ตามมุมมองของผมแล้ว 3 คำนี้มีส่วนที่คาบเกี่ยวกันค่อนข้างมาก ... ในวันนี้จะขอพูดเฉพาะส่วนที่เห็นว่าจุดเน้นไม่เหมือนกันนะครับ
การศึกษา (Education) เป็นคำใหญ่ที่ครอบคลุมกว้างขวาง มีทั้งที่อยู่ในระบบและนอกระบบ มีทั้งที่เป็นภาคบังคับและตามอัธยาศัย อาจารย์หมอประเวศเคยพูดไว้ว่า ส่วนใหญ่จะใช้ “วิชา” เป็นตัวตั้ง เป้าหมายของการศึกษามักอยู่ที่การสร้าง “ความเข้าใจ (Understanding)” ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน ผมเองมองว่าการศึกษาส่วนใหญ่นั้นเน้นไปที่ระดับความคิด (เน้นการใช้หัว หรือ Head) ยังไปไม่ถึงระดับของจิตใจ (Heart) เท่าใดนัก ทำได้อย่างมาก คือ “เข้าใจ” แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ “เข้าถึง”
การวิจัย (Research) ก็เป็นการสร้างความเข้าใจอีกเช่นกัน โดยผ่านกระบวนการที่ค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์ มีการแปลงปัญหาให้ออกมาเป็นโจทย์วิจัย แล้วใช้กระบวนการเก็บข้อมูลเพื่อทดสอบ พิสูจน์ จนได้ออกมาเป็นคำตอบ เป็น Model หรือ ทฤษฎีที่ยอมรับได้ (ในขณะนั้นๆ)
การจัดการความรู้ (KM) เป็นกระบวนการสำหรับใช้แก้ปัญหา พัฒนางาน หรือ สร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation) โดยอาศัยการต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เดิม เสริมเพิ่มเติมด้วยความรู้ใหม่ เป็นการใช้ศักยภาพ ใช้ทุนเดิมที่มีอยู่ในการพัฒนางาน พัฒนาองค์การ พัฒนาชุมชน (สังคม) KM จะเกิดได้ยากหากความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นไม่ดี KM จะเกิดได้ยากในหมู่ผู้ที่ไม่สนใจใฝ่เรียนรู้ KM จะไม่มีพลังหากดำเนินไปอย่างไร้ทิศทาง
........ วันนี้ขอแค่นี้ก่อนนะครับ รบกวนท่านอื่นๆ ช่วยเติมต่อได้ตามอัธยาศัยครับ
เรียนอ.ดร.ประพนธ์ ค่ะ...
ในทางผู้ปฏิบัติงานนั้น.
.....สรุป...ชอบ KM.และ GotoKnow...ม๊ากมาก...ค่ะ...
ขอขอบพระคุณอาจารย์ประพนธ์...
อาจารย์ครับ
อาจารย์น่าจะกลับไปช่วยที่ นวัตกรรมอุดมศึกษา มธ.อีกสักรอบนะครับ และเอาเรื่อง KM นี้ไปช่วยแนะนำนักศึกษาด้วยนะครับ เห็นว่าการบริหารงานวัฒนธรรมในบ้านเราอาจจะเดินไปอย่างงดงาม(จากลูกศิษย์ MCT2)
ติดตามอ่านบันทึกของอาจารย์ มานานวันนี้ขอแสดงตัวครับ
ดีครับที่อาจารย์มานำเสนอ
จะได้ลดความสับสนลงไป
ทีนี้คำถามง่ายๆก็คือ
ทำไมการเรียน (Education) จึงไม่เกิดการเรียนรู้ (learning) และบางทีก็ไม่เกิดความรู้ (knowledge) ที่จะนำมาจัดการ (Management) ให้เกิดความรู้ในการแก้ปัญหา อย่างที่อาจารย์เสนอมา และอาจจะต้องทำให้เกิดปัญญา (Wisdom) เสียก่อน หรือเปล่า
นี่คือช่องทางที่มีอะไรอุดตันอยู่ แต่ไม่ใช่ทางตันแน่นอน
ผมทราบมาตลอดเวลาว่า
ถ้าอาจารย์ไม่ช่วย ผมก็ไม่รู้จะถามใคร
ขอโทษครับที่รบกวน จำเป็นจริงๆครับ
....ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่าได้รับแรงบันดาลใจจากการไปอ่าน blog ของท่านอาจารย์แสวงครับ ...แต่ที่ไม่ได้เขียน Comment ลงไปในนั้น ...เพราะเกรงว่าอารมณ์ (ในเรื่องการศึกษา) ที่ใกล้เคียงกัน จะทำให้สิ่งที่เขียนไปนั้น "แรง" เกิน เพราะแค่ท่านอาจาย์แสวงท่านเดียวก็ "แรง" เกินร้อยอยู่แล้ว ....ยิ่งได้ครูบา และท่านอาจารย์ Handy มาแจมด้วยก็ยิ่งทำให้ได้สีสันและมีพลังอย่างยิ่ง
