บ่ายวันนั้นหลังจากญาติโยมที่มาทำบุญกลับกันไปหมดแล้ว ธรรศกับนิพาดาเข้าไปกราบหลวงพ่อ แล้วเรียนท่านว่า เขาทั้งสองตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ได้ปรึกษากับพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายแล้ว อยากจัดพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่ายที่วัดของหลวงพ่อ และนิมนต์หลวงพ่อเป็นองค์ประธานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเขาทั้งสอง หลวงพ่อยิ้มให้อย่างเมตตา แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า
“ดีแล้ว เราเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า เป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธองค์แก่เรามา จะคิดจะทำอะไรก็ทำอย่างมีสัมมาสติ เราเป็นมนุษย์ปุถุชนที่ยังอยู่ในโลกียสุข จะตัดขาดถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ก็จะดูสุดโต่งเกินไป พระพุทธองค์สอนให้มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างผู้ครองเรือนได้ แต่ต้องมีศิลปะในการดำรงชีวิตให้มีความสุข โดยต้องรักษาศีลเป็นพื้นฐานไม่ให้บกพร่อง แล้วพยายามลดละเลิกกิเลส ราคะ เครื่องเศร้าหมองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ให้เบาบางและค่อยๆหมดไป แล้วหมั่นเดินตามเส้นทางสู่ความหลุดพ้นไปด้วยกันทั้งครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป” หลวงพ่อกล่าวต่ออีก
“หลวงพ่อดูคุณครูทั้งสองคนมานาน ด้วยความชื่นชมศรัทธาในวัตรปฏิบัติทั้งการปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธองค์ และการปฏิบัติตนให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น จึงเชื่อมั่นได้ว่าคุณครูทั้งสองจะมีศิลปะในการดำเนินชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมได้อย่างสมดุลและมีความสุข หลวงพ่อก็ขออนุโมทนา และยินดีทำตามที่คุณครูทั้งสองขอมาทุกอย่าง”
ธรรศและนิพาดาก้มลงกราบท่านด้วยความซาบซึ้งในคำสอนและความเมตตาที่ท่านมีให้ทั้งสองคนมาโดยตลอด
หลังจากนั้นธรรศได้เรียนปรึกษาหลวงพ่อต่อไปอีกว่า
“เราปรึกษากับพ่อแม่ของเราทั้งสองแล้วว่า อยากจะจัดงานมงคลสมรสกันในช่วงปิดภาคเรียน แต่ก่อนจะถึงพิธีมงคลสมรส อยากเรียนปรึกษาและนิมนต์หลวงพ่อด้วยว่า เราอยากจัดกลุ่มที่ไม่ใหญ่นักเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียกันสักครั้งเพื่อเป็นสิริมงคล แล้วถือโอกาสสมัครเข้าอบรมหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน 1 วัน ที่พระมหาเจดีย์วิปัสสนาแห่งโลก นครมุมไบ หลวงพ่อเห็นเป็นประการใดครับ” หลวงพ่อยิ้มและพยักหน้า
“เป็นความตั้งใจของหลวงพ่อมานานแล้ว ว่าในฐานะเป็นชาวพุทธ จึงควรจะได้ไปสักการะสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธองค์ ณ สถานต้นกำเนิดสักครั้ง และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่พระมหาเจดีย์วิปัสสนาแห่งโลก ที่นครมุมไบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวพุทธทั่วโลกร่วมกันสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้พระพุทธศาสนากลับคืนสู่ประเทศอินเดียเมืองแม่ ให้ยั่งยืนนานตลอดไป หลวงพ่อเห็นด้วย จัดเลย หลวงพ่อไปด้วย”
หลวงพี่ชัชพงศ์ซึ่งช่วยงานหลวงพ่ออยู่ใกล้ๆ ได้ยินการพูดคุยกันทั้งหมด ได้มาแสดงความยินดีกับธรรศและนิพาดา ด้วยใบหน้าและคำพูดที่จริงใจ ต่างจากชัชพงศ์ผู้เคยเกเรวางตัวเป็นเจ้าของนิพาดาในสมัยก่อนโดยสิ้นเชิง ธรรมะทำให้ผู้ปฏิบัติเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้จริงๆ และดูทีท่าแล้วท่านคงไม่สึกจากเพศบรรพชิตแล้ว และหลวงพี่ชัชพงศ์บอกว่าจะขอไปประเทศอินเดียกับคณะด้วย
หลังจากวันนั้นนิพาดาก็โทรหานิศมาและกรนุชเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วแจ้งข่าวของตนกับธรรศและชวนไปอินเดียด้วยกัน
นิพาดาทราบว่านิศมายังคงทำงานอยู่ที่มูลนิธิฯ ที่เดิม สุขสบายทั้งกายและใจที่ได้รับใช้ธรรมะและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งครอบครัวก็มาช่วยกันเดินตามเส้นทางสายนี้ ไม่คิดเรื่องการมีคู่ครองแล้ว ส่วนกรนุชแต่งงานอย่างเงียบๆกับครูที่สอนโรงเรียนบนดอยด้วยกันที่แม่ฮ่องสอน ทั้งคู่มีอุดมการณ์และวัตรปฏิบัติตรงกัน ตอนนี้ยังไม่มีลูก ต่างทุ่มเทอบรมสั่งสอนเด็กๆชาวเขาที่แม่ฮ่องสอนอย่างมีความสุข คงไม่คิดย้ายไปไหนแล้ว ได้สอนให้เด็กๆปฏิบัติอานาปานสติกันทุกวัน ตัวเธอเองและสามีก็ร่วมปฏิบัติกับเด็กด้วย ยังปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาตามคำสอนของอาจารย์อย่างสม่ำเสมอทุกวัน ปิดเทอมแต่ละครั้งก็จะสมัครมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่ศูนย์วิปัสสนากรรมฐานในจังหวัดลำพูนด้วยกันทุกปี
ทั้งนิศมาและกรนุชต่างแสดงความยินดีกับการลงเอยของนิพาดาและธรรศ และรับปากจะมาร่วมทั้งการไปอินเดียและร่วมงานแต่งานด้วย เพราะเป็นช่วงปิดเทอมปลายพอดี นิพาดาขอร้องให้นิศมาซึ่งมีความคล่องตัวและรู้ข้อมูลต่างๆดีให้ช่วยติดต่อประสานงานเรื่องการไปอินเดีย นิศมาก็ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่
นิพาดาไม่ลืมที่จะติดต่อหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ขวัญหทัย ชรัมพร กนกอร และธนกฤต ซึ่งก็ยังติดตามถามข่าวกันอยู่เสมอ พอทุกคนทราบข่าวว่านิพาดาจะแต่งงานต่างแสดงความยินดีและรับปากว่าจะไปร่วมงานแต่งงาน แต่ก็ขอตัวที่ไม่ไปอินเดียด้วย
นิพาดาทราบว่า ขวัญหทัยเรียนจบปริญญาโทแล้วต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ จบแล้วได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยของรัฐ เธอทุ่มเททำงาน สร้างผลงานวิชาการ และเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เธอยังครองชีวิตโสด ทั้งๆที่มีผู้ชายเก่งๆดีๆเข้ามาให้เลือกหลายคน แต่เธอก็ตั้งเป้าหมายในชีวิตคู่ไว้สูง จึงยังไม่มีชายใดผ่านเกณฑ์การประเมินของเธอได้
ชรัมพร พอจบปริญญาโทก็มาบริหารโรงเรียนเอกชนแทนพ่อ แล้วไปเรียนต่อปริญญาเอกในเมืองไทย ตอนนี้จบแล้ว แต่งงานไม่ถึงปีก็เลิกรากันไป ดีที่ยังไม่มีลูกด้วยกัน นี่ก็มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาดูใจกันอยู่ และมีแผนจะใช้ชีวิตคู่ครั้งใหม่ในเร็วๆนี้
กนกอร ยังเป็นเถ้าแก่เนี้ยขายเครื่องเขียนแบบเรียนเหมือนเดิม ทั้งสามีภรรยาช่วยกันทำมาหากินจนร่ำรวยมากขึ้น มีลูกสามคนแล้ว ส่วนธนกฤต เพื่อนหลวงพี่ชัชพงศ์ตอนนี้จบปริญญาโทแล้ว และเจ้าของโรงเรียนเอกชนที่เคยสอนแต่งตั้งให้มาช่วยทำหน้าที่บริหารโรงเรียน
ธนกฤตมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่เขาก็เจอปัญหาการบริหารโรงเรียนเอกชนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องนักเรียนมีจำนวนลดลง การแข่งขันในโรงเรียนเอกชนมีสูง และปัญหาภายในโรงเรียนอีกหลายเรื่อง เขารู้สึกเครียดที่ต้องพยายามบริหารโรงเรียนให้ประสบผลสำเร็จสมกับที่เจ้าของโรงเรียนไว้วางใจ
เพื่อนๆแต่ละคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตนเองตามพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน มีสุข มีทุกข์ ต่อสู้ดิ้นรนกันไปในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกขณะ
เห็นชีวิตของเพื่อนๆแต่ละคนแล้วทำให้นิพาดานึกถึงคำสอนของอาจารย์ตอนหนึ่งที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนต่างแสวงหาความสุขให้กับตนเอง ทว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่ทำได้เพียงแค่ไขว่คว้า พอได้ในสิ่งที่ต้องการที่คิดว่าเป็นความสุข แต่มันอยู่กับเราไม่นานก็เลื่อนลอยไป ไม่ได้รับความสุขอย่างที่หวังไว้ หลายครั้งต้องพบแต่สิ่งไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นความหงุดหงิด ไม่สบายใจ สิ่งที่เราไม่ประสงค์ให้เกิด มักจะบังเกิดกับเรา แต่สิ่งที่เราประสงค์กลับไม่เกิด
ชีวิตในโลกของความเป็นจริงไม่เหมือนกับในโลกของเทพนิยาย ที่ทุกคนอยู่อย่างมีความสุขชั่วกาลนาน เราไม่อาจหลีกหนีไปจากความจริงที่ว่า ชีวิตนี้มีแต่ความบกพร่อง ไม่สมบูรณ์แบบและไม่น่าพอใจ เพราะความทุกข์นั้นมีอยู่จริง
พระพุทธเจ้าทรงพบว่า ความทุกข์ของคนเรานั้นมิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีสาเหตุอยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับปรากฏกาณ์ทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุอันเป็นที่มาทั้งสิ้น กรรมคือกฏของเหตุและผลนี้ เป็นกฏสากลและและเป็นกฏพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเสียทีเดียว การกระทำของเราเองต่างหากที่เป็นเหตุให้เราได้รับผลกรรมนั้นๆ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้"
ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถกำหนดอนาคตด้วยการควบคุมการกระทำของตน และรับผิดชอบในการกระทำอันเป็นเหตุให้ตนต้องเป็นทุกข์ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ตนแลเป็นทางไปของตน"
---------------------
ไม่มีความเห็น