ได้เสวนาธรรมโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่าน GotoKnow.org กับหลวงพี่ chaiwut ทำให้จิตผ่องแผ้วเป็นพิเศษ ในประเด็นพฤติกรรมที่ติดตัวมนุษย์มา ท่านนำแสงสว่างที่ท่านบอกว่ามีความเห็นเพิ่มเติม เพราะท่านแว๊บ...ขึ้นมา แต่เป็นแว๊บเดียวที่สว่างจ้าด้วยการเปิดประตูแห่งธรรมให้ดิฉันเดินเข้าไป จากผู้ที่เคยมืดบอดในการเดินคลำทางในความมืด บัดนี้แสงสว่างนั้นทำให้ฉันตื่นขึ้นมา เนื่องจากปิ๊ง...แว๊บ ขึ้นมาเหมือนกัน
ประเด็นคือดิฉันสนใจเรื่องพฤติกรรมก้าวร้าว กอรปกับเป็นครูสอนนักเรียนอาชีวะ ซึ่งเมื่อพูดถึงเด็กอาชีวะใคร ๆ ก็ส่ายหัวส่ายหน้าไปตาม ๆ กัน ในพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบทะเลาะวิวาท สร้างปัญหาให้กับสังคม แต่ในความก้าวร้าวย่อมซ่อนความดีงามในจิตใจของเด็กเสมอ ถ้าถามดิฉันว่าเด็กที่ดิฉันสอนเป็นอย่างไรบ้าง ดิฉันตอบว่า “ก็เป็นเด็กที่นิสัยดีนะ...เป็นคนมีน้ำใจ...ไม่เรื่องมาก...ขยันขันแข็งไม่เยาะแยะ ที่สำคัญเขารับผิดชอบกับชีวิตดีมากนะ” เพราะดิฉันรู้จักเด็กนักเรียนที่ดิฉันสอนดีมากกว่าใคร ๆ และเชื่อในฐานคิดที่ว่ามนุษย์ไม่ได้มีพฤติกรรมก้าวร้าวติดตัวมาแต่กำเนิด หรืออีกนัยหนึ่งมนุษย์ไม่ได้มีความเลวร้ายติดตัวมาจากท้องแม่ แต่มนุษย์จะก้าวร้าวหรือเลวร้ายได้นั้นเมื่อเขาได้ถูกหล่อหลอมจากสภาพแวดล้อม ตัวแบบในสังคม การอบรมเลี้ยงดูจากบิดามารดา ครูอาจารย์ สังเกตดูง่าย ๆ หากเราผู้เป็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมอย่างไรกับเด็กเป็นธรรมดาที่เด็กย่อมแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นกับเราด้วย...ฉันใดก็ฉันนั้น
ดิฉันมองย้อนไปสมัยที่เป็นครูสอน มีโครงการหนึ่งในดวงใจที่ดิฉันชอบใจมากเป็นพิเศษ คือ โครงการนิมนต์พระมาสอนนักเรียนในโรงเรียนร่วมกับครู ในวิชาวิถีธรรมวิถีไทย (พระพุทธศาสนา) แต่โครงการนี้มีเพียงระยะสั้น ๆ เพราะงบประมาณของรัฐบาลเหลือหรือเปล่าไม่แน่ใจจึงมีโครงการดี ๆ อย่างนี้เกิดขึ้นมาเพราะหลังจากหมดงบทุกอย่างก็จบไป โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ต่อเนื่องจึงไม่เห็นผลชัดเจนเท่าที่ควร
ดิฉันสังเกตพฤติกรรมเด็กที่สะท้อนออกมาจากการเรียนการสอนของพระคุณเจ้า โดยการประเมิน (อย่างหยาบ) จากเด็กนักเรียนกลุ่มเดียวกัน ดังนี้
ประการแรก คือ เด็กที่นั่งเรียนในห้องพระจะมีกิริยาสำรวมกว่านั่งเรียนในห้องเรียนตามปกติ ประการที่สอง คือ เด็กที่เรียนกับพระคุณเจ้าจะมีกิริยาสำรวมกว่าการเรียนกับครู ประการที่สาม คือ เด็กที่เรียนกับพระคุณเจ้าจะได้เนื้อหาสาระที่แตกต่างออกไปจากตำราเรียนมากกว่าที่ครูสอน ประการที่สี่ คือ เด็กที่เรียนกับพระคุณเจ้าจะมีการฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องและถูกหลัก และจะมีความศรัทธามากกว่าการฝึกปฏิบัติกับครู ประการสุดท้าย คือ เด็กจะกลัวพระพระคุณเจ้ามากกว่ากลัวครู!!!
