ในคืนสุดท้ายของปีเก่า, ผมเฝ้าเกาะติดสถานการณ์เหตุวางระเบิดในกรุงเทพมหานครอย่างไม่กะพริบตา ส่งความห่วงใยและกำลังใจไปถึงผู้ต้องชะตากรรม หรือแม้แต่หลากหลายคนที่ยังเดินและกรีดกรายไปทั่วท้องถนนกรุงเทพฯ เพียงเพราะรู้สึกว่า เราคือ คนไทยด้วยกัน คือ มนุษยชาติที่ยังต้องการความอาทรอย่างจริงใจ....
ถึงแม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะก่อเกิดความสะเทือนใจต่อผมเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังถือว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่เปลี่ยวเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง...
ถัดจากนั้นไม่นาน, ผมก็จำต้องนั่งรับโทรศัพท์จากพี่น้องผองเพื่อนที่ส่งเสียงมาไกลจากสถานที่ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหลายก็มาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ "การอวยพรปีใหม่" บ้างส่งเสียงทักทายอย่างอบอุ่น แต่บางรายก็สุ่มเสียงโหยกเหยกโอนเอนด้วยน้ำเมา หรือไม่ก็กำลังร้องคาราโอเกะกระหึ่มเสียงอย่างสนุกสนาน แต่ทุกคนก็ปักหลักฉลองกันภายในบ้านของตนเองกันทั้งนั้น และส่วนหนึ่งก็ส่งเป็นข้อความมาทางโทรศัพท์ ....ลำบากผมต้องสะดุ้งเป็นระยะ ๆ กับเสียงตี๊ด ๆ ๆ ... เพื่อเปิดอ่านข้อความแห่งความรู้สึกของมนุษยชาติผู้คุ้นเคย
เป็นค่ำคืนที่มีความหมายและอบอุ่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคืนบางคืนในรอบปีเก่าที่เพิ่งผ่านพ้นไป....
ถึงแม้ส่วนใหญ่ไม่ได้พูดคุยกันยาวนานนัก เพราะต่างก็มาเพื่อบอกกล่าวความรู้สึกดี ๆ ในวันปีใหม่กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น "สวัสดีปีใหม่, สุขสันต์วันปีใหม่, สุขภาพแข็งแรง อายุยืน, ร่ำรวยเงินทอง" และอีกจิปาถะ
สำหรับผมแล้ว..มันเป็น ค่ำคืนที่ไม่เปลี่ยวเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง...
ในทำนองเดียวกันนี้, ค่ำคืนนี้ก็ไม่เปลี่ยวเหงา เพราะยังมีคนที่กำลังคิดถึงเราอยู่เช่นกัน..
ซึ่งรวมความแล้วก็คือ โลกนี้ไม่เงียบเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง..!!
จนท้ายที่สุด, เมื่อล่วงเข้าวันใหม่และเกือบย่างเข้า 02.00 นาฬิกา เสียงทักทายต่าง ๆ จึงเริ่มเงียบหายไป แต่ก็ทิ้งกลิ่นอายแห่งความคิดถึง และความอบอุ่นห่มคลุมอยู่ให้ห้วงความรู้สึกของผมอย่างเต็มล้น
.......
การเงียบหายไปของเสียงแห่งความปรารถนาดีอันมีโทรศัพท์คอยทำหน้าที่เป็นสื่อบอกเล่าความรู้สึกอันดีงามมายังผม - ยังผลให้ผมได้มีเวลากลับมาเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อเข้าสู่เวที "แลกเปลี่ยน - เรียนรู้" อีกหน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปิดเครื่องไว้ตั้งแต่ละครหลังข่าวเริ่มเปิดตัวขึ้น...
ผมเชื่อและรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งก็คือเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือแม้แต่ใครอื่นจะเรียกเวทีแห่ง "การจัดการความรู้" ก็ช่างเถอะ, เป็นอีกเวทีหนึ่งที่มำให้ผมรู้สึกว่า โลกนี้ไม่เงียบเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง..
