ในการทำงานส่งเสริมการเกษตร นั้นเราควรจะมีความรักและความเชื่อในหน้าที่ที่ต้องทำ เราควรสร้างความเชื่อให้กับตนเองว่า “คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับงานก็คือ เกษตรกร” โดยมีเป้าประสงค์สูงสุด คือ ความรักในงานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานส่งเสริมการเกษตรมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบกับเกษตรกร
ฉะนั้น “ทำอย่างไรให้...เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร...มีความชื่อเช่นเดียวกันได้การทำงานส่งเสริมการเกษตรที่ทำจึงอยู่ภายใต้ “การสร้างกรอบความคิด” ที่ใช้หลัก “อิทธิบาท 4” ได้แก่ 1) ฉันทะ คือ ความรักในงานและจะต้องไตร่ตรองงานอยู่ตลอดเวลา 2) วิริยะ คือ ต้องพยายามทำในสิ่งที่เราคิดและตั้งมั่นในงานไว้ให้ได้ 3) จิตตะ คือ ต้องไตร่ตรองและคิดทบทวนงานอยู่เสมอ และ 4) วิมังสา คือ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องรอคอยได้ เช่น การพัฒนาทั้งองค์กร การพัฒนาในตัวเจ้าหน้าที่ และการพัฒนาในส่วนลูกค้าการสร้างเครื่องมือและวิธีการพัฒนาเจ้าหน้าที่และทีมงาน ได้ใช้หลักคิดของฉันทะ วิระยะ จิตตะ และวิมังสา ในลักษณะค่อย ๆ พัฒนาทีมงาน หรือ Staff ไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้านักบริหารสามารถทำอย่างนี้ได้ทั้งตัวเอง ทั้งเพื่อนร่วมงาน ก็จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ถ้าตัวเองและสำนักงานมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น องค์กรก็จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นด้วย จากหลักคิดในการทำงานดังกล่าวทำให้เกิดความรักและความเชื่อในหน้าที่ที่ต้องทำ มีการสร้างกรอบความคิดในการทำงาน และมีการวางวิธีการปฏิบัติงานผ่านเครื่องมือและการพัฒนาทีมงาน เพื่อนำไปสู่กลุ่มและการเชื่อมโยงเครือข่ายในการทำงานส่งเสริมการเกษตรที่เป็นผลประโยชน์กับตัวเกษตรกรให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
“ตัวอย่างเช่น”
การทำงานที่ผ่านมาของจังหวัดกำแพงเพชร ได้ยึดหลักของพระพุทธเจ้าคือ อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิระยะ จิตตะ และวิมังสา) โดยการสร้างระบบการคิดของตนเองเพื่อยอมรับเงื่อนไขว่า 1) เจ้านายเราคือเกษตรกร 2) คนทำงานคือตัวองค์กรไม่ใช่เราคนเดียว 3) ยอมรับในเงื่อนไขที่เกิดขึ้นของสภาพแวดล้อมและตัวขององค์กร แล้วนำมาวางงาน “ถ้าจะทำให้องค์กรมีพลัง เราจะต้องทำให้องค์กรเดินได้ ทำได้ตามความคิดของผู้บริหาร”
ฉะนั้น การทำงานจึงเริ่มจาก ขั้นที่ 1 สร้างการยอมรับ ได้แก่ 1) สร้างความศรัทธาในตัวผู้นำ 2) ทำให้เห็นว่า...ผู้นำมีความจริงใจพอที่จะเดินทางร่วมกัน ซึ่งถ้าผู้นำมีความรู้และความจริงใจก็จะทำให้ทีมงานเกิดการคล้อยตาม เกิดความศรัทธา และยอมรับได้ ขั้นที่ 2 เรียนรู้บทบาทหน้าที่ของนักส่งเสริมการเกษตร โดยนำเครื่องมือเข้ามาใช้ในการทำงาน เป็นการสอนให้เจ้าหน้าที่รู้จักการใช้เครื่องมือในการทำงานกับเกษตรกร อาทิเช่น เครื่องมือที่จะไปชวนชาวบ้านคุย และ การใช้แปลงสาธิตเพื่อให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพันธุ์ ขั้นที่ 3 เรียนรู้เทคนิคในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก หรือผู้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่ได้ใช้เทคนิค Facilitator
โดยงานทั้ง 3 เรื่อง เป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับ “วิธีการและเครื่องมือ” เพื่อสอนให้เจ้าหน้าที่และทีมงานได้รู้จักว่า... ถ้าจะทำงานกับเกษตรกรให้บรรลุผลสำเร็จนั้นเราจะต้องมี “เครื่องมือและวิธีการ” ส่วนผลที่เกิดขึ้นก็คือ เกิดการปรับเปลี่ยนความคิดของเจ้าหน้าที่ที่ทำให้เขาเกิดความศรัทธาในตัวเราได้ เขารู้ว่าเจ้านายของเราคือ เกษตรกร...เขารู้ว่า...ลูกค้าต้องการไปถึงไหน? และเจ้าหน้าที่บริการเป็น คือ ลูกค้าพึงพอใจหลังจากนั้นการพัฒนาทีมงานจึงเกิดเป็นกลุ่มและเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายในการทำงานส่งเสริมการเกษตรที่เกิดจากการมีส่วนร่วม อาทิเช่น ถ้าถามว่า...กระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อ “ดูดความคิด” นั้นเจ้าหน้าที่มีวิธีการมั้ย? เจ้าหน้าที่มีวิธีการมั้ย? ที่จะให้ทุกคนเปิดเผยข้อมูล และเจ้าหน้าที่มีวิธีการมั้ย? ที่จะสร้างกระบวนการยอมรับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาใช้ร่วมกันและเป็นผลสำเร็จภายใต้ข้อสรุปที่ออกมาเป็น “เทคนิคการทำงานมีอะไรบ้าง? และ เครื่องมือที่ใช้มีอะไรบ้าง?”
สิ่งดังกล่าวทำให้เกิดข้อคิดที่กลับมาสู่การพัฒนางานส่งเสริมการเกษตรต่อไปว่า.....
1) ตัวอย่างงานส่งเสริมการเกษตรที่ประสบผลสำเร็จนั้นมีจำนวนมากและเห็นเป็นรูปธรรม ที่องค์กรสามารถสืบค้นและจัดการขึ้นมาใช้เป็นต้นแบบการพัฒนางาน เพียงแต่เราทำหน้าที่เชื่อมโยงกันเป็นกลุ่มและเป็นเครือข่ายก็สามารถนำมาใช้งานและเป็นเครื่องมือในการทำงานส่งเสริมการเกษตรของนักส่งเสริมการเกษตรได้ทันทีที่เรียกว่า Best Practice อาทิเช่น บุคคล กลุ่ม หรือเครือข่าย
2) การพัฒนางานส่งเสริมการเกษตรสามารถนำ “ตัวแบบที่ประสบผลสำเร็จ” เข้ามาใช้เพื่อบริหารจัดการในการส่งเสริมอาชีพการเกษตรให้กับเกษตรกรได้เกิดการเรียนรู้เทคโนโลยี การพัฒนาตัวเกษตรกร และการพัฒนา ตัวเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเห็นเป็นรูปธรรมและจะทำให้ง่ายต่อการเข้าใจและการนำไปใช้
3) การบริหารจัดการงานส่งเสริการเกษตรนั้นสามารถพัฒนาตัวเจ้าหน้าที่ควบคู่กับการปฏิบัติงานได้ และจะทำให้การทำงานของกรมส่งเสริมการเกษตรเกิดผลได้อย่างรวดเร็ว ประหยัด ครอบคลุม และตรงความต้องการของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง.
ศิริวรรณ หวังดี สัมภาษณ์
ไพรัช หวังดี ผู้ให้สัมภาษณ์