848."สุมาอี้สอนจิตวิทยาบวก (Positive Psychology)"


วันนี้เป็นบทความที่ผมอยากเขียนมาสักพัก เป็นเรื่องของเตงงาย สุดยอดแม่ทัพของวุยก๊กที่สามาถพิชิตเสฉวนได้  เตงงายเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถมาก ในวัยเด็กติดอ่าง ยากจนพ่อตาย เลยได้เลี้ยงวัวอย่างเดียว แต่ที่น่าตลกในหมู่คนรู้จักคือเวลาต้อนวัวไปไหน เตงงายเด็กน้อยมักจะพูดออกมาเสมอว่าา ถ้าเขาเป็นแม่ทัพเขาจะตั้งทัพอยู่ตรงโน้นตรงนี้ เหมือนเพ้อๆ คนก็ดูว่าหาสาระอะไรไม่ได้  มีวันหนึ่งเด็กติดอ่างมาทำบัญชีและเจอราชครูสุมาอี้โดยบังเอิญ สุมาอี้เห็นปฏิภาณ เพราะสุมาอี้ไปล้อเลียนเตงงาย คือตอนสุมาอี้ถามว่าชื่ออะไร เตงงาย บอกเตง เตง งาย งาย สุมาอี้เลยแซวว่าตกลงเตงงายมีกี่คน  เตงงายเลยตอบกลับว่า เวลาเราเจอพญาหงษ์ เราจะเรียกนั่นพญาหงษ์ พญาหงษ์ ตกลงมีพญาหงษ์กี่ตัว สุมาอี้ไม่โกรธกลับชื่นชมปฏิภาณ เลยรับเตงงายมาทำงานด้วย 

Credit ภาพhttps://twitter.com/three__kin... 

เตงงายเริ่มพิสูจน์ฝีมือ ตอนสุมาอี้ต้องเจอกับทายาทขงเบ้ง นั่นคือแม่ทัพอัจฉริยะเกียงอุย ตอนแรกเพลี่ยงพล้ำ แต่พอให้เตงงายไปรบ กลับพลิกสถานการณ์จากเสียเปรียบมาได้เปรียบ ทำให้เสฉวนไม่สามารถตีเอาชนะวุยก๊กได้ ที่สุดก็สามารถรุกคืบ เอาชัยชนะมาให้สกุลสุมาได้ในที่สุด 

จะว่าไปเตงงายคือกุญแจสำคัญในการรวมก๊กในตอนท้าย ถ้าสุมาอี้ไม่เห็นเตงงาย ก็จะไม่มีเตงงายแม่ทัพที่แกร่งที่สุดในปฐพี.. สามก๊กอาจยุ่งเหยิงไปอีกนาน เพราะไม่มีใครต่อกรกับเกียงอุยได้ อาจทำได้แต่ก็ต้องนานกว่านี้ จึงอาจไม่ใช่ตระกูลสุมาที่รวมแผ่นดินได้ ตระกูลสุมาอี้อาจพังจากภัยภายในไปก่อน เพราะรบไม่ชนะสักที  ...การมีเตงงายพลิกทุกอย่าง  

เรื่องของสุมาอี้สอนอะไรเราครับ

  1. ต้องรู้จักมองแววคนให้ออก เรื่องของเตงงายทำให้ผมรู้สึกว่าสุมาอี้กลายเป็นผู้พิชิต เพราะมองแววคนออก สุมาอี้มองเห็นจุดแข็งคน และเอามาใช้ได้ถูกจุด  ในทางวิชาการต้องบอกเลยว่าสุมาอี้แตกฉานเรื่อง Positive Psychology  หรือจิตวิทยาบวก ที่เน้นการพัฒนาคนจากจุดแข็ง ศาสตร์นี้เชื่อว่าหากเราพัฒนาคนจากจุดแข็ง คนๆ นั้นจะเติบโต มีความเข้มแข็งทางจิตใจ และอาชีพได้ 
  2. เป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้น้อยรอบตัว อาจเจอคนเก่งๆ มาช่วยงานเราได้ 
  3. คนไม่ว่ามาจากเศรษฐฐานะอะไร ถ้าได้มีโอกาสใช้จุดแข็งของตนเอง สามารถเติบโตมาสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้องค์กรได้ ไม่ขีดจำกัด  จากเด็กเลี้ยงวัว ไม่มี Background การศึกษาอะไรดีๆ ก็ไปดีได้ เพราะฉะนั้นอยากสำเร็จต้องหูตากว้างไกล ให้โอกาสคน 
  4. การประเมินจุดแข็งของคนเกิดขึ้นได้ทุกโอกาส  คนเราต้องใช้ทุกโอกาส นี่แค่มาส่งการบ้าน ก็ได้นายทัพในอนาคตแล้ว ผมไม่แปลกใจ ดูคนเก่งในวุยก๊กนี่เยอะเหลือเกิน น่าจะเยอะกว่าทุกก๊ก  ผมว่าสุมาอี้คงสนุกกับการค้นหาจุดแข็งของคนมากๆ 
  5. ให้การศึกษา เป็นพี่เลี้ยง พัฒนาคน เอามาใช้งาน เปิดโอกาสให้ทำงานท้าทาย 
  6. ตัวคุณเอง ไม่ว่าจะอยู่ในเศรษฐฐานะใด ถ้าคุณค้นพบตัวเอง คุณอาจกลายเป็นคนที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้ 
  7. การมองคนให้โอกาสคนของสุมาอ้ี้คล้ายๆ กับผู้นำที่โดดเด่นคนอื่นๆ เช่นเล่าปังที่ไปเจอหันซิ่น และเจงกิสข่าน ที่ได้นายพลสุเบไดมา เหมือนๆกันเลย 
  8. เตงงายไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดอย่างเดียว มีอย่างอื่นประกอบ เพราะก๊กอื่นอ่อน แต่ก็เป็นส่วนสำคัญมากๆ  เพราะถ้าก๊กอื่นอ่อนแล้ววุยก๊กอ่อนก็คงไม่ชนะครับ 

นี่ครับที่ผมเห็นจากกรณีของเตงงาย

มายุคปัจจุบัน เราจะทำอย่างไร ถึงจะมองคนให้ออกได้อย่างสุมาอี้ เราจะมีสายตาแบบสุมาอี้ ..นอกจากมองแบบข้างบนแล้ว ผมมีเครื่องมือมาแชร์ครับ สมัยใหม่ในทาง Positive Psychology  เรามีเครื่องมือในการมองแววคนหลายตัว วันนี้ผมมานำเสนอสามตัวครับ

1. VIA Character Strengths  ตัวนี้มีทั้งทำฟรีกับเสียตังค์  เครื่องมือนี้ได้รับการรับรองทางวิชาการด้วย เมื่อคุณทำออกมาจะเห็นว่าคุณมีจุดแข็งอยู่ 24 อย่าง จะมีที่เด่นๆ อยู่ 5 ตัว ตรงนี้ให้คุณเอาจุดแข็งเด่นๆ ของคุณไปใช้แก้ปัญหา สร้างตัวเอง ทำอาชีพ  มีแบบสำหรับเด็กด้วย ผมว่าถ้าเล่าปี่และโจโฉเกิดมายุคนี้มาทำแบบสอบถามนี้ น่าจะได้จุดแข็งหลักคือ (Leadership) และความกล้าหาญ (Bravery)   เด็กสองคนนี้จะไม่ใช่เด็กหน้าห้อง ถ้ามาเรียนม.ปลายในเมืองไทย ครูบางท่านอาจมองว่าดช.เล่าปี่กับดช.โจโฉ ไม่มีอนาคต เพราะไม่สนใจเรียน คงเอ็นต์เข้าหมอ วิศวะ นิเทศน์ไม่ได้ แน่นอนไม่มีวันได้เข้าห้องกิฟต์ครับ  แต่ถ้าครูเก่งๆ  จะมองอาจแนะนำให้ไปเรียนบริหารธุรกิจ หรือไปเรียนรัฐศาสตร์มากกว่า .. และจะต้องดีใจที่เห็นเด็กมีแววแบบนี้ เพราะเราจะได้ผู้นำที่สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ เราอาจได้รัฐมนตรี หรือนายกที่สร้างความเจริญให้กับยุคสมัยแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน มากกว่าจะได้คุณหมอเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน หรือวิศวกรบริษัทต่างชาติ ...สนใจ ลองเข้าไแบบสอบถาม VIA ดูได้ที่นี่  http://www.viacharacter.org/ww...  