บันทึกนี้ขอเสนอเฉพาะเรื่องดี ๆ ที่เด็กได้เรียนรู้จากห้องพระกับพระคุณเจ้าที่เป็นครูสอนหนังสือ เพราะเชื่อว่าอย่างไรซะในสังคมไทย...เด็กไทยย่อมต้องได้รับการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ถึงจะเป็นการเรียนที่สมบูรณ์แบบตามวิถีไทยวิถีชาวพุทธ แต่การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ ก็มีอีกมากมาย การให้เด็กได้เปิดโลกทัศน์หยิบจับสภาพแวดล้อมที่ดีมาใส่สมองเรียนรู้ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงบ้างจะช่วยให้เด็กได้เห็นอะไรที่กว้างมากกว่าการนั่งเรียนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ซึ่งเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเขาให้แคบลงไปด้วย
ดิฉันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า การให้เด็กได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ใกล้ชิดกับแหล่งพระพุทธศาสนา โดยการพาลูกหลานไปวัด สอนเรื่องความดีความชั่ว พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติปฏิบัติตนที่ถูกที่ควรตามแนวทางพระพุทธศาสนา ยังคงเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเด็กไทยห่างไกลวัดไปทุกทีความละเอียดอ่อนทางด้านจิตใจเลยลดน้อยถอยลงตามไปด้วย การที่ได้สอดแทรกหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาในวิชาเรียนบ้างวันละเล็กละน้อยจะทำให้จิตใจของเขาไม่หยาบกระด้างจนเกินไป และเมื่อเด็กไทยมีพื้นฐานจิตใจที่ละเอียดอ่อนความก้าวร้าวต่าง ๆ ก็ย่อมลดลงไปตามลำดับด้วย
ขอบคุณคุณพี่ "ชายขอบ" มากค่ะ
ไม่ว่ากันค่ะ (ยิ้ม ๆ) แต่คุณพี่นอนดึกจังเลยนะคะ ยังไงก็มั่นดูแลรักษาสุขภาพด้วยแล้วกัน
ด้วยความห่วงใยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ครับอาจารย์
ขออวยพรให้มีความสุขตลอดปีนะครับ
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณ "ชาญวิทย์" ขอบคุณนะคะสำหรับคำอวยพร มีความสุขปีใหม่เช่นกันค่ะ ช่วยกันปลูกฝังสิ่งดี ๆ ให้ลูกหลานนะคะสังคมจะได้สงบร่มสมกับเป็นเมืองพุทธค่ะ
ขอบคุณ อ.จันทรัตน์ มากค่ะ ที่แวะเข้ามา เสียดายอยู่เหมือนกันค่ะโครงการดี ๆ แต่มีไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่ได้ผลเท่าที่ควรจะเป็นไป ที่จริงให้เด็กได้เรียนกับพระเขาจะได้ถึงธรรมะได้มากกว่าเรียนกับครูด้วยซ้ำไป เพราะอย่างน้อย ๆ เขาก็ยังได้เห็นผ้าเหลือง มีความศรัทธาในพระคุณเจ้า และเด็กก็ได้รู้ลึกรู้จริงจากของจริงค่ะ