เธออยู่ไหน พี่อยู่นี่ กะปุ๋ม (คนสวย) จ๋า
จาก บันทึกนี้ ดิฉันพร่ำพรรณาให้ฟังถึงความรู้สึกในการพบ blogger ตัวเป็น ๆ สำหรับวันแรกถือว่าประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้เจอ blogger ที่อยากรู้จัก และได้ล่าลายเซ็นต์ blogger ที่กล้าพอที่จะขอลายเซ็นต์ท่าน (มีหลายท่านที่เจอ แต่ยังไม่กล้าพอที่จะขอลายเซ็นต์ค่ะ) ไม่เป็นไร สำหรับคนที่เหลือ ค่อยไว้ต่อวันพรุ่ง หลังจากจบการประชุมในวันแรก ด้วยความที่ดิฉันไม่ได้พักอยู่โรงแรมที่ทาง สคส.จัดหาให้ แต่ไปพักอยู่แถวปิ่นเกล้า ด้วยความเหนื่อยล้าของสมอง เนื่องจากได้ความรู้ทั้ง tacit knowledge และ explicit knowledge ที่อัดแน่นทั้งวัน ดังนั้นเมื่อเลิกประชุมก็เร่งฝีเท้าอย่างเร่งรีบ เพื่อเรียกแท๊กซี่ไปส่งยังที่พัก
เชื่อไหมค่ะว่าดิฉันยืนรอแท๊กซี่อยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงเรียกได้ เมื่อขึ้นรถด้วยความเหนื่อยล้าอีกตามเคย ดิฉันอยากปิดตาเพื่อพักสายตาเหลือเกิน คนขับถามดิฉันว่า
“พี่จะให้ผมขึ้นทางด่วนบางนาเลยรึเปล่าครับ”
“แล้วแต่น้องค่ะ ยังไงก็ได้ ให้พี่ถึงที่พักให้เร็วที่สุด" (ด้วยความที่รู้สึกเหนื่อยเต็มที และในใจคิดว่า อีกครึ่งชั่วโมงคงได้ถึงที่พักแน่ เพราะตอนขามาตอนเช้า ดิฉันใช้เวลาอยู่ในรถแค่ครึ่งชั่วโมง)
เมื่อรถขับไปได้สักครู่ คนขับถามดิฉันว่า “พี่ชอบฟังเพลงสไตล์ไหนครับ ระหว่างลูกทุ่งกับสตริง”
ดิฉันคิดในใจว่า ช่างเหมือนกับที่คุณด้า วิทยากรสุดสวย จากห้อง workshop 1 เล่าให้ฟังถึง best practice .ในการให้บริการลูกค้าของพนักงานขับรถของโรงพยาบาลที่คุณด้าอยู่ ซะเหลือเกิน“แบบไหนก็ได้ค่ะ พี่ฟังได้ทั้งนั้นแหละ” แต่สงสัยหน้าตาดิฉันคงพอจะฉายแววคนบ้านนอกออกมา คนขับรถจึงเปิดเพลงลูกทุ่งของต่ายอรทัย ให้ดิฉันฟัง แต่เอาเถอะน่า เขาอุตส่าห์มีน้ำใจกับเราแล้ว เราก็ควรรับไมตรีจากเขาด้วยดี
ท่านผู้ฟังขา เชื่อไหมค่ะว่า จากที่ดิฉันเรียกแท๊กซี่ จนถึงหน้าด่านทางด่วนบางนา รถไม่เขยื้อนเลย ดิฉันกับคนขับรถ ผจญชะตากรรมเดียวกัน รถเขยื้อนทีละกระดิ๊บ กระดิ๊บ นี่ถ้าดิฉันลงเดินคงถึงที่พักนานแล้ว เราสองคน (ขออนุญาตใช้คำว่า เรา นะคะ เพราะรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมชะตากรรมนี่ซะแล้ว) สองชั่วโมงจากต้นด่าน จนถึงเข้าด่านได้ สองชั่วโมงที่รถไม่เขยื้อนเลย หลังจากนั่งไปสักพัก ด้วยความเหนื่อยล้ามาตลอดวัน กรอปกับดิฉันปวดศีรษะเป็นทุนเดิม เพราะเพิ่งหายจากไม่สบาย และอากาศในรถดูร้อนอบอ้าวมาก ดิฉันรู้สึกหายใจติดขัด ทำยังไงเนี่ย เหลือระยะทางอีกตั้งไกล และรถติดมากขนาดนี้ เจ้าอาการพะอืดพะอม มันก็ช่างมาเยือนดิฉัน เอางัยก้อเอากัน ดิฉันตัดสินใจบอกคนขับว่า
