"ดื้อตาใส" : ชนเผ่าที่พัฒนายากที่สุด


พวกดื้อตาใส นี่สุดยอดจริงๆ ทำ ก็ทำให้ดูแล้ว นาก็อยู่ติดกัน ก็มี เหมือนกันทุกอย่าง ก็ไม่ทำครับ นี่แหล่ะครับที่เรียกว่า ชนเผ่าดื้อตาใส พันธุ์แท้ครับ

 วันนี้จะขอพูดเรื่องถึงเรื่องของชนเผ่าพิเศษในประเทศไทย ที่มีคำว่า ตายู่ระหว่างกลางของคำว่า ดื้อ และใส นะครับ   คือเผ่าที่ครูบาเรียกว่า ดื้อตาใส ครับ 

จากประสบการณที่ผ่านมา ผมพบว่า หลาย ๆ คน  ที่เห็นการทำงาน เห็นตัวอย่าง เห็นการกระทำ ทุกอย่างก็ดี ทุกอย่างก็เหมาะ ทุกอย่างก็ทำได้ ทุกอย่างก็เหมือนจะดีทั้งหมดกับทุกคนด้วย  แต่ไม่ทำครับ  

ก็ไม่ทำ เพราะว่าตัวเองไม่อยากทำ หรือว่าอะไร ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นที่มาของชื่อชนเผ่า ที่เรียกว่า ดื้อตาใส นะครับ

นี่คือลักษณะพิเศษของชนกลุ่มนี้ครับ

คนกลุ่มนี้ ใครจะชวนไปทำอะไรก็ตาม ดูอะไรก็ตาม ดูแล้วก็ตาม  เห็นคนอื่นทำก็ตาม ไม่ทำครับ นั่งดูอย่างเดียว นั่งงอมืองอเท้าอย่างเดียว และทำเหมือนเคยทำมาผ่านมานั่นล่ะ   

เหมือนกับที่อย่างกรณีเมื่อปีที่แล้ว ที่ผมได้ชวนกลุ่มเพื่อนบ้าน เพื่อนชาวบ้าน ที่เคยทำนาโดยไถ  ที่จะมาทำนาแบบไม่ไถ

ชวนครั้งแรกก็ไม่สนใจ ไม่เชื่อว่าจะทำได้ พนันขันต่อด้วยซ้ำว่า ไม่ได้กินข้าวแน่นอน อะไรแบบนี้ มากมายหลายคน  

ผมจึงลองพยายามสร้างประสบการณ์ในการชวนชาวบ้านมาทำนา ทำนาไม่ไถ มากมายหลายคน โดยการลงทุนด้วยตัวเองเลยครับ

 เมื่อปี 2548  ผมลงทุนให้ชาวบ้านลองทำ หาแทบแย่ ไม่มีใครสนใจครับ กลัวไม่ได้ผล

ปี 2549 ผมทำนาให้ดูเลยครับ ว่า ทำนาแบบไม่ไถ จะเป็นยังไง ผมก็ลองทำ ทำไปเรื่อย ๆ ครับ ทำแบบรู้บ้างไม่รู้บ้างนี่ล่ะครับ  

ลองดูสิครับว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะว่าอย่างมากที่สุดก็ไม่ได้ข้าวกินสักเม็ด

ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ล่ะครับ ขนาดข้าวเรี่ยอยู่ในตามไร่ตามนา ก็ยังได้เกี่ยว ไอ้ไม่ไถจะมีปัญหาอะไรนักหนา  

ผมกล้าเลยแหล่ะครับ  ทำเสร็จแล้วปรากฏว่า เมื่อเดือนธันวาคมนี้เอง ผมได้ข้าวมากกว่าชาวบ้านที่อยู่ข้าง ๆ ล่ะครับ

ผมทำนาแบบไม่ต้องไถ ไม่ต้องตกกล้า ไม่ต้องถอนกล้า ไม่ต้องดำ มีแต่หว่านอย่างเดียว ก็ได้ข้าวมาไร่ละประมาณ 800 กิโลกรัม เห็นจะได้ ประมาณนั้นแหละ 

ในปีที่ผ่านมานั้น  ที่จริงก็มีปัญหานิดหน่อยครับ เพราะว่าข้าวที่ได้มามีพันธุ์ปนอยู่ เนื่องจากผมไปขอฟางคนอื่นเขามาคลุมดิน และมีเมล็ดพันธุ์อื่นปนมาบ้าง มีปัญหานิดหน่อยในการเกี่ยวแยกชนิดข้าว  

ไม่เป็นไรครับ  ข้าวทุกชนิดกินได้ ไม่มีข้าวพันธุ์ไหนกินแล้วตาย เท่าที่ทราบเป็นอย่างนั้น หรือใครมีข้อมูลว่า ข้าวพันธุ์ใดกินแล้วตาย ก็บอกด้วย ผมจะได้ระวัง ไม่ไปเอาฟางข้าวนั้นมาคลุมนาผม 

หลังจากผมทำเรียบร้อยแล้ว ข้าวผมก็สวย เกี่ยวก็ได้มาก ฟางก็ได้เยอะ คลุมดินนาดีมาก  ที่ผมบอกว่า มีฟางคลุมห่มให้พระแม่ธรณี  นั่นล่ะครับ  

นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราประหยัดทุกอย่างครับ ค่าไถ ไม่มี  ค่าดำ ไม่มี ค่าตกกล้า ไม่มี  ถอนกล้าไม่มี  ค่าขนกล้าไม่มี แล้วมีค่าอะไรครับ ก็มีค่าหว่าน เหมือนเดิม แค่นั้น พอแล้ว  ปุ๋ยก็ปุ๋ยธรรมดา ผมก็พยายามไม่ใส่ปุ๋ยเคมีอีกต่างหาก  

 เพราะผมพยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่ผลิตเองไม่ได้ แต่ที่เราผลิตเองได้ เช่น ปุ๋ยคอก  อยากลองดูว่า เขาว่าไม่ได้ผล จะเป็นจริงหรือเปล่า ปรากฏว่าได้ผลทุกอย่าง 

 

แล้วทำไมชาวบ้านไม่ทำ นี่คือคำถามใหญ่อยู่ในใจผมล่ะครับ   ผมก็ไปถามชาวบ้าน ว่า ทำไมไม่ทำ ถามบ่อย ๆ  ถามอย่างหาเหตุผลครับ มีแต่บอกว่า ไม่มั่นใจ

 

ไม่มั่นใจอย่างไร ผมก็ทำให้ดูทุกอย่างแล้ว 

เอาอย่างนี้ ผมจะขอยืมที่นาของท่าน ทำให้ดู ผมไม่คิดอะไรเลย  ข้าวที่ได้ขอยกให้ท่าน ผมอาจจะเก็บเป็นต้นทุนนิดหน่อย เหมือนกับท่านเคยทำนานั่นแหล่ะครับ ได้ข้าวเท่าไหร่ได้กำไรเท่าไหร่  ผมยกให้หมด  

ประกันผลตอบแทนทุกด้าน ทั้งเงินรายได้ ข้าวที่เก็บไว้บริโภคปรากฏว่า ไม่เอาครับ  ไม่ไว้วางใจ ไม่คิดว่าจะได้ผล 

 เห็นไหมครับ  พวกดื้อตาใส นี่สุดยอดจริงๆ   ทำ ก็ทำให้ดูแล้ว นาก็อยู่ติดกัน ก็มี เหมือนกันทุกอย่าง  ก็ไม่ทำครับ นี่แหล่ะครับที่เรียกว่า ชนเผ่าดื้อตาใส  พันธุ์แท้ครับ 

ใครมีทางแก้บ้างครับ ช่วยบอกด้วยครับ 

 โดยเฉพาะกลุ่มที่ที่ทำงานกับชุมชนทั้งหลาย

 

ผมเริ่มจะจนมุมแล้วครับ  แต่ก็ยังไม่ท้อครับ  จะทำต่อไปครับ

หวังว่า พวกดื้อตาใส จะเลิกดื้อตาใส กลับมาเป็นนักทำงานพัฒนาตาใส จะดีกว่ามั้งครับ  

 และ

นอกจากนี้

ก็ยังมีชนเผ่าเดียวกันนี้ มีอยู่มากในระบบราชการ และมหาวิทยาลัยก็มีอยู่อีกเพียบ

 ที่พยายามผมทำงานกับชุมชนให้ดู ว่าได้ประโชน์กับทั้งตนเอง ชุมชน และผู้อื่น อย่างไร มาตั้งหลายปี

ผลก็คือ เขามาแอบกระซิบครูบาสุทธินันท์ว่า สิ่งที่ผมทำ นั้น ไม่มีประโยชน์กับใคร อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ฉลาด และทรงเกียรติ์ทั้งหลายเขาไม่สน ไม่ทำกันหรอก 

