ตอนผมเรียนชั้นประถมปลาย ผมอาศัยอยู่บ้านย่าและอา(ผู้หญิง)อีกคนหนึ่ง โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ในตลาดจะปิดวันอาทิตย์วันเดียว วันเสาร์เมื่อโรงเรียนเลิกตอนเย็น ผมดีใจที่จะได้กลับบ้านไปหาพ่อกับแม่
บ้านย่าอยู่ใกล้โรงเรียนมากกว่าจึงอาศัยอยู่ที่นั่นเพื่อเรียนหนังสือ ทุกเย็นวันเสาร์เมื่อเลิกเรียนผมจะรีบเดินทางกลับ ทั้งวิ่งทั้งเดินเพื่อมาแวะเอาสมุดหนังสือบางส่วนที่ต้องทำการบ้านและส่วนที่ไม่ต้องทำการบ้านเก็บไว้บ้านย่า พร้อมเก็บเสื้อผ้าเอาไปซักที่บ้าน แล้วรีบบอกย่าหรืออาผู้หญิงแล้วแต่ใครจะอยู่ในวันนั้นและตอนนั้น และรีบเดินทางกลับบ้านทันที
ทางเดินกลับบ้านสมัยนั้นก็ไม่ได้สบายเหมือนสมัยนี้ครับ เพราะก่อนจะเดินทางต้องหาข้อมูลก่อน โดยสอบถามคนที่เรารู้จักที่เดินสวนทางมา บางครั้งย่าและอาจะเป็นคนสอบถามไว้ให้ก่อน ว่าเขามาทางไหน เพราะมีหลายทาง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเลือกเอาทางที่เสี่ยงอันตรายน้อยที่สุด คือ ไม่ต้องผ่านทางน้ำเชี่ยว สะพานที่ข้ามคลองตรงไหนที่ยังแข็งแรงไม่โยกเยกที่อาจทำให้เราพลัดตกลงไปได้ ช่องน้ำผ่านที่ตื้นที่สุดเท่าที่เด็ก ๆ จะเดินผ่านได้
เมื่อได้ข้อมูลเดินทางแล้วผมก็รีบเดินบ้างวิ่งบ้าง และภาวนาว่าให้เจอใครสักคนเมื่อออกมาในทุ่งนาอันกว้างสุดลูกหูลูกตาทุ่งนาข้าวกำลังแตกใบเขียวขจีเหมือนทะเลแห่งนี้ ที่คนคนนั้นเขากำลังเดินทางในเส้นทางนี้ด้วยเช่นกัน
บางวันเสาร์ผมก็โชคดีได้เจอผู้ใหญ่กว่า ก็ได้เดินตามหลังเขาไป และเขาก็คอยดูแลเราให้ได้รับความปลอดภัย สอนผมให้เดินอย่างไรไม่เหนื่อย ถ้าปลิงเกาะเท้าทำอย่างไร การเดินผ่านทางน้ำเชี่ยวต้องเดินอย่างไร หลาย ๆ อย่างสารพัดการเรียนรู้ที่ใช้ชีวิตแบบคนบ้านนอก
แต่ผมก็ไม่โชคดีเสมอไปครับ และผมก็รู้ตัวดีว่าวันใดที่ผมจะต้องเดินทางกลับบ้านด้วยใจระทึกเพียงคนเดียว
เมื่อผมเดินออกมาจากบ้านย่าซึ่งเป็นที่ดอนมีต้นมะพร้าวบ้าง ต้นยาง สวนกล้วย สวนส้มโอ ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่เมื่อพ้นเขตนี้ก็รีบเดินขึ้นหาที่สูง เช่นจอมปลวก ปีนต้นไม้ดูไปล่วงหน้าว่ามีใครเดินอยู่บ้าง หากเห็นคนเดินก็ตะโกนให้เขารอเดินไปพร้อม ๆเป็นเพื่อนกันไม่แยกเด็กผู้ใหญ่ เมื่ออยู่บนเส้นทางอันเปลี่ยวนี้เราคือเพื่อน
ท้องทุ่งนายามเย็นมองดูผ่านทางต้นไม้ใหญ่ ๆ และดวงอาทิตย์กำลังตกดินดวงโตขึ้นสีแดงเข้มออกไปทางเหลืองตัดกับท้องฟ้าปนสีก้อนเมฆเหลืองเข้มสวยงามมากคล้ายภาพปฏิทินที่เป็นทิวทัศน์ที่แขวนอยู่ข้างฝาบ้านย่า
วันเสาร์ไหนที่ผมไม่สามารถหาเพื่อนร่วมทางได้ แม้มีธรรมชาติที่ที่แสนสวยงามให้ชื่นชม แต่ก็ชมได้ไม่นานผมต้องเดินทางด้วยใจระทึก เพราะแน่นอนมันต้องมืดค่ำอยู่เพียงคนเดียวในทุ่งนาอันกว้างใหญ่ ผมต้องเดินผ่านป่าช้าหลังวัด สถานที่ที่คนถูกตีด้วยจอบตาย ถูกยิงตาย ถูกฟันด้วยพร้าคอขาด หลายจุดบนเส้นทางนี้ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น แล้วจะไม่ให้กลัวหรือระทึกใจอย่างไรครับ
ถึงแม้นผมจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องเสี่ยงกับไม่เจอใครบนเส้นทาง ไม่มีเพื่อนร่วมทางผมก็ต้องเดินคนเดียว แต่ด้วยความต้องการคือได้ไปหาพ่อกับแม่นี่แหละครับสำคัญนักเป็นสิ่งที่ทำให้แข็งใจไปคนเดียวโดด ๆ ได้ ความรู้สึกที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ ผมมีเป้าหมายไว้ในใจว่าสักพักจะถึงที่นาของเรา(อยู่ระหว่างทางก่อนถึงบ้าน) เมื่อถึงที่ของตนเองเดินผ่านที่นั่นกำลังใจมีความกลัวหายไป เมื่อผ่านมันมาถึงที่ของคนอื่นความกลัวก็เริ่มกลับมาอีก จึงต้องรีบเดินผ่านทางที่มีน้ำและโคลนไปโดยเร็วเพื่อให้ถึงที่ของตนเองที่อยู่ข้างหน้าอีกแปลงที่เป็นสวนยาง แปลกจริง ๆ เมื่อมาถึงสวนยางเก่า ๆของพ่อ (ยางพื้นเมืองเดิมต้นโตมาก) มืดดำทมึนจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ความกลัวก็หายไปเหมือนกับถึงบ้านแล้วจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่บ้านยังอยู่ห่างในจุดนั้นอีกเยอะ
ผมทบทวนดูตอนนี้ครับว่าตอนผมเด็ก ๆ ช่วงนั้นความกล้าผมมาได้อย่างไร เมื่อมาถึงที่ดินของพ่อและแม่ มันคล้าย ๆ กับว่านั้นคือส่วนหนึ่งที่เป็นพ่อแม่มีความรักให้เราเป็นห่วงและรักษาความปลอดภัยให้ ผมรู้สึกเหมือนว่าต้นไม้ต้นหญ้าทุกต้นลูกกบลูกเขียดเป็นเพื่อนผมจริง ๆ ความอบอุ่นมันเกิดขึ้นในความรู้สึกของผมเองครับ