จากธรรมะบรรยายของคืนนั้น ทำให้นิพาดาเข้าใจว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์ พระองค์ได้ผ่านวิธีการปฏิบัติต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกสมาธิกับอาจารย์ทั้งสองสำเร็จถึงขั้นฌาณ8 ซึ่งเป็นฌานสูงสุด จนจิตมีความสงบสักเพียงใด แต่ก็ช่วยชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้ในระดับพื้นผิวคือจิตสำนึกเท่านั้น แต่ลึกเข้าไปภายในจิตไร้สำนึกจะยังคงเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าอนุสัยกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในส่วนลึกของจิต เปรียบเสมือนภูเขาไฟที่สงบ แต่ยังไม่ดับ มันจะระเบิดขึ้นมาอีกเมื่อใดก็ได้ แม้ต่อมาพระองค์ไปทดลองปฏิบัติด้วยการทรมานร่างกายที่เรียกว่าทุกรกิริยา พระองค์ก็ยังทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางแห่งการดับทุกข์อย่างแท้จริง จนกระทั่งมาค้นพบวิธีการดับทุกข์ที่แท้จริงด้วยตนเองที่เรียกว่า อริยสัจ 4 คือวิถีทางแห่งปัญญาที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ในธรรมบรรยาย ยังกล่าวต่ออีกตอนหนึ่งว่า นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เมื่อทรงสำรวจเข้าไปภายในกายของพระองค์เอง ด้วยจิตที่เป็นสมาธิอย่างแรงกล้า ทรงสามารถเจาะลงไปถึงระดับลึกที่สุดของจิต และพบว่าร่างกายทั้งร่างประกอบด้วยอนุปรมาณูที่เรียกว่ากลาปะ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลา ในชั่วขณะที่เราดีดนิ้วหรือกระพริบตา อนุภาคเล็กๆเหล่านี้เกิดขึ้นและดับไปนับเป็นจำนวนล้านล้านล้านครั้ง และนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้ค้นพบและยืนยันความจริงในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้หนึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เขาใช้เวลานานในการค้นคว้าและศึกษาธรรมชาติของอนุปรมาณู อันเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งเป็นส่วนประกอบของจักรวาล ซึ่งอนุภาคเหล่านี้เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เขาได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือขึ้นมาชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนับจำนวนครั้งที่อนุภาคเหล่านี้เกิดขึ้นดับไปภายในหนึ่งวินาที ชื่อว่า "บับเบิ้ล แชมเบอร์" เพราะมันเป็นเสมือนฟองอากาศที่้เกิดขึ้นแล้วแตกหายไป เขาได้ค้นพบและประกาศว่า ภายในหนึ่งวินาที อนุปรมาณูซึ่งเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดของสสาร จะเกิดขึ้นและดับไปเป็นจำนวนครั้งเท่ากับเลขหนึ่งตามด้วยเลขศูนย์ 22 ตัว หรือหนึ่งหมื่นล้านล้านล้านครั้ง
นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ได้พบความจริงในลักษณะเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ก็ยังเต็มไปด้วยความทุกข์และความเครียดเหมือนกับปุถุชนทั่วไป เพราะเขายังไม่ได้ประจักษ์กับสัจจธรรมนี้ด้วยตนเอง เขาเพียงแต่เข้าใจแค่ในระดับเชาวน์ปัญญา พบความจริงแค่โลกภายนอก แต่ไม่ได้สำรวจลึกลงไปภายในตัวเองดังเช่นพระสมณโคดมที่จะสามารถเปลี่ยนนิสัยของจิต ช่วยให้มีชีวิตที่สอดคล้องกับสัจจะแห่งธรรมชาตินี้ได้ เพราะความทุกข์เกิดจากการยึดมั่นในขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร ที่เรายึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น จนต้องเป็นทุกข์
"ฟังดูเผินๆเหมือนง่ายนะ" นิพาดาได้ประจักษ์กับตนเองตามคำสอนแล้วว่า ถ้าเราจะขจัดให้ถึงต้นตอของกิเลส คือสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเมื่อเรารับรู้(วิญญาณ)จากสิ่งที่เข้ามากระทบเรา ก็จะถูกประเมินโดยสัญญา(ความจำ) ซึ่งเรามักถูกปรุงแต่ง(สังขาร)จากกิเลสต่างๆที่สะสมมานาน แล้วเก็บไว้ที่สัญญา พอมีสิ่งใดมากระทบสัญญาก็จะเตือนเวทนา(ความรู้สึก) ตามที่ถูกกิเลสครอบงำให้ปรุงแต่งด้วยกิเลสเก็บไว้ในสัญญาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นหนา ซ้ำแล้วซ้ำอีก เราจึงไม่สามารถหลุดออกจากวงโคจรแห่งความทุกข์(อวิชชา)ได้
การฝึกปฏิบัติเพื่อดับต้นตอแห่งทุกข์ก็คือเมื่อเกิดเวทนา(ความรู้สึก)ต้องไม่ปรุงแต่งด้วยกิเลส(สังขาร) แต่ให้วางอุเบกขา (วางเฉย รู้สึกเฉยๆ ไม่ต้องไปปรุงแต่ง)นั่นคือหลักไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ซึ่งมันยากตรงนี้แหละ เพราะเราถูกครอบงำจากกิเลส จนหนาเตอะ แล้วให้เราวางอุเบกขาในไม่กี่วัน มันจึงต้องฝึกบ่อยๆ นานๆ เพื่อปรับเปลี่ยนสัญญาที่เคยเป็นที่เก็บของอวิชชาซึ่งเป็นต้นตอของความทุกข์ให้เกิดเป็นปัญญาให้ได้
วันสุดท้ายของการปฏิบัติ อาจารย์ได้สอนให้ทำเมตตาภาวนากันเพื่ออุทิศผลบุญกุศลจากการปฏิบัติให้แก่ตนเองและผู้อื่นกันด้วยคำกล่าวที่กินใจว่า
“ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความโกรธ ความเกลียด ความไม่สบายใจ ความมุ่งร้ายใดใด ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ความปรารถนาดี ความสงบสุข และมิตรไมตรี
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีส่วนในความสงบของข้าพเจ้า มีส่วนในมิตรไมตรีของข้าพเจ้า มีส่วนในบุญกุศลของข้าพเจ้า ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข มีความสงบ ได้พบกับความหลุดพ้น จงหลุดพ้นเถิด จงหลุดพ้นเถิด จงหลุดพ้นเถิด”
-------------------------
ไม่มีความเห็น