ธรรศและนิพาดาหาโอกาสแวะเวียนไปนั่งที่เถียงนาอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอยู่บ่อยๆ จนเป็นที่สังเกตของเจ้าของที่นา ซึ่งก็คือผู้ปกครองของนักเรียนที่เขาทั้งคู่เคยเป็นครูประจำชั้นนั่นเอง พอผู้ปกครองนักเรียนท่านนี้ทราบข่าวการจะแต่งงานของทั้งสองคน จึงแจ้งความจำนงที่จะแบ่งที่ดินบริเวณเถียงนาแห่งนี้ส่วนหนึ่งยกให้เป็นที่สร้างเรือนหอของครูทั้งสองคน เพราะเขาเองก็มีที่นาในแปลงเดียวกันนี้อยู่หลายสิบไร่แล้ว
ธรรศกับนิพาดาดีใจมาก แต่ไม่ขอรับเปล่าๆ โดยจะขอแบ่งซื้อเฉพาะที่บริเวณสระบัวเถียงนา และบริเวณโดยรอบแค่ไร่ครึ่งก็พอ ผู้ปกครองนักเรียนเจ้าของที่คะยั้นคะยอที่จะยกให้ แต่ทั้งคู่ก็ยังยืนกรานไม่รับเปล่าๆ เจ้าของที่จึงยอมจำนน แต่จะแบ่งขายให้ในราคาที่ไม่แพง ทั้งสองคนจึงนำเงินที่สะสมกันไว้ส่วนหนึ่งมาร่วมกันซื้อที่แห่งนี้ เพื่อสร้างเป็นเรือนหอครองชีวิตร่วมกัน และที่แห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่ทั้งคู่สอนด้วย
ทั้งคู่ตกลงที่จะสร้างบ้านหลังเล็กๆน่ารักๆหลังหนึ่งแบบใต้ถุนสูง พื้นที่โดยรอบจะจำลองบ้านสวนที่นนทบุรี ย่อส่วนให้เล็กลง พยายามปลูกสร้างทุกอย่างไม่ให้บดบังบรรยากาศของท้องทุ่งนาโดยรอบ โดยจะเว้นที่บริเวณหน้าบ้านเพื่อทำซุ้มแจกต้นไม้ซึ่งคุณตากับน้าสาวของธรรศอาสาจะเพาะพันธุ์ไม้เมืองนนท์ไว้ให้นำมาแจกส่วนหนึ่ง สองข้างซุ้มที่แจกต้นไม้จะเว้นที่เป็นแนวยาว ด้านหนึ่งจะปลูกผักสวนครัวหลายๆชนิด อีกด้านหนึ่งจะปลูกไม้กินยอดเช่น มันปู มะตูมแขก ตำลึง เป็นต้น เพื่อให้ชาวบ้านมาเก็บไปทานกัน แต่จะยังคงรักษาเถียงนาและสระบัวเอาไว้ในรูปลักษณ์เดิม เพื่อเป็นอนุสรณ์ของสถานที่แห่งการตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันครั้งแรก โดยจะปรับปรุงตกแต่งให้มั่นคงแข็งแรงและงดงามมากขึ้นเท่านั้น
ไม่นานสิ่งที่ธรรศและนิพาดาคิดวางแผน วางผังไว้ ก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี เพราะเมื่อกลุ่มนักเรียนในชมรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ทราบข่าวก็ชวนพ่อแม่ผู้ปกครองของตนมาช่วยกันทำ รวมทั้งผู้ปกครองนักเรียนคนอื่นๆด้วย โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยปากขอร้องแต่อย่างใด นี่กระมังที่เป็นผลทางอ้อมจากการเป็นครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง ธรรศและนิพาดามีความสุขมากๆ และเกิดความผูกพันกับทุกคนที่นี่มากขึ้นเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เขาคิดกันว่าจะขอใช้ชีวิตเป็นครูสร้างประโยชน์ให้แก่เด็ก ชุมขนและสังคมที่นี่ให้ยืนยาวตลอดไป
งานมงคลสมรสระหว่างธรรศและนิพาดาได้เริ่มขึ้นในปลายปีถัดมา ความตั้งใจแต่แรกว่าจะจัดพิธีแบบเรียบง่ายก็ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ขณะนี้บนศาลาวัดของหลวงพ่อเต็มไปด้วยแขกเหรื่อจากทุกฝ่ายมากันมากมาย ทั้งๆที่ไม่ได้มีการพิมพ์การ์ดเชิญ มีทั้งพ่อแม่ ญาติๆ และเพื่อนๆของทั้งสองฝ่ายมากันทุกคน พ่อธรรศพาญาติๆจากเมืองจีนและในเมืองไทยมาร่วมงานด้วย เพื่อตั้งใจมารับขวัญลูกและหลานสาวคนสวย และแขกที่มามากที่สุดเห็นจะเป็นข้าราชการ พนักงาน คหบดี พ่อแม่ผู้ปกครองและชาวบ้านในอำเภอ ที่ร่วมกันตั้งเต๊นท์อาหารคาวหวานมาเลี้ยงทุกคนในงาน โดยที่ธรรศ นิพาดา และหลวงพ่อไม่ได้เอ่ยปาก และไม่สามารถห้ามปรามในศรัทธาของเขาได้
ธรรศและนิพาดาในชุดไทยโบราณที่หล่อเหลาและสวยงามก้มกราบรับพรจากหลวงพ่อธีรวัฒน์องค์ประธานในพิธี ซึ่งท่านก็ยังคงให้พรและให้คำสอนเช่นเดียวกับเมื่อตอนมากราบขอพรท่านก่อนแต่งงาน จากนั้นก็เป็นพิธีการรดน้ำให้พรจากพ่อแม่ และทุกๆคน ด้วยพิธีการอันสงบ เรียบง่าย แล้วมาถ่ายรูปร่วมกัน รับประทานอาหารด้วยกัน นี่คือพิธีการมงคลสมรสที่เรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่ประทับใจของผู้มาร่วมงานทุกคน สุดท้ายเป็นการส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว สู่เรือนหอหลังน้อยกลางทุ่งนา เป็นอันจบพิธี
หนุ่มสาวก้าวเข้ามาหยุดยืนภายในห้องที่เป็นโลกส่วนตัวของกันและกัน ทั้งคู่โอบกอดกันไว้ ราวกับจะไม่ให้พรากจากกันไปไหน ต่างยิ้มและสบตากันอย่างมีความหมาย
“เหมือนฝันเลยนะนิ” ธรรศเอ่ยขึ้นก่อนที่ข้างหูของเธอ
“ใช่เหมือนฝันเลยค่ะพี่ธรรศ” หญิงสาวกล่าวตอบเบาๆ หลบตาเขานิดหนึ่งด้วยความเขินอาย
ริมฝีปากที่ร้อนผ่าวของธรรศ โน้มเข้าไปสัมผัสที่หน้าผากเธออย่างนุ่มนวล ช่างเป็นสัมผัสที่อบอุ่นรัญจวนใจยิ่งนัก เขาถอนริมฝีปากออกมาอย่างช้าๆ สบตาหล่อนใกล้ๆอีกครั้ง หล่อนยิ้มให้เขาด้วยใจที่เป็นสุข ธรรศค่อยๆเลื่อนริมฝีปากลงมาประกบริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา เธอตัวสั่นเทิ้มตามแรงอารมณ์ สติรับรู้เริ่มเลือนราง และล่องลอยสู่ปลายขอบฟ้าที่ห่างไกลในโลกียสุข
เช้าวันนี้ที่เรือนหอหลังน้อยกลางทุ่งนา ทั้งสองตื่นขึ้นมาแต่เช้าตามปกติวิสัย หลังจากสวดมนต์ นั่งสมาธิวิปัสสนาตามภารกิจประจำวันเสร็จแล้ว ต่างจูงมือกันลงจากเรือน เดินสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าอันสดใส ชมนกชมไม้ ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ไปรอบๆสวน ธรรศชี้ให้นิพาดาดูนกปรอดสองตัวที่เกาะบนกิ่งมะม่วงเบื้องหน้า กำลังไซ้ขนให้กัน ส่งเสียงหยอกเย้ากัน พร้อมกระพือปีกไปมาเหมือนอยากจะอวดเขาทั้งสอง แล้วนกทั้งคู่ก็โผบินไปจิกกินมะละกอ ที่เขาทั้งสองจงใจปล่อยให้สุกคาต้น เพื่อแบ่งปันให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
กระรอกตัวหนึ่งวิ่งไต่ขึ้นไปบนเครือกล้วย แล้วแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย และส่งเสียงเรียกพรรคพวกให้ขึ้นมากินด้วยกัน มันหันมามองทั้งคู่อย่างคุ้นเคย ด้วยความรู้สึกที่ปลอดภัย ทั้งสองต่างยิ้มให้กับมันด้วยใจที่เป็นสุข แล้วเดินจูงมือกันต่อไป มาสิ้นสุดที่จุดสุดท้ายคือเถียงนา อนุสรณ์แห่งความรักที่ดลใจให้เขาทั้งสองมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ทั้งสองประคองกันทรุดตัวลงนั่งห้อยขาบนเถียงนา ณ ที่เดิม ดูความงดงามยามพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า รับกับทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ดอกบัวชูช่อบานเต็มสระ ฝูงปลาดำผุดดำว่ายต้อนรับเจ้าของคนใหม่ที่จะมาปกป้องดูแลพวกเขาให้อยู่อย่างปลอดภัย นกกระยางฝูงใหญ่บินผ่านไปจนลับตา
ทั้งคู่โอบมือกอดกันไว้ราวกับจะไม่ยอมให้พรากจากกัน ต่างประสานสายตาบอกความรู้สึกที่ลึ้กซึ้ง แก่กันและกัน สื่อความหมายให้รู้ว่า เรือนหอหลังน้อย กลางทุ่งนา บึงบัว เถียงนา และ สวนเกษตรที่พอเพียง แห่งนี้จะเป็นพยานรักอันบริสุทธิ์ของชีวิตคู่ที่เริ่มต้นและจะเติบโตอย่างงดงาม ต่างสัญญากันว่าจะร่วมกันใช้ศิลปะการดำเนินชีวิตตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมีความสุขความสงบอันแท้จริง ตามเส้นทางไปสู่ความหลุดพ้น เป็นความรักอันบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใดใด และจะร่วมกันเผื่อแผ่แบ่งปันความรัก ความเมตตา ความสงบสุข ความปราถนาดีและมิตรไมตรีไปให้ผู้อื่นอย่างมั่นคงแน่วแน่ตลอดไป
ทั้งสองยังคงประสานสายตากัน ต่างยิ้มให้กันและคลอเพลงกันไปเบาๆ เพื่อเตือนใจให้รู้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายย่อมมีเกิดมีดับ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นี่คือความจริงที่ทั้งคู่จะหลีกหนีไม่ได้
“...ภาพต่างวันย่อมมองต่างไป ผุพังและมีสร้างใหม่ หมุนเวียนไม่มีว่างเว้น ดีพร้อมย่อมไม่มีวันจะเห็น วันคืนผันแปรเช่นไร
ภาพเปลี่ยนวันย่อมแปรเปลี่ยนผัน แต่ภาพเราสองคู่กัน ผันแปรตามไปบ้างไหม ภาพเราต่อไปจะเป็นเช่นไร ภาพเราย่อมแปรเปลี่ยนไป สักวันย่อมต้องจากกัน
เพียงหัวใจจากกัน จะอยู่นานค้ำฟ้าไม่ได้ เมื่อไรตัวฉันตายเมื่อนั้นหัวใจหยุดพลัน ไม่มีใครยั่งยืนคู่ฟ้า ไม่มีคำว่าชั่วนิรันดร์
...แต่วันนี้เธอจะมีฉัน จะรักมั่นคงเสมอ จะขอมีเธอผู้เดียวข้างกาย จากนี้จนวันสุดท้าย รักจนเราสองตายจากกัน...”
จบบริบูรณ์
ไม่มีความเห็น