เรื่อง การประเมิน...ความสามารถในการออม
เขียนโดย... สอนลอ โสตุกี ( Sonelor Sotouki )
แปลโดย...อุทัย เอกสะพัง ( Uthai Eksaphang )
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง นี่คือคำกล่าวที่ผมจำมาตลอด เมื่อเวลาทำอะไรต้องได้มีการวางแผนก่อนเช่นเดียวกันกับการออมเงินหรือการเก็บเงินคนส่วนใหญ่ไม่สามารถเก็บเงินได้ เพราะไม่ได้มีการวางแผนการออมที่ดีมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้ทำการประเมินรายรับ-รายจ่ายและความสามารถในการออมของตนก่อน
คนส่วนใหญ่ 90% ประสบความล้มเหลวในการออม เพราะพวกเขาไม่ได้มีการวางแผนการออมที่ดีมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้มีการประเมินความสามารถในการออมของตนมาก่อนว่าตนเองสามารถเก็บได้มากน้อยเพียงใด.? เมื่อไม่ได้มีการกำหนดเป้าหมายการออม ไม่ได้กำหนดจำนวนเงินและระยะเวลาในการออมให้ชัดเจน นี้เก็บสิบ นี้เก็บญี่สิบนี้เก็บแสน...นี้ไม่เก็บกล่าวง่าย ๆ คือไม่ได้มีการคิดทบทวนอะไรเลย...ไม่รู้เลยว่าเราต้องจ่ายเท่าใด เก็บเท่าใดเก็บเพื่ออะไรและต้องเก็บกี่ปี
สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร และกลับมาบอกตัวเองว่าไม่สามารถเก็บได้เพราะมีรายรับแต่น้อยเดียว มีรายจ่ายมากต่าง ๆ นา ๆ เป็นข้ออ้าง การออมเงินนี้เรื่องใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องยากคุณสามารถทำได้ไม่ว่าคุณจะมีรายรับมากหรือน้อยก็ตาม
เมื่อคุณมีรายรับน้อยคุณก็ต้องเก็บได้น้อย ถ้าคุณมีการวางแผนการออมที่ดีมีการเริ่มต้นที่ดีและปฏิบัติให้สม่ำเสมอ คุณสามารถในการประเมินความสามารถในการออมของคุณได้ ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 ประเมินรายรับ
ขั้นตอนแรกในการประเมินความสามารถในการออมของคุณคือการประเมินรายรับ-รายรับ เป็นการคิดทบทวนว่า คุณมีรายรับมาจากไหน..? และรายรับเท่าใดในแต่ละเดือน..? การประเมินรายรับเป็นการวิเคราะห์เพื่อให้รู้ว่า รายรับของคุณในแต่ละเดือนนั้นเพียงพอต่อการใช้จ่ายหรือไม่..? และคุณมีเงินเหลืออยู่เท่าใดที่จะออม..?
ตัวอย่างการบันทึกรายรับ
รายรับ/เดือน |
1.เงินเดือน = 4,000,000 กีบ |
2.รายได้จากธุรกิจ = 8,000,000 กีบ |
รวมรายรับ = 12,000,000 กีบ |
ตามตารางนี้ แสดงให้เห็นว่า คุณมีรายรับมาจาก 2 ช่องทางคือ รายรับที่เป็นเงินเดือน
4,000,000 กีบต่อเดือนและรายรับจากการทำธุรกิจ 8,000,000 กีบต่อเดือน ซึ่งรวมทั้งหมดแล้ว คุณมีรายรับ 12,000,000 กีบต่อเดือน
...............................................
*เป็นข้อมูลที่สมมุติขึ้นมา
ขั้นตอนที่ 2 ประเมินรายจ่าย
การประเมินรายจ่ายเป็นการคิดทบทวนว่าคุณมีรายจ่างเท่าใดในแต่ละเดือน..? ซึ่งผมแบ่งรายจ่ายทั่วไปออกไปออกเป็น 2 ประเภทคือรายจ่ายที่จำเป็นและรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
รายจ่ายที่จำเป็นคืออะไร..?
คือรายจ่ายที่ต้องจ่ายเช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเรียนของลูก ค่าเช่าบ้าน ค่างวดผ่อนรถและอื่น ๆ รายจ่ายที่จำเป็น คือ รายจ่ายที่ต้องได้จ่ายในทุกเดือนและไม่สามารถยกเว้นได้ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เช่น ถ้าคุณเช่าบ้านอยู่ คุณต้องได้เสียค่าเช่าบ้านไม่จ่ายไม่ได้ ถ้าการเงินคุณไม่พร้อมจริงและคุณต้องการประหยัดเงิน คุณสามารถทำได้ ด้วยการย้ายไปหาที่เช่าถูกกว่านั้น
รายจ่ายที่ไม่จำเป็นคืออะไร..?
คือรายจ่ายที่คุณสามารถหักเอาได้หรือสามารถชะลอจ่ายได้เช่น ค่ากิน น้ำมันรถใหญ่ บัตรโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต เครื่องสำอาง ยาสูบ เหล้าเบียต่าง ๆ รายจ่ายส่วนนี้เป็นรายจ่ายที่ผมเชื่อว่าคุณสามารถควบคุมได้ บางคน รายจ่ายเหล่านี้ยังมากกว่ารายจ่ายที่ต้องจ่าย รายจ่ายเหล่านี้ ส่วนมากจะไม่ได้จ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ เป็นการจ่ายย่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ถ้าคุณจดบันทึกการจ่ายแต่ละอัน เมื่อสิ้นเดือนมา คุณลองคิดทบทวนดูผมเชื่อว่า คุณต้องอ้าปากค้างแน่นอน
คุณสามารถบันทึกรายจ่ายแบบง่าย ๆ ได้ เช่น
รายจ่าย / เดือน
1.รายจ่ายที่จำเป็น
-ค่าเทอมลูก 500,000 กีบ
-ค่าผ่อนรถใหญ่ 3,500,000 กีบ
-ค่าเช่าห้อง 750,000 กีบ
รวมรายจ่ายที่ต้องจ่าย 4,750,000 กีบ
2.รายจ่ายไม่จำเป็น
-ไปตลาดซื้ออาหาร 800,000 กีบ
-อินเทอร์เน็ต 250,000 กีบ
-ยาสูบ 100,000 กีบ
-ค่าสมาชิกฟิตเนส 400,000 กีบ
-ทานอาหาร 750,000 กีบ
รวมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น 2,300,000 กีบ
รวมรายจ่าย / เดือน 7,050,000 กีบ
..................................................................
*เป็นข้อมูลที่สมมุติขึ้นมา
นี่คือตัวอย่างการคำนวณหรือบันทึกรายจ่ายในแต่ละวัน แต่ละเดือนของคุณเป็นรายการที่ผมสมมุติขึ้นมาเท่านั้น ความจริงรายรับและรายจ่ายของคนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมาก อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างและเป็นแนวทางให้คุณดูเท่านั้น
ทำไมผมจึงแยกออกเป็นรายจ่ายที่จำเป็นและไม่จำเป็น เพราะรายจ่ายที่จำเป็น เป็นรายจ่ายที่คุณต้องได้จ่ายและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่วนรายจ่ายที่ไม่จำเป็นคือรายจ่ายที่คุณสามารถลดหย่อนหรือตัดออกเลยก็ได้
ฉะนั้น คุณจำเป็นต้องได้จำแนกรายจ่ายแต่ละอย่างของคุณให้ละเอียด เพื่อไม่ให้สับสนและค้นหาช่องทาง ในการแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด หลังจากคุณรู้รายรับและรายจ่ายของคุณละเอียด ดังตัวอย่างที่ผมได้ยกขึ้นมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประเมินว่า คุณมีเงินเหลือเท่าใดในแต่ละเดือน ซึ่งคุณสามารถนำเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือนนั้น ไปตั้งเป้าหมายการเก็บได้
รายรับ / เดือน
1.เงินเดือน 4,000,000 กีบ
2.รายได้จากธุรกิจ 8,000,000 กีบ
รวมรายรับ 12,000,000 กีบ
รายจ่าย / เดือน
1.รายจ่ายที่จำเป็น
-ค่าเทอมลูก 500,000 กีบ
-ค่าผ่อนรถใหญ่ 3,500,000 กีบ
-ค่าเช่าห้อง 750,000 กีบ
รวมรายจ่ายที่ต้องจ่าย 4,750,000 กีบ
2.รายจ่ายไม่จำเป็น
-ไปตลาดซื้ออาหาร 800,000 กีบ
-อินเทอร์เน็ต 250,000 กีบ
-ยาสูบ 100,000 กีบ
-ค่าสมาชิกฟิตเนส 400,000 กีบ
-ทานอาหาร 750,000 กีบ
รวมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น 2,300,000 กีบ
รวมรายจ่าย / เดือน 7,050,000 กีบ
เงินเหลือต่อเดือน 4,950,000 กีบ
จากข้อมูลที่สมมุติมาข้างบนนี้ เห็นว่า ภายใน 1 เดือนหลังจากการนำรายจ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายประจำมาหักรายรับออกแล้ว คุณยังมีเงินเหลืออยู่ 4,950,000 กีบ แสดงว่าคุณมีความสามารถในการออมได้ 4,950,000 กีบ ซึ่งเงินจำนวนนี้ คุณสามารถนำไปเก็บตามแผนของคุณไว้ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายจ่ายต่าง ๆ เพราะคุณได้คิดทบทวนและหักออกหมดแล้ว สิ่งสำคัญคุณต้องปฏิบัติตามแผนการจ่ายเงินให้ได้และถ้าคุณไม่แน่ใจ คุณสามารถกันเงินจำนวนหนึ่งออกเพื่อเป็นเงินสำรองไว้ในครอบครัว แล้วเอาส่วนที่เหลือไปเก็บตามเป้าหมายที่กำหนดได้เลย แล้วเอาส่วนที่เหลือไปเก็บตามเป้าหมายที่กำหนดได้เลย
ถ้าสมมุติว่า รายรับและรายจ่ายอยู่ในระดับเดียวกับรายรับรายจ่ายแล้ว ไม่มีเงินเหลือหรือเหลือเพียงนิดเดียว จนคุณรู้สึกว่าไม่สามารถนำไปเก็บได้ คุณจะทำแบบใด..?
