น้ำตาเอ่อล้นมาหลายครั้ง...ในที่สุดพี่สาวคนที่ติดกับข้าพเจ้าและน้องชาคนสุดท้องก็ออกปากรับอาสาที่จะออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเพื่อให้มีรายได้ส่งเสียข้าพเจ้าให้ได้เรียนตลอดรอดฝั่ง...และข้อสรุปวันนั้นก็คือข้าพเจ้าได้เรียนต่อ ม.4-6 ที่โรงเรียนในอำเภอ...

        นับเป็นเวลาที่มีค่ายิ่งนัก เพราะข้าพเจ้าได้เข้าเรียนให้ห้อง 1 ซึ่งถือว่าเพื่อๆทุกคนเก่งๆกันทั้งนั้นแต่ไม้ได้รวมถึงตัวข้าพเจ้า..เพราะข้าพเจ้าอยู่ท้ายแถวอีกเช่นเคย...แต่สิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่มีค่านอกเหนือจากในห้องเรียนก็คือ..กิจกรรม..ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มากมายจากการทำกิจกรรม..ข้าพเจ้าเป็นนักกีฬาโรงเรียน เป็นรองประธานนักเรียนอีกเช่นเคย เป็นคณะกรรมการดำเนินงาน สร...เป็นเยาวชนอาสาฯของชมรม..(อีกเช่นเคย)..

       ในแต่ละวันข้าพเจ้าต้องตื่นแต่เช้า...ไปซื้อน้ำตาล มะพร้าว มะตูม.ฯลฯ ไปต้มน้ำหวานขายโครงการ สอร.ก่อน 07.50 น. และนำทำกิจกรรมหน้าเสาธง 07.55-08.20 น. และเรียนเช้า พักเที่ยงขายน้ำ บ่ายเรียน เย็นซ้อมกีฬา กลางคืนมาเรียนพิเศษที่โรงเรียน..เฮ้อเหนื่อย...ก็ต้องทน.ทนทน..จนในที่สุดก็จบม.6 เย้ดีใจสุดๆ ได้เกรดแค่..2.34 เอง

        แต่ก็ยังเหมือนยังมีอะไรคาใจก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี..จะเรียนจะออก..จะไปไหนไม่รู้เลย มืดมนไปหมด ในขณะที่เทอมสุดท้ายเพื่อนๆมีที่เรียนไปกันหมดแล้ว..เราก็เทียวไปเลี้ยงฉลองบ้านคนโน้นคนนี้ ...สุดท้ายตอนจบก็ยังไม่มีที่เรียน...มาถึงตอนนี้คุณแม่เริมเปลี่ยนใจแล้วว่า..ลุกต้องเรียนต่อที่ไหนดี...จะใลกไปทำอะไร...จนแม่ยอมเสียเงินอยากให้ลุกเป็นพยาบาล แต่ไม่เอาหรอกนะ ข้าพเจ้าเรียนไม่เก่งและไม่ค่อยชอบ...

     สุดท้ายตัดสินใจมาสมัครเข้าสถาบันราชภัฏเลย (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย)แต่ก็ให้พ่อพามานะคะ ยังไม่โตสักที...วันที่เขาประกาศรายชื่อ..ข้าพเจ้าดูบอร็ดแล้วบอร์ดเลฃ่าก็ไม่มี่ชื่อสักทีเพราลงไว้ 3เอก (ประถม เคมี อังกฤษ)สุดท้ายเพื่อนบอกแกได้เอกอังกษชื่ออยู่บอร์ดโน่น..เฮ่อโล่งอก เพราะเป็นที่สุดท้ายที่สมมัครหากไม่ได้คงต้องหางานทำไม่เรียนแล้ว.....

      และแล้วชีวิตนักศึกษาก็เริ่มต้นด้วยความไม่พร้อมสักเท่าไหร่...เพราะมาวันแรกด้วยชุด 2 ชุด กะว่าจะกลับบ้านก่อนแล้วเข้าหอมาใหม่(หอในสถาบัน ซึ่งมีกฏระเบียบเยอะ ในเวลานั้น)ข้าพเจ้าต้องเข้าในหอพักวันที่มารายงานตัว...ใจหายหมดเลยไม่มีคุณพ่อ คุณแม่มาส่ง ไม่มีเสื้อผ้า..ไม่มีอะไรสักอย่าง โชคดีที่มีเพื่อนและรุ่นพี่ที่เอื้อเฟื้อ..ข้าพเจ้าแอบร้องไห้..แต่ก็ไม่อาจให้ใครเห้นเพราะเราเป็นคนเลือกเอง...อีก 2 วันพ่อของข้าพเจ้าหอบกระเป๋าพร้อมสัมภาระบใหญ่มาส่งให้ถึงหอพัก..ภาพนั้นยังอยู่ในใจข้าพเจ้าตลอดเวลา...ข้าพเจ้าสงสารพ่อมาก..พ่อต้องเดินทางกลับในวันนั้น เพราหอพักไม่อนุญาตให้ผู้ชายพักในหอฟังได้...และอีก 1 เดือนถัดมาข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้กลับบ้านครั้งแรกหลังจากมาอยู่ในรั้วราชภัฏ...อ่านต่อภาค 2 นะคะ

หมายเลขบันทึก: 71066เขียนเมื่อ 5 มกราคม 2007 17:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:43 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)
ลำบากก่อนค่อยสบายเมื่อปลายมือ ครับ

ขอบคุณมากนะคะ Mr.ดิศกุล  เกษมสวัสดิ์ ที่ให้ความคิดเห็น

นี่แหละกุลชีวิตคนเรา  ต้องสู้ เพื่อความสุข  บทสรุปสุดท้ายก็ขอให้ชิวิตดำเนินไปด้วยความสุข จะมากหรือน้อยก็สุข สุขที่ใจเราเป็นพอนะจ๊ะ เพื่อนยาก

ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ...ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
สมกับคำที่ว่า "เรือจ้าง" จริงๆนะ

ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณอัมพรที่ให้กำลังใจ

ครับ...การหยุดนิ้ง  เท่ากับไร้ค่า(ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ)

คุณครูเข้มแข็งจริงๆครับ

ผมเชื่อว่านักเรียนของคุณครูคงมีความสุขที่ได้เป็นลูกศิษย์ของคุณครูครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบทำงานกับเด็กๆแต่อาชีพหนึ่งที่ไม่กล้าเป็นคืออาชีพครูครับเพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเป็นคนดีพอต่อการรับแรง    ศัทธาจากใครสักคนได้เพียงใด ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณครูนะครับ

ด้วยจิตคารวะ

บอบคุณคนขอบๆมากๆที่ให้กำลังใจกัน...ขอบคุณจริงๆ

 

สู้ต่อไปนะค่ะอย่าท้อ

สักวันจะเป็นวันของครูค่ะ

สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

  • ขอบใจลูกบาสที่แวะมาให้กำลังใจ
  • ยังคงสู้ต่อไป เพราะในใจมีความฝัน
  • ถึงตอนนี้ได้เป็นครูแล้ว....ภาคภูมิใจ
  • แล้วก็มีหน้าที่ให้โอกาสเด้กๆต่อไป
  • อยากให้ทุกคนได้สู้เหมือนกัน
  • เพราะชีวิตเรายังคงเป็นความหวังของคนอีกหลายคน
  • สู้ๆๆๆๆค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท