ด้วยผมมีชีวิตส่วนหนึ่งที่เติบโตมาจากความรู้ทางพระพุทธศาสนา ที่เน้นย้ำในการฝึกตนสร้างปัญญาอย่าเชื่ออะไรง่ายเพียงเพราะได้ยินได้ฟังมาตามหลักกาลามสูตร พระพุทธศาสนาสอนความรู้ให้เราเข้าใจไม่ใช่สอนให้เราเชื่อโดยไม่พิจารณาตามเหตุตามผลแล้วจึงตัดสินใจตามหลักความเป็นจริงนั้น
ในแง่มุมวิถีพุทธตามความรู้ที่ได้เรียนมาสรุปได้ดังนี้
1.วิถีพุทธ ล้วนอิงอาศัยอยู่กับธรรมชาติเพื่อสร้างประโยชน์ เช่น การจัดประชุมพระสงฆ์ จำนวน 1250 รูปที่วัดเวฬุวันยามค่ำคืนเดือนแจ้งหรือในคืนวันเพ็ญ คืออาศัยแสงจันทร์ อาศัยลมเย็น ๆ อาศัยบริเวณลานสวนไผ่เพื่อสร้างมุมคิดทางปัญญานำมาฝึกตน
2.วิถีพุทธ ล้วนใช้ชีวิตอยู่ตามป่าเขาอยู่ในถ้ำ มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ อาศัยผลไม้ ธารน้ำ เป็นเพื่อนกับสรรพสัตว์ มีความเป็นอยู่ด้วยเมตตาธรรม
3.วิถีพุทธ ใช้สิ่งของที่มีอยู่แล้วในสิ่งแวดล้อมมาปรับสร้างทำเพื่อใช้ประโยชน์ได้กับตนอย่างสมถะ เช่น นำผ้าห่อศพมาทำความสะอาด นำมาย้อมสีเปลือกไม้แล้วตัดเย็บให้เป็นผ้านุ่งผ้าห่มอย่างจีวร สบง เป็นต้น
4.วิถีพุทธ ล้วนฝึกตน ยืนสังเกตสิ่งแวดล้อมตามสภาพความเป็นจริงของมัน นั่งฝึกสมาธิ นอนแบบสีหไสยาสน์ กินแบบพิจารณามีสติ ดื่มน้ำต้องกรองให้สะอาด ทำตัวเป็นแบบอย่าง พูดแนะนำสัจธรรม คิดหัวข้อภาษิตล้วนเป็นสัจจะ มีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน
5.วิถีพุทธ ได้วางรูปแบบการปกครองไว้ให้คณะบุคคลหรือคณะสงฆ์รับผิดชอบดูแลสังคมโลก
6.วิถีพุทธ ชี้แนะให้ทุกคนฝึกตนจนจิตว่าง มีชีวิตที่ปล่อยวาง ไร้กังวล
7.วิถีพุทธ สอนความรู้แล้วให้แจกดวงตาแห่งธรรมที่มีคุณค่ามหาศาลแต่ไร้ราคา
8.วิถีพุทธ สอนให้เดินทางโดดเดี่ยวเดียวดาย ( เอกะโกวะ ) แต่มีความสุขกายและสุขใจตลอดกาลเพราะในท้ายที่สุดของชีวิตแล้วทุกคนก็ต้องลาจากกันไปทางใครก็ทางคนนั้น.
ไม่มีความเห็น