แสดงว่าสถานะทางการเงินของคุณยังไม่มีความคล่องตัว คุณยังไม่พร้อมที่จะออมซึ่งคุณต้องได้อดรวยไว้ก่อน
แต่ถ้าคุณอยากออมจริง ๆ แล้ว วิธีที่สามารถแก้ได้ชั่วคราวคือ ไปค้นหารายจ่ายของคุณ โดยเฉพาะรายจ่ายที่ไม่จำเป็นคุณลองไปศึกษาดูให้ดีว่า แต่ละเดือนคุณจ่ายเงินที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายไปมากเท่าใดแล้วถามตัวเองว่า คุณสามารถตัดค่าใช่จ่ายรายการใดออกได้บ้าง..?
วิธีการแก้ไขชั่วคราวที่คุณสามารถทำได้ทันทีคือการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปแล้วคุณจะมีเงินเหลือมากขึ้นและสามารถนำเอาไปสร้างเงินออมได้
สำหรับวิธีในการแก้ไขปัญหาทางด้านการเงินเพื่อคุณสามารถอยู่รอดหรือเพื่อสามารถเริ่มสร้างเงินออมได้นั้น ผมแนะนำว่ามี 2 วิธี คือ การหยุดรายจ่ายและการสร้างรายรับ
วิธีที่ 1 การหยุดรายจ่าย
เป็นการตัดค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกดังตารางข้างบนนี้
วิธีการตัดรายจ่ายเป็นวิธีที่คุณสามารถทำได้ทันที แต่เป็นเพียงวิธีที่สามารถแก้มันได้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะความต้องการในการบริโภคและอัตราเงินเฟ้อมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คุณไม่สามารถปฏิบัติอดมื้ออดกินหรือ Live below your means ไปในระยะยาวได้
วิธีที่ 2 การสร้างรายรับเพิ่ม
เป็นวิธีที่ดีที่สุด การตัดรายจ่ายออกนั้นคุณสามารถทำได้ ในระยะสั้นเท่านั้น แต่เพื่อความมั่นคงในชีวิตในระยะยาวเพื่อคุณสามารถออมเงินได้มากขึ้น การค้นหาช่องทางในการสร้างรายรับเพิ่มขึ้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุด ปกติคนเราสามารถสร้างรายรับมาได้หลายช่องทาง เช่นว่า เงินเดือน เงินจากการค้าขาย รายรับเสริมจากการขายเครื่องออนไลน์ การสอนหนังสือพิเศษ เงินปันผลจากการลงทุนและอื่น ๆ ผมเข้าใจว่า เมื่อพูดถึงรายรับทุกคนจะดูไปที่ต้นทุนคือจะทำธุรกิจอะไร ก็ต้องมีต้นทุนจะหาเงินที่ไหนมาลงทุน..? ประมาณนี้
ผมก็ชอบถามตัวเองและชอบตอบผู้อื่นแบบนั้นเช่นกัน แต่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเกี่ยงงาน...งานไหนทำแล้วมีรายรับทำแล้วได้เงินผมทำทันที
นับตั้งแต่เริ่มขายจี่ก้อยริมทาง ไปขอรับสินค้ามือสองมาขายตามฟุตบาท เข็นล้อขายเครื่องผมทำมาหมด...ผมไม่ใช่คนประสบผลสำเร็จ ผมยังเป็นเป็นคนจน ๆ แต่ผมผ่านขั้นตอนฟ้ามืดตามัว ไม่มีเงินจ่ายนั้นมาแล้ว ทุกวันนี้ ผมกำลังปฏิบัติแผนการเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมายและผมก็กำลังลงทุนสะสมในตลาดหุ้น เพื่อผมจะได้เป็นอิสรภาพทางด้านการเงินตามแผนระยะทางของผมในอนาคต
ผมอยากบอกคุณว่า ทุกวันนี้ทำอะไรก็ดีหมด ถ้าคุณตั้งใจทำจริง เทคโนโลยีก็ทันสมัย คุณสามารถหาเงินด้วยการเล่นอินเทอร์เน็ตได้หลาย ๆ วิธี ขายเครื่องทางเฟสบุค เป็นนายหน้าซื้อขายสินค้า นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ หลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลยก็มี ขอให้คุณทดลองศึกษาดูนะ.
..............................................................
ปล. แปลจากต้นฉบับภาษาลาว.
ไม่มีความเห็น