“น้อง พี่ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวถ้าหลุดทางด่วนแรกไปได้ และมีทางพอที่จะปล่อยพี่ลง น้องปล่อยพี่ลงเลยนะ เดี๋ยวพี่เรียกแท๊กซี่คันอื่นไปต่อเอง พี่ขออ๊วกก่อน พี่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “
คนขับก็ใจดีเหลือหลาย เขาบอกดิฉันว่า “พี่จะอ๊วกเหรอครับ เอาเลยครับพี่ อ๊วกได้เลย เดี๋ยวผมเอาถุงพลาสติกให้พี่นะครับ” “นี่ครับถุง”
“น้องอนุญาตให้พี่อ๊วกในรถได้จริง ๆ เหรอค่ะ”
“ตามสบายเลยพี่ ผมเข้าใจ”
ดิฉันไม่คิดเลยว่า จะได้เจอแท๊กซี่ผู้ใจดีแบบนี้ ดิฉันจึงไม่รอรีเลยที่จะอ๊วก แต่ทำงัยมันก็ไม่ออก ทั้ง ๆ ที่อยากอ๊วกมาก รู้สึกพะอืด พะอมมาก จึงทำได้เพียงแค่บ้วนน้ำลายหลังจากที่ค่อยยังชั่ว เราก็เริ่มต้นสนทนากันใหม่
“พี่ดีจังเลยนะคับ ขนาดรถติดขนาดนี้ พี่ยังไม่บ่นเลย พี่ทำเหมือนชินกับสภาพกรุงเทพฯ อย่างงั้นแหละ”
“บ่นแล้วได้อะไรขึ้นมาหละคะ ถ้าบ่นแล้ว รถไม่ติดค่อยว่ากัน บ่นไป มันก็ยังติดเหมือนเดิมนั่นแหละ นี่ยังดีนะ ที่น้องตัดสินใจรับพี่ ไม่งั้นป่านนี้พี่ก็ยังคงไม่ได้ขึ้นรถหรอก”
“สงสัยกะเย็นวันนี้ ผมคงรับพี่เป็นคนแรก และคนสุดท้ายแล้วหละ เพราะผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน ปวดขามากเลย เดี๋ยวส่งพี่เสร็จผมคงกลับบ้านไปหาข้าวทานและคงนอนพักผ่อนเลย”
เย็นนั้น ดิฉันถึงที่พักตอนสองทุ่มครึ่ง ใช้เวลาอยู่บนรถแท๊กซี่ สามชั่วโมงครึ่ง ดิฉันขอบคุณคนขับรถ ที่พาดิฉันมาถึงที่พักด้วยสวัสดิภาพ และไม่ลังเลเลยที่จะทิปเขาถึงแม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก แต่ก็ให้ด้วยความเต็มใจค่ะ
เห็นไหมค่ะ แค่สามชั่วโมงครึ่ง ดิฉันก็สามารถเจอเพื่อนแท้ได้เ
มื่อขึ้นห้องพักได้ ดิฉันทานยาแก้ปวดหัวไปสองเม็ด และนอนพักผ่อนเลย แต่ก่อนนอนยังไม่วายรำพึงในใจว่า
เธออยู่ไหน พี่อยู่นี่ กะปุ๋ม (คนสวย) จ๋า “ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะคะกะปุ๋ม ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ คืนนี้ พี่ไม่ไหวแล้วค่ะ”
แล้วสรุปคุณรัตติยาเจอน้องกะปุ๋มคนสวยไหมคะ
เห็นแล้วอายจังเลยค่ะ ตัวกล้ม กลม
มาแล้วจ๊า...พี่แป๊ดจ๋า...
เพิ่งทราบนะคะเนี๊ยว่า...ว่าพี่ทรหดขนาดไหน...
ขณะที่นั่งรถอยู่นั้น..กะปุ๋มแวกว่าย...วนเวียนอยู่ใกล้ๆ..คุณลุงแอ๊ดคะ...และป้าโอ๋คะ...(แอบแซวคะ...)
ประมาณว่าไม่ใส่แว่น...เราเลยไม่อายใครคะ...
...
คราวหน้าต้องชงกาแฟให้กะปุ๋มก่อนนะคะ...พี่จะได้สดชื่นๆๆ....คะ
(^___^)
รักละไม...ในหัวใจพี่แป๊ด (ว้าว...สำนวนดีรอบดึก...อิอิ)