จากสถานี keisei ueno station ผมขึ้นรถ limited rapid train ซึ่งเป็นรถไฟชานเมืองจากสถานี ueno มาสุดปลายทางที่สนามบินครับ ค่าโดยสารถ้าเป็นผู้ใหญ่ราคา 1000 เยน หากเป็นเด็กลดครึ่งราคาเหลืออยู่ 500 เยน ระยะเวลาเดินทางจากสถานี ueno ไปยังสนามบิน ใช้เวลา 72 นาทีครับ
อาจจะเนื่องจากเป็นรถไฟเที่ยวเช้า และค่อนข้างเช้ามาก คนที่นี่เมื่อขึ้นมา ก็จะแบ่งได้หลายๆลักษณะครับ ได้แก่
- ขึ้นมาก็หาโลกส่วนตัวของตัวเอง โดยการฟังหูฟังครับ คนญี่ปุ่นมักเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเขาพกหูฟัง ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ แล้วแต่จะชอบ ไปไหนก็เสียบหูฟังไว้กับหู ฟังเพลงไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะเด็กวัยรุ่นอย่างบ้านเรานะครับ ที่นี่ แม้แต่คนทำงานก็เสียบหูฟังครับ หรือบางครั้ง อาม่า อากง ก็ยังเสียบหูฟังเวลาขึ้นรถไฟครับ บ้านเราคงต้องเหลียวหลังกลับมามองกัน เพื่อให้แน่ใจครับ ว่าเป็นอาม่า อากงจริง หรือวัยรุ่นสมองอิ่มริย้อมผมเป็นสีขาวกันแน่
- ขึ้นมาก็ อ่านหนังสือ นี่ก็เป็นชีวิตปกติของชาวญี่ปุ่นครับ เวลาว่างก็งัดหนังสือที่ยังอ่านไม่จบมาอ่านต่อ เขาอ่านหนังสือกันมากครับ และสนใจอ่านแบบใจจรดจ่อ มีสมาธิ ไม่วอกแวก หนังสือที่อ่านก็พบได้หลายประเภทครับ ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ นิยาย หนังสือการ์ตูน นิตยสาร....อะไรที่มีขายตามแผงหนังสือ ชาวอาทิตย์อุทัยก็ขนขึ้นมาอ่านบนรถไฟได้เสมอครับ
- ส่งข้อความคุยกับเพื่อน นี่ก็เป็นอีกสิ่งครับ ที่พบเห็นได้เป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวัน ตอนใหม่ๆ ผมก็ไม่รู้ครับว่าเขางัดโทรศัพท์ขึ้นมาทำไม บนรถไฟหรือรถสาธารณะทั้งหลาย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตากด กด .....แล้วก็กด เหมือนเล่นเกมครับ มาตอนหลังถึงรู้ว่าเขาพิมพ์ข้อความเพื่อส่งต่อครับ บนรถไฟนี่เขาห้ามใช้เสียงในการคุยโทรศัพท์ คงไม่ใช่เป็นกฎหมาย น่าจะเป็นมารยาททางสังคมซะมากกว่า แล้วค่าโทรก็คงแพงครับ ชาวญี่ปุ่นมักจะนิยมในการส่งข้อความคุยกัน หรือไม่ก็ส่งจดหมายอิเลคโทรนิก ผ่านทางระบบโทรศัพท์มือถือ
- นอนเล่น บางคนก็แค่หลับตาครับ แต่บางคนเอาจริง หลับแบบตั้งใจเอาคอไปพาดบนไหล่เพื่อน ผลักก็ไม่ไป ตั้งอกตั้งใจเหมือนคนที่บ้านเราครับ
- ดูวิว อย่างเช่นที่ผมทำ ผมมักจะหาความสุขผ่านทางสายตาในการพบเห็นอะไรที่สวยๆงามๆ แปลกตา รื่นรมย์ไปกับธรรมชาติรอบตัวครับ หลายคนก็รู้สึกอย่างเดียวกัน อันนี้ไม่แปลกครับ
เส้นทางที่เดินทางต้องผ่านสถานี นาริตะ ก่อนแล้วถึงจะไปถึงสนามบินครับ เมื่อคราวก่อนที่มานั้น ผมเคยคิดว่าถ้าผมไม่รู้ก่อนล่วงหน้าว่ามีสถานีนาริตะด้วย ผมก็คงกระโดดลงทีสถานีนาริตะแล้ว เพราะเข้าใจว่านั่นเป็นสนามบินครับ ซึ่งก็คงมีคนทำอย่างที่ผมคิดหลายคนครับ มาคราวนี้ผมจึงเห็นพัฒนาการของรถไฟสายที่ผมนั่งครับ เขาจะมีเสียงตามสาย เพื่อบอกว่าเป็นสถานีอะไร เป็นภาษาญี่ปุ่นครับเป็นเสียงคนสูงอายุ ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี แต่พอใกล้ถึงสถานีนาริตา จะมีเสียงสาวๆที่น่าฟังกว่าพูดเป็นภาษาอังกฤษ บอกให้รู้ว่าข้างหน้าเป็นสถานีนาริตะ สำหรับผุ้โดยสารที่จะเดินทางไปยังสนามบิน ขอให้อยู่บนรถไฟก่อน อย่าเพิ่งลงไป ต้องบอกว่าเขาปรับปรุงคุณภาพการให้บริการอย่างเห็นได้ทันตาครับ เพราะคราวที่แล้วเมื่อเดือนมีนาคมยังไม่มีเสียงนี้ มาคราวนี้ต่างกันเพียงแค่ 9 เดือนเขาสามารถแก้ไขปัญหาคนเข้าใจผิดเรื่องสนามบิน แล้วไปลงที่สถานีนาริตะได้ครับ
อย่างนี้ต้องบอกครับ ว่าการแก้ไขปัญหาของเขา ทำได้ไวจริงๆ น่าชมเชยครับ