กลุ่มนี้ นอกจากจะดื้อตาใสแล้วยังลอบกัดเก่งอีกต่างหาก  

เรียกว่า ผมไม่กล้าคุยถึงความเก่งของร็อตไวเลอร์ ๔ ตัวที่บ้านผมเลยละครับ เพราะที่บ้านผมมันไม่ลอบกัดเพื่อนและเจ้าของ ครับ 

เราจะช่วยเขาให้ช่วยตนเองและผู้อื่นได้อย่างไรล่ะครับ

ช่วยบอกผมด้วยนะครับ หรือ

จะปล่อยให้เป็นอาหารเต่า อาหารปลาไปครับ 

ขอบคุณมากครับ

หมายเลขบันทึก: 66974เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2006 15:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 18:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
  • สวัสดีครับท่านอาจารย์ ดร.แสวงที่เคารพ
  • เรื่องนี้ผมขออนุญาตมองเป็นสองมิตินะครับ
  • มิติแรกพวกดื้ตาใส เห็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์แล้วไม่ทำ อันนี้ไม่เกิดผลเสียหรือโทษกับใคร เพียงแค่ไม่เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน พอแก้ไขได้ครับ
  • แต่มิติที่สอง พวกดื้อตาใสแบบเห็นซ้ายแล้วไปขวา ก็คือ เห็นสิ่งดีแล้วไม่ทำ เสียเกียรติตนเอง ความคิดลูกน้อง ความคิดชาวบ้าน พวกนี้แทนที่จะไม่ทำสิ่งที่ดี แต่ดันไปทำสิ่งที่เกิดโทษ ไร้ประโยชน์และไร้สาระ กลุ่มนี้น่าจะจับตัดตอนเสียไหมครับ
  • สำหรับเรื่องการแก้ไขนั้น ต้องกราบเรียนว่าสิ่งที่อาจารย์ทำประเสริฐที่สุดแล้วครับ ต้องทำให้ดูครับ พอเห็นใครสำเร็จหรือใครสำเร็จเขาก็จะ "แอบ" ทำตาม
  • แอบแบบไม่ให้อาจารย์เห็นน่ะครับ เพราะเขากลัวเสียฟอร์ม
  • คนไทยฟอร์มเยอะ มาดเยอะครับ เห็นแล้วว่าดี แต่กลัวว่าจะทำตามคนอื่นเขา ไม่ใช่ความคิดของตัวเอง "รั้น" ไม่ค่อยเข้าเรื่องเข้าราว
  • แต่ผมว่าคนแถวนั้น อย่างไรก็ต้องทำตามอย่างที่อาจารย์ทำครับ ปีหน้าทำกับพรึ้ดแน่ ๆ เลยครับ
  • แต่เขาจะไม่บอกหรอกนะครับว่าทำตามแบบอาจารย์ เขาจะปรับโน่นนิดนี่หน่อยแล้วบอกว่าเขาคิด เขาทำเอง
  • นำรูปนาข้าวของอาจารย์มาฝากแฟนคลับที่เข้ามาอ่านบล็อกครับ จะได้เห็นความสมบูรณ์ของนาข้าวที่ท่านอาจารย์ปลูกครับ
  • ผมเห็นแล้วมีความสุขแทนต้นข้าวของท่านอาจารย์ทุกคนรวมถึงดินทุกก้อนและปลาทุกตัวของอาจารย์ครับ

...

ขอบคุณครับ ปภังกร

คุณนี่สุดยอด blogger จริงๆ

นับถือ นับถือ

เรียน ผศ.ดร. แสวง รวยสูงเนิน

อาจารย์ครับในบางครั้ง การที่บอกว่าดื้อตาใสก็คงไม่ผิดหรอกครับ แต่สำหรับชาวบ้านนั้น ในบางครั้งเราคงต้องเข้าใจในบริบทของเขา เช่นกันครับ กล่าวคือ

1. ชาวบ้านเขายังไม่มีความรู้ และยังไม่มีประสบการณ์ การที่จะให้ทำตามนั้นคงลบาก เพราะเขายังไม่เห็นผล จึงไม่กล้าตัดสินใจในการที่จะทำ

2. ชาวบ้านไม่มีทางเลือก เนื่องจากชาวบ้านมีอาชีพเดียวคือการทำนา ดังนั้นความหวังทุกอย่างในการที่จะได้มาซึ่งปัจจัย 4 ของเขาต้อมาจากข้าว ดังนั้นเขาจึงเลือกทำในสิ่งที่เขาเคยทำและมั่นใจ

