ต่อจากบันทึกงาน KM ช่วงเช้า หลังจากที่อิ่มอร่อยกับอาหารเที่ยงกันแล้ว เรา (ศิริ และ nidnoi) ก็ตรงไปที่ห้องของกรมสุขภาพจิต เพื่อฟังหัวข้อ "การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์" เผื่อจะนำเทคนิคเคล็ดลับดีๆ จากห้องนี้ไปใช้ในการเขียนบันทึกได้ แต่ก็ได้เผื่อใจไว้แล้วว่า อาจจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาชวนง่วงเหงาหาวนอน (ยิ่งเพิ่งทานข้าวมาอิ่มๆ ด้วยนะ)
เมื่อได้เข้าไปฟัง ผิดคาดมาก ได้สิ่งดีๆ เยอะเลย รวมทั้งได้แสดงท่าทาง ขี่ช้างจับตั๊กแตน ด้วยล่ะ สงสัยล่ะสิว่าพูดถึงอะไร ตามไปอ่านเรื่องขี่ช้างจับตั๊กแตน ได้ที่บันทึกของคุณศิริ เรื่องของเรื่องคือผู้บรรยายถามว่า ภาษาท่าทางหรือภาษาพูด สำคัญกว่ากัน ผู้ฟังในห้องตอบว่าภาษาท่าทาง ผู้บรรยายเลยให้ผู้ชมออกไปแสดงการใบ้คำ ดูซิว่า ท่าไม่มีคำพูด มีแต่ท่าทางอย่างเดียวจะเข้าใจกันมั๊ย ปรากฏว่า ไม่เข้าใจค่ะ เพราะดิฉัน แปลภาษาท่าทางของคุณศิริ จากขี่ช้าง เป็นขี่มอเตอร์ไซค์ ก็พอเห็นทำท่าขี่เราไม่นึกอย่างอื่นเลย นอกจากขี่มอเตอร์ไซค์ (แปลความจากความเคยชิน)
สรุปว่าทั้งภาษาท่าทางและภาษาพูดมีความสำคัญพอๆ กัน แต่.....ในชีวิตประจำวันเราใช้ภาษาท่าทางมากกว่าภาษาพูด และเป็นการใช้แบบไม่รู้ตัว บางครั้งควบคุมไม่ได้ หรือไม่ควบคุม ผิดกับภาษาพูดที่จะปรุงแต่งได้ดั่งใจ จริงๆ แล้วฝึกได้ค่ะ ท่านผู้บรรยายบอกว่า ควรใช้หลัก "SOFTEN " ในการปรับภาษาท่าทางของตนเอง "SOFTEN " คืออะไรหนอ ? ขออุบไว้ก่อนค่ะ (อาจจะได้อ่านจากบันทึกของคุณ ศิริ )
หลังจากอิ่มอร่อยกับสาระและบันเทิงแบบขำขำจากห้องนี้แล้ว ก็ได้เวลาเบรกกับกาแฟและของว่าง (อีกแล้ว...ครับท่าน) ของว่างที่นี่ไม่ค่อยว่าง แต่เต็มจานเลย มีเค้กตั้งสองชิ้น เรียกว่ากินกันอิ่มแล้วอิ่มอีกทั้งความรู้และอาหาร
เค้กสองชิ้น....อาหารว่างมื้อสุดท้าย (ของวันที่สอง)
และแล้วก็ถึง section สุดท้าย ที่ห้องรวม มีเวทีเสวนา......"ส่งต่อสิ่งดีๆ สำหรับปีหน้า" และพิธีปิดโดย ศ.นพ.วิจารณ์ อาจารย์วัลลา ตันตโยทัย เขียนเรื่องนี้ได้อย่างน่าอ่านที่นี่ค่ะ
นั่นคือทั้งหมดแต่ไม่ทั้งปวง ที่ไปเห็น ฟัง และจดบันทึก บางเรื่องก็เล่าข้ามๆ ไป เพราะเห็นมีหลายท่านเล่าไว้อย่างละเอียดแล้ว ตามอ่านเรื่องราวของงานมหกรรมการจัดการความรู้ครั้งที่ 3 นี้ได้ที่นี่
กำลังทำน้ำหนักค่ะ คุณรัตติยา เลยต้องทานเยอะๆ ส่วนเรื่องพูดน่ะ ก็แล้วแต่สถานการณ์ค่ะ บางครั้งก็พูดมากจนคนขี้เกียจฟัง อย่างที่คุณศิริว่าน่ะ จริงๆนะ