....ในส่วนของ อบท. ที่ท่านอาจารย์ศิริพงษ์พูดถึง เข้าใจว่า คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ ได้ไปเชื่อมไว้พอสมควรครับ
ขอบคุณอาจารย์หมอวัลลพ และคุณกฤษณาที่ติดตามอ่าน blog นี้มาอย่างสม่ำเสมอ ...สวัสดีปีใหม่ครับ
....สวัสดี ออต ด้วยเช่นกัน ดีใจที่ได้ทราบว่ามาอยู่ในชุมชน gotoknow นี้ ....หวังว่าคงจะได้สิ่งดีๆ ไปขับเคลื่อนงานทางด้านบริหารวัฒนธรรม ...ผมเองมีนัดทานข้าวกับ ดร.สิริรัตน์ (อดีต ผอ. MCT)ในวันศุกร์นี้ครับ
ตอนที่เขียนข้างบนยังไม่ได้เห็นข้อความของอาจารย์แสวงครับ พอดีพิมพ์ไปแล้วถึงเพิ่งทราบว่าใจตรงกัน เขียนในเวลาใกล้เคียงกัน
....เอาสั้นๆ อย่างนี้ดีไหมครับอาจารย์ ..ผมว่าที่เรียนกัน (การศึกษาปัจจุบัน) อยู่เดี๋ยวนี้ ไอ้เรื่องที่จะได้ "ปัญญา" นั้นน้อยเต็มที มีแต่เรียนไปเพื่อทำให้ "อัตตา (ego)" มันหนา และใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ...บอกแล้วครับว่าไม่อยากแจม เพราะแค่อ่านของอาจารย์ก็สะใจแล้วครับ
...และก็ไม่ค่อยอยากจะ "ตั้งคำถาม" หรือ "ตอบคำถาม" ในเรื่องการศึกษาเท่าไร ....ทำไมนะหรือครับ ...เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรต้องพัฒนา ต้องปฏิบัติอีกมากมาย ....พยายามที่จะไม่เป็น "นักโทษ" โทษสิ่งต่างๆ รอบข้าง ตั้งใจว่าจะเป็น "นักเรียน" เรียนรู้ที่จะดูตัวเอง ดูกาย ดูใจ ให้มากๆ ดูแล้วก็ตกใจครับ เพราะเห็นว่าเรายังไม่ได้เรื่องเลย ...แล้วจะไปเอาอะไรกับใครนักหนา
....เห็นใจอาจารย์ทุกๆ ท่านที่ต้องรับบทเป็น "ที่ปรึกษา" ให้กับนักศึกษาในหลักสูตรใหม่ๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะหลักสูตรที่เน้น "บูรณาการ" หรือหลักสูตรที่เป็น "สหวิทยาการ" ทั้งหลาย....ยิ่งที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่อง KM ยิ่งไปกันใหญ่ ....เพราะผมไม่แน่ใจว่าท่านกำลัง....
ท่านอาจารย์ประพนธ์
ผมไม้ขอให้ท่านโทษใครใดๆทั้งสิ้น
ผมถามท่านในเชิงวิชาการ และหลักการทำงาน
ที่ไม่มี "อัตตา" ของใคร อยู่ในนั้นเลย
ท่านไม่ตอบก็ไม่เป็นไรครับ
ทีหลังผมจะได้ไม่ถาม ครับ
(ขอโทษที่ทำให้ระคายความรู้สึกของท่าน)
เรียนท่านอาจารย์
มีโจทย์ใหญ่ที่จะทำอย่างไรให้ อปท. ได้เข้าใจและตระหนักต่อกระบวนการเรียนรู้ ทั้งด้านการวิจัย การจัดการความรู้ โดยเฉพาะของท้องถิ่น ..... ปัจจุบันนี้ อปท. ส่วนใหญ่แล้วขาดเรื่องนี้มาก และ อปท. ถือว่าเป็นกลไกการพัฒนาท้องถิ่นที่มีความสำคัญมาก
วันก่อนมีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาระดับประเทศกับ สมาคม อบต. ในวงต่างวิพากษ์วิจารณ์กันขนานใหญ่ถึง สถานภาพของ อบต. ซึ่งปัจจุบัน มี อบต. เกือบถึง 20 % เท่านั้นที่มีศักยภาพและมีประสิทธิภาพในการพัฒนา ...... ถ้าปรากฎการณ์เป็นอย่างนี้จริง ชุมชนท้องถิ่น กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะ อปท. เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น
คงต้องผากโจทย์เรื่องนี้ ให้อาจารย์ และท่านผู้รู้..........ได้ช่วยกันหาแนวทาง หรือ กระบวนการ ที่จะทำให้ อปท. เข้าถึงและเข้าใจ ตระหนักต่อกระบวนการเรียนรู้ และการจัดการความรู้ของท้องถิ่นอย่างไร ?