3. วัฒนธรรมความเชื่อ อาจจะทั้งข้อ 1 ข้อ 2 รวมกัน และผนวกกับวัฒนธรรมชุมชน ที่เคยปฏิบัติ เพราะหากใครที่ทำต่างจากคนอื่น และเมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็จะถูกเพ่งเล็งจากชุมชน และถูกซ้ำเติมในเวลาต่อมา

แนวทางแก้ไข

กระบวนการ KM สามารถแก้ไขและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ครับ เพราะหลักของ KM เราจะใช้ การเล่าเรื่องที่ดีๆ (Storytelling)  สู่กันฟัง และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Share & Learn) แล้วลงมือปฏิบัติร่วมกัน และกลับมาเล่าสู่กันไฟอีกครับ ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นทางออกได้ครับ

ด้วยความเคารพ

อุทัย

ถ้าชาวบ้าน บอกว่า อาจารย์ว่า ดื้อตาใสจริงๆอาจารย์แสวง....อุตส่าห์ ทำไห้ดูแล้วยังไม่เชื่ออีก  สุดยอดดื้อจริงๆ     อาจารย์ จะว่ายังไง ครับ
อาจารย์คะ ติดตามอ่านข้อความมาหลายครั้งแล้วคะ แล้วก็จะต้องได้ขำ ยิ้ม ไปกับสไตล์ แปลก ๆ ของอาจารย์คะ ขอบคุณที่เขียนให้คนอื่นยิ้มได้ ชอบมากที่ว่า "ดื้อตาใส" นึกถึงคนบางคนที่เป็นแบบนี้ แต่ว่า ประเภทดื้อตาใสแถมลอบกัดอีกนี่..น่ากลัวจัง

อาจารย์แสวงที่เคารพค่ะ

       อาการดื้อตาใสที่พบในทุกวันนี้บางครั้งก็มีสาเหตุมาจากความไม่รู้แล้วไม่กล้าที่จะเรียนรู้ เพราะถูกล้างสมองให้เชื่ออยู่ในมิติเดียว คือมิติของการรับรู้มากกว่าการเรียนรู้  แล้วสรุปเข้าข้างตัวเองว่าถูกต้องแล้ว เหมาะสมแล้ว เก่งแล้ว  พอพบเจอสิ่งดี ๆ แปลกใหม่จากที่ตัวเองมีก็ไม่ยอมรับ  คนกลุ่มนี้ต้องให้น้ำตาเช็ดตาตุ่มก่อนจะจึงยอมรับค่ะ

ป๋าแหวงคะ (ขออนุญาตนะคะ อิอิ...รู้ตัวหรือเปล่าว่าเริ่มจะแก่แล้ว)เอาเป็นว่า ลูกศิษย์คนนี้ขอเลียนแบบวิธีการทำนาด้วยนะคะ ตอนนี้ซื้อที่ได้แล้วอยู่ในเขตเทศบาลด้วย ประมาณ 3 ไร่ 3 งาน เอ...หรือจะให้ยืมที่นาทำนาให้ดูดีกว่าไหมคะ อิอิ... รักและศรัทธา

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์

หนูเป็นนักศึกษาคนหนึ่งค่ะที่เคยบอกกับป้าที่บ้านว่าอย่าเผาฟางข้าวในนาเลย  เอาไว้คลุมดินเถอะ  แต่ที่หนูเห็นมาก็เผามาตั้งแต่ตายายแล้วหล่ะค่ะ ป้าเค้าบอกว่าถ้าเอาไว้เดี๋ยวไฟไหม้ ป้าเลยเผาทั้งที่เป็นกองเเละเป็นซังข้าวทั้งนาเลยค่ะ  งั้นถ้าขนาดอาจารย์ทำให้ดูแถมมีผลผลิตมาเเล้วชาวบ้านยังไม่เชื่อเเล้วนักศึกษาอย่างหนูบอกไปเค้าก็หาว่าหนูไม่ทำยังจามาบอกอีกอ่ะค่ะอาจารย์ เเถมเผาเเล้วยังมีเขม่าฟางดำๆมาเกาะที่บ้านเต็มเลยทำความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกต่างหาก  

ในที่สุดเราต้องจำแนกระดับการเรียนรู้ และประเภทความรู้ ที่เป้นจุดเริ่มต้นของการทำงานครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท