ต่อไปนี้เป็นความเห็นของ ศ. ดร. ยอดหทัย เทพธรานนท์
กลุ่มนี้มีความตั้งใจดีมาก ผมชื่นชม
แต่ในขณะเดียวกันผมก็ขอให้ตระหนักไว้ตลอดเวลาถึงเรื่องสำคัญสองเรื่องซึ่งเรื่องแรก
อ.วิจารณ์ ก็ย้ำมาเสมอว่า management เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด
และหลายๆ
คนก็คงเป็นห่วงเหมือนผมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่เราอยากให้มาดูแลเครือข่าย
เพราะคนที่เหมาะสมมีความสามารถสูงเขาก็มีงานประจำที่ดีอยู่แล้วจึงไม่ค่อยอยากมา
แต่ด้วยตัวเลขงบประมาณมากขนาดนี้จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะเป็นสิ่งหมายปองของพวกแดร๊กคิวล่า
ซึ่งจะเข้ามาหาผลประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง
อีกเรื่องหนึ่งก็คงเกี่ยวกับการสัญญากับสังคมซึ่งเราจำเป็นจะต้องทำให้ได้ในสิ่งที่เราสัญญาไว้ในข้อเสนอโครงการ
ซึ่งในเรื่องนี้มีบางอย่างที่ผมเป็นห่วงมากๆ
ว่าจะทำให้สำเร็จตามที่เสนอไว้ยากมาก
สำหรับภาระปัจจุบันที่ทางกลุ่มน่าจะทำทันทีก็คือลองมองย้อนกลับเกี่ยวกับโครงการที่เคยดำเนินมาแล้ว
หรือที่กำลังดำเนินการอยู่ เช่น โครงการ CRN
โครงการเงินกู้ ADB
หรือ
เครือข่ายวิจัยบูรณาการต่างๆ มากมายก่ายกอง
ว่าที่ใช้เงินไปมหาศาลนั้นสัมฤทธิ์ผลอะไรบ้าง
มีจุดอ่อน จุดแข็งเกี่ยวกับการบริหารจัดการอย่างไรบ้าง
มีอะไรที่โครงการใหม่นี้จะใช้เป็นบทเรียนทั้งด้านบวกและด้านลบได้บ้าง
การมองย้อนกลับนี้ไม่ใช่การมองและสรุปโดยคนกลุ่มเล็กๆ
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่ควรจะต้องได้รับความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมให้มากที่สุด
ต่อไปนี้เป็น อี-เมล์ จาก รศ. ดร. วันชัย ดีเอกนามกูล
กราบเรียนอาจารย์ทุกท่านครับ
ทีมงานขอรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการ Mega Project ที่ผ่านมาดังนี้ครับ :
1. การพูดคุยกับกลุ่มผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทั้ง 7 เมื่อวันที่ 4 พย.
ที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดีเกินคาดครับ ทุกศูนย์มีความเข้าใจในโครงการใหม่เป็นอย่างดี
และพร้อมที่เข้าร่วมในรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ ดังนั้นแรงต้านจากกลุ่มนี้จึงคาดว่าไม่มีอีกต่อไป
2. การพูดคุยกับกลุ่มวิจัย foresight 2 (รวมเกือบ 20 คน) ได้รับความสนใจในระดับสูง ทีมงาน
เราได้ส่งบทความทั้ง 11 บทของอาจารย์หมอวิจารณ์ให้กลุ่มนักวิจัยได้อ่านก่อนการประชุม
ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจในภาพรวมก่อนการประชุม
กลุ่มวิจัยเหล่านี้จะช่วยเป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์โครงการ
โดยการใช้ powerpoint presentation ในชุดเดียวกัน
3. Powerpoint presentation ดังกล่าว ได้ส่งมาให้อาจารย์ทุกท่านได้ดูพร้อม e-mail
ฉบับนี้ด้วย รบกวนอาจารย์ทุกท่านได้โปรดพิจารณาดู และให้ความเห็นด้วยครับ
เนื่องจากจะเป็นฉบับที่ใช้เป็นกรอบของโครงการและกำลังจะใส่ลงไปใน web ของ สกอ. เพื่อการเข้าถึงข้อมูลครับ
4. ในระหว่างการดำเนินการจัดตั้งองค์กรนอกระบบเพื่อการจัดการโครงการตามที่ อ.ภาวิช
และ อ.หมอวิจารณ์ มีความเห็นร่วมกันอยู่นี้ ทาง สกอ.
จะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อการขับเคลื่อนโครงการไปพลางก่อน ซึ่งคงจะจัดตั้งในไม่กี่วันข้างหน้าครับ
กรรมการชุดนี้จะมีความสำคัญมากครับ และคงจะมีการปรึกษาหารือกับอาจารย์ผู้ใหญ่ในที่นี้ด้วยครับ
5. ในเรื่องงบประมาณ ปี 2549 ได้ตั้งไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะประกอบไปด้วยทุน
วิจัยในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการบริหารจัดการที่จะเป็นการวางรากฐานสำหรับการขับเคลื่อนต่อไป ทางสำนัก
งบกล่าวว่าประสิทธิภาพการใช้เงินในปีแรกให้เกิดผลจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดสรรเงินในปีต่อๆไป
6. ขณะนี้มหาวิทยาลัยต่างๆ คณะต่างๆ และหลายกลุ่มวิจัยกำลังติดต่อเข้ามาเพื่อให้ไปนำเสนอใน
รายละเอียด รวมถึงขอส่งข้อเสนอโครงการเข้ามาแล้วครับ
การขยับในขั้นต่อไปคงจะได้รับความสนใจมาก
7. เนื่องจากทีมงานบังเอิญอยู่กันพร้อมหน้าในวันจันทร์ที่ 14 พย. นี้
ทีมงานจึงขออนุญาตเรียนถามถึงความเป็นไปได้ที่จะพบอาจารย์ผู้ใหญ่ทุกท่านเพื่อปรึกษาหารือในช่วงบ่าย 16.00 น.
ขออภัยอย่างยิ่งครับสำหรับความฉุกระหุก แต่หากเวลาไม่ลงตัว ทางทีมงานจะขอนัดอีกครั้งหนึ่งครับ
อาจในรูปแบบกลุ่ม หรือพบแต่ละท่านก็ได้ครับ เนื่องจากทราบดีกว่าอาจารย์ผู้ใหญ่ทุกท่านมีภารกิจมากอยู่
จึงเรียนมาเพื่อรายงานความคืบหน้าในปัจจุบันเท่านี้ก่อนนะครับ
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
ทีมงาน
หมายเหตุ อ. วันชัย ขอใช้ห้องประชุม สกว. เป็นสถานที่ประชุม
ต่อไปนี้เป็นความเห็นของ ศ. ดร. ยงยุทธ ยุทธวงศ์
โดยทั่วไปเป็นโครงการที่น่าจะดี และสำคัญ
เป้าหมายที่ตั้งไว้ของ ป เอก สูงเกินไป ควรลดลงตามความเป็นจริง เมื่อคราว
กาญจนาภิเษก อ กำจัดตั้งประมาณ 1000 คนต่อปี แล้วก็ทำได้เพียงประมาณ 2-300
คราวนี้ตั้งประมาณ 2000 คนต่อปี คงได้จริงที่มีคุณภาพไม่น่าเกิน 500 แต่ที่น่า
เป็นห่วงคือจะมีดอกเตอร์แบบไม่มีคุณภาพเกลื่อนเมือง แล้วจะกั้นคนที่มีคุณภาพ
จริงที่มาทีหลัง เพราะฉะนั้นต้องระวังจุดนี้ให้มาก
ขอแสดงความคิดเห็นร่วมกับศ. ดร. ยงยุทธ ยุทธวงศ์
ดิฉันเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมให้กำลังพลของชาติไทยมีการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
แต่ปัจจุบันที่กำลังประสบอยู่จะเห็นได้ว่า
หลายสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศต่างพยายามนำจุดนี้มาเป็นธุรกิจ
ต่างฝ่ายต่างเร่งผลิตดอกเตอร์ออกมาจำนวนมาก
หรือแม้แต่ระดับมหาบัณฑิตออกมามาก
และหลายครั้งที่ได้ยินจากผู้บริหารสถาบันการศึกษาในต่างจังหวัดหลายท่านกล่าวว่า
"เรียนเพื่อปรับวุฒิ " ให้สามารถคุมลูกน้องได้
"เรียนโท-เอกไม่เห็นยากเลย พอจะทำปริญญานิพนธ์ วิทยานิพนธ์
ก้จ้าง..." ซึ่งได้ยินบ่อยมาก และที่หนักไปกว่านั้น
หลายคนที่กลับมาจากต่างประเทศจบดอกเตอร์มา
แต่ประนามระบบการศึกษาในประเทศว่าด้อยพัฒนา ทำให้รู้สึกสะท้อนว่า
แล้วเมื่อเค้ายังเล็กกันอยู่เรียนประถม มัธยม หรือระดับปริญญาตรี
ปริญญาโทกันในประเทศไทย
จากฐานที่มั่นคงตรงนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้เค้าเหล่านี้มีโอกาสได้ไปศึกษายังต่างประเทศ
ดิฉันรู้สึกว่า
ก่อนที่จะส่งคนไทยไปเรียนยังต่างประเทศเพื่อกลับมาสู่สังคมไทย
บางครั้งอาจจำเป็นที่จะต้องพัฒนาจิตสำนึกในความเป็นไทย
ในความเคารพต่อบูรพคณาจารย์ที่ประสิทธิ์ความรู้ในวัยเยาว์ให้เค้าเหล่านี้ด้วย
ที่สำคัญที่เกือบจะรับไม่ได้คือ
พอกลับมาได้สอนที่เดียวกับอาจารย์ที่เคยประสิทธิ์ความรู้ให้ในวัยเยาว์กลับดูถูกเหยียดหยามท่านเหล่านี้ว่า
"โบราณ" "เต่า" "ไดโนเสาร์" "ไม่มีความเป็นสากล"
ฟังแล้วรู้สึกหดหู่มากกับคำเหล่านี้ และยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า
การศึกษาระดับที่สูงขึ้นไม่ได้สอนให้คนบางกลุ่ม
ซึ่งปัจจุบันกำลังจะมาปฏิบัติหน้าที่พัฒนาประเทศ หลงเหลือความเป็น
"คน" "คนไทย" ที่สมบูรณ์ทั้งกาย จิต สติปัญญา
ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ที่ควรลดปริมาณการสนับสนุนทุนให้เหมาะสมกับความต้องการของประเทศ
พร้อมทั้งมีมาตรการในการกำหนดให้ผู้ที่จะไปเรียนนั้นสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินไทยผืนนี้ด้วย