ทุกครั้งที่ท่องเข้าสู่เวทีนี้... ผมจะพบปรากฎการณ์แห่งกำลังใจ ความปรารถนาดี การแบ่งปันไม่รู้จบ และการบ่มเพาะปัญญาอย่างเอื้ออาทร! รวมถึงความรู้สึกอันดีงามที่ผู้คนหยิบยื่นให้กันและกันอย่างเป็นกันเอง
จึงไม่แปลกที่ผมมักจะกล่าวไว้เสมอในเวทีแห่งนี้ว่า "โลกนี้ไม่เงียบเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง.." และกล้าที่จะแอ่นอกพูดอย่างไม่อายปากว่าคนในเวทีแห่งนี้ คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ผม "คิดถึง" และ "หลงรัก"
เพราะที่นี่ เปิดกว้าง ! เปิดใจ ! และเปิดรับการเรียนรู้อย่างไม่มีขอบเขต! เป็นเสมือนโลกแห่งการเรียนรู้ที่มีอาณาจักรอันกว้างใหญ่ ต่อเติมและเติมเต็มความหมายของ "ชีวิต" ได้อย่างน่าประทับใจ !!!
.....
ขอบคุณพี่น้องผองเพื่อนที่ส่งความรู้สึกอันดีงามผ่านมายังโทรศัพท์ในค่ำคืนปีเก่าและขานรับปีใหม่ก่อนพระอาทิตย์จะฉีกยิ้มกับขอบฟ้า รวมความถึงขอบคุณเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ช่วยให้ผมรู้สึกเสมอว่า "โลกนี้ไม่เงียบเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง.."
เช่นกัน, ขอบคุณที่เติมเต็มและทำให้ "ชีวิต" มีความกระจ่างชัดขึ้น ...
.....
การนิยามความหมายของชีวิต
ย่อมแตกต่างไปตามแต่บุคคล
เพราะแต่ละคน
ย่อมมีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตในแง่มุมที่ต่างกัน
แง่มุมชีวิตที่แตกต่างกันนั้น
ย่อมสะท้อนความหลากหลายของเรื่องราว
ซึ่งหมุนเวียนสัญจรเข้าสู่จังหวะชีวิตของแต่ละคน
ฉะนี้แล้ว
การแลกเปลี่ยนเรื่องราวอันเป็นแง่มุมชีวิตสู่กันและกัน
ย่อมช่วยให้การนิยามความหมายของคำว่า "ชีวิต"
มีความกระจ่างชัดและสมบูรณ์ขึ้นเท่าตัว
.....
ขอบคุณ (อีกครั้ง) กับทุก ๆ ชีวิตที่ทำให้โลกนี้ไม่เงียบเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง
เขียนดีจังเลยค่ะ...
เช่นเดียวกันกับที่ฉันไม่เคยไปไหนได้ไกลเพราะใจมีเพียง GotoKnow.org ดูสิ ป่านนี้แล้วยังมาเปิดอ่าน และเขียนบันทึกอยู่เลย ไม่รักเธอแล้วจะรักใคร GotoKnow.org
สวัสดีปีใหม่จ๊ะ GotoKnow.org
อาจารย์ paew
คุณ nutim
อาจารย์ Vij
กฏแห่งกรรมมีจริงๆ นะคะ
ความรักมีไว้ช่วยโลกให้พ้นจากความเศร้า
^____^
...."คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ผม "คิดถึง" และ "หลงรัก"
ขอบคุณ อีกครั้ง ทุก ๆ ชีวิต (ในG2K) ที่ทำให้โลกนี้ไม่เงียบเหงา เพราะยังมีคนให้เราได้คิดถึง
คุณ IS
และอาจารย์ เมตตา
คุณ Rin และ Miss somporn poungpratoom