สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ (5)


พบกันอีกครั้ง เกี่ยวกับการออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง การเชื่อมคำ (Linking)

ต่อไปนี้จะเป็นเทคนิคของใครของท่าน  เป็นแบบเฉพาะตัว  ในการพูดภาษาอังกฤษ  ซึ่งหลักต่างๆ  ครูอ้อยได้  กล่าวไปบ้างแล้วในบันทึกที่ผ่านมา  ได้แก่  สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ

สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ (2)

 สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ (4)

คราวนี้จะเป็นบันทึกเกี่ยวกับการออกเสียงและ  ระดับการใช้ภาษา (Expressive Form)  ดังนี้

ครูอ้อยไปอบรมบ่อย  อบรมเรื่องการสอนภาษาอังกฤษก็บ่อยมาก  และนำมาใช้ก็มาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง  การพัฒนา  ครูอ้อยยังมีความกังลวเกี่ยวกับการออกเสียง  ตัวครูอ้อยเองนั้นไม่ค่อยวิตกเท่าไร  เพราะมีความชอบและสนใจอยู่เป็นทุน  แต่นักเรียนของครูอ้อยสิ  พอเป็นตัวของตัวเอง  เธอก็ออกเสียงแบบเดิมๆอีกนั่นแหล่ะค่ะ

การออกเสียงในระดับการใช้ภาษา (Expressive Form)

การออกเสียงในการพูด  หรือ  การสนทนาในชีวิตจริง  จะเน้นที่ความหมาย  จึงไม่มีกฏเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว  อย่างไรก็ตาม  มีการใช้สัญญาณบางอย่างที่ช่วยให้ผู้พูดและผู้ฟังวิเคราะห์  คาดเดาความหมายของกันและกันได้ดีขึ้น

****   การเน้นคำในประโยค (Sentense Focus)  การเน้นคำในประโยค  เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน  ต้องอาศัยการวิเคราะห์ในแต่ละสถานการณ์  เพระผู้พูดมีสิทธิ์ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับส่วนใดของข้อความก็ได้  อาจจะเน้นหนักที่เดียว  หรือ  หลายที่ก็ได้  อาจจะพูดเน้นย้ำคำใด  หรือ  ออกเสียงคำใดให้เด่นชัดเป็นพิเศษ  ก็ได้ตามความต้องการ  นักเรียนจะต้องฝึกฝนเพื่อให้ได้ประสบการณ์  มาช่วยในการวิเคราะห์ในขณะที่ทำการสื่อสาร

****  การหยุด  และการขึ้น - ลงเสียงในประโยค  ในการพูด  ผู้พูดจะแบ่งความคิดออกเป็นช่วงสั้นๆ  เรียกว่า  กลุ่มความคิด (Thought Group)  แต่ละกลุ่มความคิด  คือ  หนึ่งถ้อยความ  ที่ผู้พูดต้องการนำเสนอ  ในภาษาอังกฤษ  จะใช้การหยุด (Pause)  และการลงเสียงต่ำ (Low Pitch)  เป็นสัญญาณการสิ้นสุดของแต่ละกลุ่มความคิด

****การใช้เสียง สูง- ต่ำ ในประโยค (Intonation , Pitch Curve)  การขึ้น - ลงเสียงจะสะท้อนอารมณ์  ความรู้สึกของผู้พูด  บอกให้รู้ว่า  คู่สนทนาเป็นใคร  และผู้พูดอยู่ในสถานการณ์เช่นไร  โดยทั่วไปมีอยู่ 2 แบบ  คือ  เสียงลงต่ำ  (Falling)  และเสียงขึ้นสูง (Rising)

             -  เสียงขึ้นสูง (Rising)  ใช้แสดงว่าผู้พูดยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติม  หรือ สงสัย  กังวลใจ  ผู้พูดอาจใช้เสียงสูงขึ้นต้นประโยคเพื่อให้ผู้ฟังดูสุภาพ  หรือสนใจ

            -  ในประโยคคำถามแบบ Yes/No Question มักจะขึ้นต้น  และลงท้ายด้วยเสียงสูงเพื่อแสดงความสภาพและสนใจ

            -  เสียงลงต่ำ (Falling)  ใช้แสดงการจบถ้อยความ  หรือแสดงความมั่นใจ  ในสิ่งที่พูด

            -  ในประโยคคำถามแบบ Wh Question  โดยปกติเสียงจะลงต่ำตอนท้าย  แต่ถ้าผู้พูดอยากให้ผู้ฟังดุสุภาพขึ้นก็อาจจะขึ้นเสียงสูงตอนท้าย  หรือขึ้นเสียงสูงลงเสียงต่ำ  สลับกันไป

****น้ำเสียง (Tone)  และจังหวะ  ช้า - เร็ว  ของการพูด  (Tempo)  ใช้แสดงอารมณ์ ความรู้สึก  และเจตคติของผู้พูด  เสียงที่แสดงความนุ่มนวล  เคารพ  รักใคร่  เสียใจ  ตกใจ  หรือ  กระด้าง  เกรี้ยวกราด  เหยียดหยาม  ส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกันในทุกภาษา 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็น...สิ่งที่ต้องรู้ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ

หมายเลขบันทึก: 66409เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2006 21:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2014 15:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษ

กลับมาอ่านบันทึกของตัวเอง  มีคนอ่าน  98   แต่ไม่มีคนแสดงความคิดเห็น

ขอบคุณค่ะสำหรับการอ่านออกเสียงจะนำไปใช้สอนนักเรียนและแก้ไขนักเรียนที่ออกเสียงยังไม่ถูกค่ะและขออนุญาตนำไปเพิ่มเติมเป็นtext bookเล็กให้เด็กๆนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท