เย็นวันหนึ่ง หลังจากเสร็จกิจกรรมของชมรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ ที่วันเสาร์นี้ธรรศและนิพาดาพานักเรียนไปช่วยชาวนาบ้านหนึ่งทำนา ร่วมกับชาวบ้านที่มาช่วยเอาแรงกัน พอธรรศกับนิพาดาส่งนักเรียนขี่จักรยานกลับบ้านไปหมดแล้ว ธรรศกับนิพาดาก็ขี่จักรยานกลับกัน ผ่านทุ่งนาเขียวขจี พอดีเหลือบไปเห็นเถียงนาข้างทางที่ชาวนาบ้านหนึ่งสร้างไว้กลางบึง เพื่อพักร้อน พักทานอาหารกลางวันระหว่างทำนา ซึ่งเป็นธรรมเนียมของชาวนาทุกบ้านเขาทำกัน เพราะแต่เดิมชาวนาเคยอาศัยพักร่มไม้ในจอมปลวก แต่เดี๋ยวนี้ชาวนาต้องการขยายพื้นที่ทำนาเพิ่ม เลยไถจอมปลวกออก มาสร้างเถียงนาพักร่มแทน ธรรศเองก็เริ่มเหนื่อยล้าจากการลุยโคลนมาทั้งวัน เลยชวนนิพาดาไปนั่งพักที่เถียงนาสักครู่ให้คลายเหนื่อย ดอกบัวกำลังออกดอกแดงสะพรั่งเต็มสระรอบเถียงนา นิพาดาเห็นด้วยเพราะเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน และอยากชมดอกบัวด้วย
ธรรศจอดจักรยานไว้ข้างทาง ทั้งสองคนเสื้อผ้าและเนื้อตัวยังมีโคลนแห้งกรังเป็นคราบๆที่ยังล้างออกไม่หมด ใครเห็นก็คงคิดว่าเป็นชาวนา ไม่ใช่เป็นครู ธรรศประคองนิพาดานิดหนึ่งก่อนพยุงตัวเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ลงไปที่เถียงนากลางคลอง ที่มุงด้วยหญ้าคา ปูพื้นด้วยฟากที่ทำจากไม้ไผ่ พอเหยียบลงไปก็เกิดเสียงดังกรอบแกรบ ธรรศประคองนิพาดาไม่ให้ล้มหรือร่วงลงไประหว่างเดินบนฟาก ต่างชะโงกมองลงไปในคลอง เห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมาอยู่กลางบึง บางตัวก็ผุดขึ้นมาสูดอากาศเสียงดังจ๋อมๆ น้ำกระจายเป็นคลื่น จนใบบัวกระเพื่อมเป็นหย่อมๆตามจังหวะการผุด ดูงดงามสบายตาดีจัง ลมก็พัดเย็นสบาย
“สวยจัง”นิพาดาเอ่ยขึ้นก่อน ขณะจ้องดูบัว ดูปลาอย่างเพลิดเพลิน นี่ถ้าเป็นสมัยเรียนหนังสือคงเอากล้องถ่ายรูปมาเซลฟี่ แชร์อวดคนอื่นๆแน่ เธอคิด แต่ตอนนี้ทำไมความคิดนี้หายไป เธอก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมตอนนี้ไม่ติดมือถือกันเหมือนเมื่อสมัยก่อน ถ้าจะใช้ก็เพื่อโทรประสานงานติดต่อกันหรือเพื่อค้นคว้าหาความรู้เท่านั้น
ทั้งสองต่างทรุดตัวลงนั่งห้อยขาคู่กันที่พื้นฟาก ธรรศเอ่ยขึ้นก่อน
“ชนบทอากาศเย็นสบายอย่างนี้ ทำไมคนยังอพยพไปแออัดกันในเมือง ทั้งๆก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเลย”
“ถ้าชีวิตเขาดีขึ้นอย่างตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครอยากไปทำงานอยู่ในเมืองหรอก” นิพาดากล่าวคล้อยตาม
ทั้งสองสบตากัน ต่างนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนมีมนต์สะกด พลันความรู้สึกที่อบอุ่น ดื่มด่ำ แผ่ซ่านไปทั่วกายของคนทั้งสอง ช่างเป็นความรู้สึกประหลาด ที่เขาทั้งสองไม่เคยเกิดเช่นนี้มาก่อน แม้เขาจะใกล้ชิดผูกพันกัน แทบไม่คลาดจากกันมานาน มีคนหนึ่งก็ต้องมีอีกคนหนึ่งเสมอ จนทั้งนักเรียน ครู ผู้บริหารและชาวบ้าน ต่างรู้และเข้าใจกันแล้วว่า เขาทั้งสองเป็นคู่รักกัน เพราะจะเห็นทั้งสองคนไปไหนไปด้วยกัน ทำงานร่วมกันอย่างขยันขันแข็งและเสียสละเพื่อเด็กๆ เพื่อโรงเรียนและชุมชนอย่างแท้จริงมาหลายปีแล้ว ทุกคนมองเขาทั้งสองด้วยความชื่นชมศรัทธาทั้งในวัตรปฏิบัติ การวางตน ความสง่างาม ว่าช่างเป็นคู่รักที่น่ารัก ดูเหมาะสมกันยิ่งนัก และทุกคนก็อยากให้ทั้งคู่ลงเอยกันจริงๆ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีใดๆที่จะเกิดตามที่ทุกคนหวัง การวางตนเป็นที่น่าเคารพเชื่อถือของทั้งสองคน ทำให้ไม่มีใครกล้าปริปากล่วงละเมิดถามในเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
ทั้งสองไม่เคยมีเวลามานั่งสบตากันในบรรยากาศที่โรแมนติกเช่นนี้มาก่อน ธรรศค่อยๆยื่นมือไปจับมือนิพาดา สองมือประกบกัน ความซาบซ่านใจแผ่ขยายไปทั่วร่าง นิภาดาหลบตาเขาลงนิดหนึ่งด้วยความขวยอาย เพราะไม่เคยถูกชายใดจับมือและสบตาอย่างมีความหมายเช่นนี้มาก่อน เธอค่อยๆเงยหน้ามาสบตาเขาอีกครั้ง ธรรศเองก็ไม่เคยทำเช่นนี้และเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับหญิงใดมาก่อน
“วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะนิ เผลอไม่ทันไรเราก็อยู่ที่นี่มาแปดปีแล้ว” ธรรศเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบและดับความเขินอาย แต่ยังไม่วายกุมมือเธอเขย่าเบาๆ อยากจับมือเธอไว้เช่นนี้ตลอดไป ไม่อยากให้หลุดจากมือเขาไปไหน
นิพาดายังคงนิ่งไม่กล่าวอะไรออกมาจากปาก สบตาเขาเหมือนจะส่งใจบอกความรู้สึกในส่วนลึกในใจเธอให้เขารับรู้ ว่าเธอก็เกิดความรู้สึกไม่ต่างจากเขาหรอก พลันภาพและความรู้สึกเก่าๆเมื่อเธอเจอกับเขาครั้งแรกที่วัดไชยวัฒนารามก็ผุดขึ้นมา แม้วันนั้นไม่ได้สบตากันและเกิดความรู้สึกที่ดื่มด่ำเหมือนเช่นวันนี้ แต่เธอก็รับรู้ได้ว่ารักแรกพบของเธอได้เกิดขึ้นแล้ว และรอวันที่อยากพบกับเขาอีก จนเหมือนพรหมลิขิตบรรดาลชักพาให้ได้มาพบกับเขาอีกที่สนามบินดอนเมือง ได้ไปเที่ยวนครศรีธรรมราชด้วยกัน ได้อบรมปฏิบัติธรรมร่วมกัน แม้เป็นครั้งแรกที่ต้องเจอกับเวทนามากมาย แต่ก็ผ่านพ้นไปได้ เพราะได้กำลังใจจากเขาเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญ เธอได้พบกับเขาอีกหลายครั้ง ได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่อบอุ่น ร่มรื่นน่าอยู่การดำรงชีวิตที่พอเพียงและการแบ่งปันพืชผักผลไม้ ต้นไม้แก่ผู้อื่นของเขา ยิ่งเพิ่มความศรัทธาประทับใจในตัวเขายิ่งขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เขาถูกชัชพงศ์ทำร้าย หัวใจเธอแทบแตกสลายให้ได้ เป็บบุญเหลือเกินที่เราสองคนอยู่ในสายธรรมด้วยกัน ได้มาทำงานที่เรารักด้วยกัน ได้ทำกิจกรรมที่สั่งสมบุญกุศลร่วมกัน ช่างเป็นสุขเหลือเกิน
ธรรศเองก็หวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ ทั้งสองยังสบตากัน ยิ้มให้กัน กระชับมือให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ธรรศเขย่ามือเธอเบาๆอีกครั้ง สักครู่สติและความคิดของทั้งคู่ก็กลับกลับคืนมา
“พี่ดีใจ และมีความสุขมากที่ได้พบกับนิ” ธรรศหลุดคำพูดที่อัดอั้นอยากกล่าวมานาน อย่างตะกุกตะกักเพราะความประหม่า
“นิก็เช่นกันค่ะ” นิพาดาตอบเบาๆ และหลบตาเขานิดหนึ่ง
“คงเป็นธรรมะจัดสรรให้เราได้เจอกันกระมัง” ธรรศกล่าวต่อ
"ใช่ค่ะ เหมือนฝันเลยนะ อยู่ๆก็เจอพี่ธรรศที่วัดไชยฯ และสนามบิน แล้วได้เดินทางสายธรรมด้วยกัน" นิพาดาพูดและยิ้มอย่างมีความสุข
"พี่โชคดีมากกว่าที่ได้เจอนางฟ้าอย่างนิ" ธรรศเกิดความกล้าขึ้นแล้ว
"โชคดีด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ" นิพาดายืนยันแล้วหัวเราะในลำคอ
ธรรศยกธรรมะบรรยายของท่านอาจารย์ตอนหนึ่งมารื้อฟื้นให้นิพาดาฟัง
"นิจำที่อาจารย์เคยสอนเราได้ไหมว่า การรักษาศีลห้าคือพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ และยังเป็นพื้นฐานนำไปสู่การพัฒนาสมาธิและปัญญาด้วย ท่านบอกว่า มนุษย์สามารถเป็นผู้ครองเรือนได้ แต่ต้องยับยั้งชั่งใจไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงกระตุ้นของกิเลสและราคะ" นิพาดาพยักหน้าและกล่าวตอบ
"จำได้ค่ะ และท่านยังบอกอีกว่า ถ้ายิ่งผู้ครองเรือนคู่ใดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกันด้วย หากตัณหาราคะก่อตัวขึ้น เมื่อเฝ้าสังเกตดูความรู้สึกบ่อยๆก็จะเห็นความไม่เที่ยงของรูปและนาม แล้วจะค่อยๆหลุดพ้นจากอารมณ์ตัณหาและราคะนั้นได้ โดยจะเห็นว่าอารมณ์เหล่านั้นไม่มีความหมาย เป็นสภาวะการถือพรหมจรรย์โดยธรรมชาติ ที่ไม่เกิดราคะขึ้นในใจเลย แต่จะรู้สึกอิ่มเอมใจที่เหนือกว่าความรู้สึกทางเพศ จะเบิกบานและสุขสงบ อันเป็นความสุขที่แท้จริง"
"แต่นั่นคืออารมณ์ของผู้หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง เช่นพระอรหันต์ "ธรรศกล่าวเสริม และกล่าวต่ออีก
"เราสองคนอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อจะไปยังจุดนั้น พระพุทธเจ้าท่านเข้าใจ จึงเสนอทางออกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ครองเรือนให้สามารถมีชีวิตในโลกียสุขร่วมกันได้โดยมีศีลห้ากำกับ และยังได้พัฒนาจิตไปด้วย ซึ่งเป็นทางสายกลางที่หลีกเลี่ยงการกระทำอันสุดโต่งทั้งสองด้าน โดยสามารถแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันได้ และถ้าทั้งคู่สามารถพัฒนาจิตไปสู่ความหลุดพ้นก็จะพบกับสุขที่แท้จริงดังที่นิกล่าวมา"
"พี่ธรรศพูดเข้าข้างตัวเองไปรึเปล่า" นิพาดาพูดเย้า แล้วพูดคล้อยตาม
"แต่ก็จริงนะ เรากำลังเดินทางไปสู่ความหลุดพ้น แต่ก็ยังไม่หลุดพ้น เมื่อกี้พี่ธรรศจับมือนิ นิยังรู้สึกแปลกๆเลย" พูดเสร็จเธอก็หน้าแดง
"’งั้นเรามาเดินสายกลางที่ไม่สุดโต่ง ดังที่พระพุทธองค์สอนกันดีไหม แต่ก็ยังไม่ละเลยที่จะเดินทางไปสู่เส้นทางแห่งความหลุดพ้นร่วมกัน และใช้เวลานี้สร้างความรัก ความเมตตาและความสุขให้แก่ผู้อื่น เหมือนกับที่เรากำลังทำกันอยู่" ธรรศชี้ทางออกเป็นนัยๆ แม้ไม่เอ่ยคำว่ารักออกมาจากปาก แต่นิภาดาก็สามารถรับรู้ได้ เธอยอมรับทางออกนี้มาแต่ต้นแล้ว แต่ด้วยวิสัยหญิงจึงไม่กล้าตอบรับหรือเสนอความเห็นที่โจ่งแจ้งเกินไป
นิพาดายิ้มพร้อมพยักหน้า สบตาและบีบมือเขาแน่นแทนคำตอบ
เวลาผ่านไปนานเท่าใดสองหนุ่มสาวมิได้ใส่ใจ อยากจะเก็บเวลาแห่งความหวานชื่นนี้ไว้ให้นานที่สุด ...พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดกำลังเข้ามาเยือน เตือนให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์แห่งความหวานชื่นว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไม่มีความสุขใดที่จะอยู่กับเราตลอดเวลา และไม่มีความทุกข์ใดจะอยู่กับเราตลอดไป ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขของเวลา พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเป็นเครื่องเตือนใจให้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดพัก เพื่อรอรับวันใหม่ที่สดใสยิ่งขึ้น
ธรรศประคองนิพาดาให้ลุกขึ้น ดึงเธอมาซุกแนบอกอย่างทะนุถนอม นิพาดาโอบกอดรอบเอวเขาตอบเหมือนไม่อยากให้จากกันไปไหน คราบกลิ่นโคลนเหงื่อไคลที่ตกค้างในกายช่างหอมหวลเย้ายวนใจยิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพงใดใด
"ค่ำแล้ว เรากลับกันเถอะนะ"ธรรศพูดเบาๆที่ข้างหูเธอ
"ค่ะพี่ธรรศ ขอบคุณนะค่ะที่ดูแลนิ เป็นกำลังใจให้นิตลอดมา" นิพาดาพูดเบาๆขณะที่ใบหน้ายังซุกอยู่ที่ไหล่ของเขา ธรรศจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ เพื่อดึงตัวให้มือเธอคลายออกแล้วจุมพิตเบาๆที่หน้าผาก สบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ธรรศจะประคองเธอพากันก้าวออกจากเถียงนามาที่จักรยานที่จอดไว้ นิพาดากอดเอวเขาไว้ขณะที่จักรยานเคลื่อนตัวไปด้วยแรงถีบ
พระจันทร์วันเพ็ญสิบห้าค่ำส่องประกายเต็มดวงขึ้นแทนพระอาทิตย์ที่เพิ่งจากลาไป เป็นแสงสว่างและกำลังใจให้หนุ่มสาวได้เพลิดเพลินไปในเส้นทางแห่งความรักความหวานชื่น จนบรรลุสู่จุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
----------------------------
ไม่มีความเห็น