ผมเองมีจุดแข็งหลักคือรักการเรียนรู้ (Love of Learning) กับความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)  ปัจจุบันก็เลือกอาชีพถูก คือมาเป็นอาจารย์มหาลัยเพราะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอด แถมต้องคิดทำโน่นนี่นั่นให้มันออกนอกกรอบเสมอ ตอนไปทำงานเอกชนนี่ผมอึดอัดประสาทกินมากๆ เพราะต้องอยู่ในกรอบระดับหนึ่ง ตอนนี้สุดเหวี่ยงครับ เพราะได้ใช้จุดแข็งสองข้อนี่เต็มที่    นี้เขาจะยกตัวอย่างคนที่ผู้นำ คนเก่งๆ ที่มีจุดแข็งแต่ละด้าน จะทำให้พอเห็นแนวทางว่าจะพัฒนาตัวเองไปในแนวไหน ต้องเสริมอะไร ผมกับเพื่อนเคยเอาเครื่องมือนี้มาหาจุดแข็งของพนักงาน ผู้บริหารในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ผลน่าสนใจ สามารถหาจุดแข็งที่มีร่วมกัน เอามาพัฒนาเป็นวิสัยทัศน์ ค่านิยม แผนกลยุทธ์พัฒนาองค์กรได้

2. StrengthsFinder   นี่ก็น่าสนใจ ค้นหาจุดแข็งแล้วเอามาใช้งาน ..ปัจจุบัน DTAC เลิกใช้ KPI แล้วเครื่องมือนี้มาพัฒนาพนักงานทุกคน ด้วยการให้ประเมิน แล้วให้ทุกคนเอามาคิดว่าจะเอามาใช้ในงาน มาสร้างความสำเร็จในงานได้อย่างไร...ทำแบบสุมาอี้เลย  แต่เสียตังค์นะครับไม่เหมือนอันแรก ทำเสร็จแล้วจะมีคำอธิบายออกมาว่าที่จุดแข็งที่ว่ามันหมายถึงอะไร ผมมีตัวหนึ่งคือ Ideation คือประมาณว่าเป็นคนที่ชอบเชื่อมต่ออะไรที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวกัน มาพัฒนาเป็น idea ใหม่ๆได้ นี่เลยครับ ตัวตนผม ผมทำอย่างนี้บ่อยมากๆ และทำทีไรมีความสุข และก็สำเร็จในงานมากขึ้นด้วย ชัดมากๆ เช่นการเขียน Blog ผมจะชอบวิจารณ์หนังละคร ด้วยการเชื่อมโยงบางประเด็นที่น่าสนใจเข้ากับทฤษฎีทางบริหารแปลกๆ รวมทั้งเหตุการณ์ปัจจุบัน เหมือนที่ผมวันนี้ผมเชื่อมโยงสามก๊กเข้ากับ Positive Psychology ... การทำอย่างนี้ส่งผลกับอาขีพผมด้วย คนสมัยนี้อ่านจากอินเตอร์เน็ตครับ หลายครั้งผมได้รับเชิญไปสอน จำนวนมากเกิดจากคนไปอ่านเจอบทความแปลกๆ ของผมแล้วตามหาผมไปสอนให้ ...นี่ไงครับ ถ้าคุณเจอจุดแข็งของคุณ ไม่ว่าจะแบบประเมินใด ก็ทำไปเลยครับ ทำมากๆ ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันสนุกจริงๆ แถมทำไปเรื่อยๆ ความสำเร็จจะตามมาเอง สนใจดูที่นี่ครับ  https://www.gallupstrengthscen..


3. StrengthsProfile   ตัวนี้มาใหม่สุด ถ้าคุณทำตัวนี้ถามผมได้ ผม Certified มาแล้ว  ตัวนี้ดีมากๆ ทำแล้วคุณจะรู้จุดแข็งที่คุณใช้แล้วมีพลัง และใช้บ่อยๆ (Realized Strengths) นอกจากนี้ยังทำให้คุณรู้จุดแข็งที่คุณมี ใช้แล้วมีพลัง แต่ไม่ค่อยได้ใช้ (Unrealized Strengths)  สองตัวนี้คุณจะเห็นโอกาสการพัฒนาตนเองมากๆ   เช่น Realized Strengths สำคัญ ที่ตรงสุดๆ คือ Scribe คือการเขียนครับ ใช่เลย การเขียนนี่แหละที่ทำให้ผมมีความสุข ผมชอบเขียน งานปริญญาเอกของผม สนุกมากครับ 300 หน้า เขียนมันทุกวันมีความสุขมาก ผมใช้จุดแข็งนี่ครับ สร้างตัวเอง ...ส่วน Unrealized ก็มีเช่น Explainer หรือความสามารถทำอธิบายเรื่องยากๆ ให้มันง่ายได้ นี่ครับสมัยทำงานเอกชนไม่ค่อยได้ใช่ พอมาเป็นอาจารย์ได้ใช้มากๆ ผมชอบพัฒนาการสอนที่เข้าใจง่าย สนุกมากๆ แต่เรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องทำคือ ผมไม่ค่อยใช้ความสามารถตัวนี้ในการอธิบายสิ่งที่ผมทำอยู่ให้เพื่อนร่วมงาน และผู้บริหารฟัง ทำให้ผมไม่ได้รับการสนับสนุนในหลายครั้ง .. OK เข้าใจแล้ว เดวเอามาใช้ใหม่ 

อีกอันที่เด่นคืออธิบายเรื่อง Learned Behavior คืออะไรที่คุณทำได้ดี แต่ทำแล้วหมดพลัง   ..นี่เองก็สำคัญ หลายครั้งคุณถูกใช้งานไปทำสิ่งที่คุณไม่ชอบ แต่คุณทำได้ดี เข้าเลยให้คุณทำอยู่อย่างนั้น ที่สุดคุณหมดไฟ เคยไหมครับ ผมก็มีเช่น Planful คือการวางแผนแบบเป๊ะๆ OMG ผมไม่ค่อยสนุก ทำได้ดีครับ เช่นการวางแผนในคณะ ผมเคยเป็นกรรมการบริหาร ต้องวางแผน ลงรายละเอียดมาก ผมไม่สนุกเลย ทำได้ครับ แต่เกลียดมาก ทำแล้วหมดแรง ที่สุดผมถอยให้คนอื่นที่เขาถนัดทำ แต่ถ้าทำต่อ ผมอาจเลิกเป็นอาจารย์ก็ได้  สุดท้ายคือเรื่อง Weakness คือจุดอ่อน เรื่องนี้ทำได้ไม่ดี แถมหมดมีพลัง... ถ้าเจอพยายามใช้จุดแข็งมาทดแทน หรือให้คนอื่นทำเถอะ เช่น Adherence หรือการเคารพกติกา ผมไม่ค่อยมีครับ ทำตามกฏ กติกาแล้วมันน่าเบื่อ โชคดีมาเป็นอาจารย์ครับ เลยติสต์แตกได้หน่อย ผมไม่มีวันไปเป็นพนักงานประจำบริษัทที่ทำตามกติกามากๆ เป็นอันขาด ปัจจุบันเป็นอาจารย์ ใช้จุดแข็งมาพัฒนาอาชีพก็ไม่ต้องรำคาญใจอีกต่อไป  สนใจการประเมินแบบนี้เข้าไปที่นี่ แต่เสียตังค์นะครับ  https://www.strengthsprofile.c... 


4. คำถามคือถ้าไม่ใช้แบบสอบถาม ใช้แบบอื่นได้ไหม  ทำแบบสุมาอี้ครับ สละเวลาคุณสักนิดลองคุณกับคนอื่น แต่คุยแบบฟังมากๆ ไม่ใช่ไปสอนเขานะครับ เราเรียกว่า Theory U ผมเคยจัด Theory U ให้กับผู้บริหารเทศบาลนครแห่งหนึ้ง วิธีทำคือให้คนหนึ่งนั่งกับอีกคนเล่าเรื่องที่ตัวเองภูมิใจหลายๆ เรื่องครึ่งชั่วโมง จากนั้นสลับกัน แล้วถามตอนท้ายว่าที่ฟังๆ มาปิ๊งแว๊บอะไร เห็นความเชื่ออะไรในตัวเอง และจะทำอะไรร่วมกัน มีผู้บริหารรายหนึ่งนั่งฟังเด็กฝึกงาน.. ฟังครึ่งชั่วโมงเจออะไรที่สุดๆ คือแต่เดิมทุกคนจะเชื่อว่าเด็กฝึกงาน มันก็เด็กฝึกงาน พอฟังผู้บริหารปิ๊งเลยว่า เด็กคนนี้เข้ามาแค่สามเดือนจับทุจริตได้  เก่งมากๆ พอจบ Session เลยถามกันต่อทำไมเก่งถึงขั้นจับทุจริตได้ เธอบอกว่าก็เธอเคยเป็น Auditor (ผู้ตรวจสอบบัญชี) มาก่อน เคยตรวจสอบบัญชีบริษัทมาก่อน เธอเลยหาความผิดปรกติเจอ...  นีผู้บริหารคนนี้ปิ๊งเลย ว่าต้องไปสัมภาษณ์เด็กใหม่ๆ ว่าเคนทำอะไรมาบ้าง แต่ก่อนมองข้าม เห็นเด็กฝึกงานไม่มีอะไร แค่พวกกระโปรงสั้น ถ่ายเอกสารเป็นอย่างเดียว  เขาอาจมีจุดแข็ง ประสบการณ์ที่ช่วยองค์กรได้ ไม่ควรปล่อยเดินไปเดินมาแบบนี้ เสียโอกาส ดูวิธีทำ Theory U ที่นี่ https://www.gotoknow.org/posts...

5. ใช้ "สุมาอี้ Model" ทำแบบสุมาอี้เลย คือลองทดสอบปฏิภาณดู ว่าตอบสนองแบบสร้างสรรค์ ทันใจหรือไม่ 

6. ..และวิธีอื่นๆ ที่คุณถนัด 

"สรุปคืออยากสำเร็จด้วยมีความสุขด้วย คุณต้องหาจุดแข็งตัวเองให้เจอแล้วเอาไปใช้สร้างตัวเอง 

แต่อยากเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น ต้องหาจุดแข็งของคนรอบตัวให้เจอแล้วเอาไปใช้" 

เมื่อลูกน้องคุณประสบความสำเร็จและมีความสุข คุณก็จะเติบโตตามไปด้วย 

เอาเป็นว่าวันนี้ผมมีความสุขที่ได้เขียนถึงสุมาอี้ เพราะพบร่องรอยการใช้อะไรที่ไปไกลมากจากยุคสามก๊ก เรียกว่าล้ำยุคข้ามกาลเวลาเลย นั้นคือ "การพัฒนาคนจากจุดแข็ง" ที่ทำให้ตระกูลสุมาไปไกลกว่าใคร และแม้ศาสตร์ Positive Psychology จะเป็นศาสตร์ใหม่ และเพิ่งเป็นศาสตร์จริงๆ ราวปี 1999 นี่เอง แต่ต่อไปนี้ผมจะถือว่าสุมาอี้คือผู้รู้จิตวิทยาบวก (Positive Psychology) ระดับครู คนแรกๆ ในประวัติศาสตร์  

วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

ด้วยรักและปราถนาดี

ดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์

www.aithailand.org

อ้างอิงสำหรับผู้ต้องการลงลึกเรื่องการประเมินคนจากจุดแข็ง

อีกแหล่ง เรื่องสามก๊ก  นามานุกรมสามก๊ก ฉบับแฟนพันธุ์แท้

https://www.se-ed.com/product/...

หมายเลขบันทึก: 649537เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2018 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม 2020 23:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์ …อาจารย์สบายดีนะครับ เราเจอกันที่สนามบินบ่อยๆ

อ่านสนุกมากดข้าใจง่าย มีสาระความรู้เพียบ สุดยอดเลยอาจารย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท