ย้ำกับน้องๆทั้ง 16 คนว่า ลงเครื่องแล้วห้ามแตกแถวไปไหนนะ รอไปผ่าน ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) ด้วยกัน นึกขึ้นได้ว่ารอรับแจกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมือง จาก Air Hostess จนลืมไปเลย บอกน้องๆว่า เดี๋ยวไปหยิบแล้วเขียนที่หน้าบู้ธเลยละกัน
เดินมาถึง Immigration มีป้ายห้อยเขียนเต็มไปหมด แยกช่องทางตามประเภทของวีซ่าที่ขอมาอย่างชัดเจน ทำไงดี เพราะประเภทของวีซ่า Chaperone มาด้วย B 1 แต่ของน้องๆ เป็น J 1 ทำท่าจะเดินไปเข้าช่องทางเดียวกัน แต่เจ้าหน้าที่ที่ยืนอำนวยความสะดวกตามจุดฯ ไม่ยอม ขอเท่าไร ก็ไม่ยอมอนุญาต ตนจะขอไปกับน้องๆก็ไม่ได้ ขอให้น้องๆ มากับตนก็ไม่ได้ ต้องแยกกันไปคนละช่องทาง ไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลือน้องๆ เลย จึงขอให้น้องๆ โชว์เอกสาร ที่รับรองจากเอเอฟเอสอเมริกา ให้เจ้าหน้าที่ดูเป็นหลัก และให้ไปพบกันที่จุดรับกระเป๋าเลยละกัน
ผู้เขียนเดินไปตามช่องทาง ของ B 1 พอไปถึงตรงกลุ่มเครื่องที่ตั้งเรียงไว้จำนวนมากมายกว่า 20 เครื่อง จึงถอยหลังหาช่องทางเดินต่อ ก็ไม่มีทางไป กลับไปสอบถาม เจ้าหน้าที่ที่ยืนประจำจุดอีกครั้ง เขาก็บอกให้ไปเส้นทางที่เจอกลุ่มเครื่องเหมือนเดิม ทำแบบนี้ถึง 2 รอบ คือพอเดินไปเจอเครื่องอัตโนมัติ ก็ถอยไปตั้งหลักใหม่ แล้วไปถามเจ้าหน้าที่เหมือนเดิม นึกๆแล้วก็ขำ ไม่ใช่แค่ตนเองนะที่ทำแบบนี้ คนผิวสีคนหนึ่งที่เดินตามกันมาก็ทำแบบผู้เขียนนี่แหละ สุดท้ายก็ต้องยอมไปผ่านเครื่องอัตโนมัติ มีการนำ Passport ให้เครื่องอ่านแล้วกดตอบคำถามโน่น-นี่-นั่น ทุกสิ่งอย่าง ที่เคยมองหาแบบฟอร์มเขียนขอเข้าเมืองน่ะ ไม่มีการใช้แล้วเพราะเขามารวมข้อมูลไว้ที่เครื่องนี้หมด เรียกเครื่องนี้ว่า Mobile Passport จากนั้นมีการถ่ายรูปอัตโนมัติจากเครื่องเลย รับใบพริ้นท์ข้อมูลที่ติดรูปถ่ายของเราเมื่อสักครู่ จากนั้นจึงถือไปยืนเข้าแถว เพื่อพบเจ้าหน้าที่ตัวเป็นๆ อีกครั้ง ทีจริงเขามีเครื่อง Mobile Passport เน้นว่า Global ตั้งไว้อีกกลุ่มหนึ่ง นี่ถ้ารู้ว่าหนีเจ้าเครื่องแบบนี้ไม่พ้น คงข้ามขั้นไปใช้เครื่องนั้นเลยดีกว่า หุหุหุ
ที่ขำหนักคือ เจ้าหน้าที่ถามคำถามอันเกี่ยวข้องตามประเภทวีซ่า ว่า
คุณจะมาทำธุรกิจอะไร ที่นี่
ตอบไปว่า นั่นมันเป็นกฎระเบียบของประเภทวีซ่าที่ฉันจะขอได้ไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ได้(มีปัญญา) ทำธุรกิจใดๆ หรอกนะ ที่มานี่ก็เพื่อมาส่งเด็ก 16 คน ในโครงการแลกเปลี่ยนของเอเอฟเอส จากนั้นฉันก็จะไปท่องเที่ยว โน่น-นี่-นั่นก่อนกลับไปสอนนักเรียน นี่เป็นครั้งที่ 4 ของฉันที่มาอเมริกานะ แต่ที่ Dallas นี่เป็นครั้งแรกเลย
เจ้าหน้าที่พนักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วถามต่อว่า แล้วคุณจะไปไหนต่อ
ฉันแพลนไว้ว่า หลังจากเที่ยวชมสถานที่สำคัญของแดลลัส แล้วฉันก็จะบินไปเที่ยวที่โน่น แล้วก็บินต่อไปที่นั่น จองตั๋วกลับที่ Port JFK น่ะ
*** เขารีบให้ไปเลยอ้ะ ***
เดินไปถึงที่รับกระเป๋า มองหาน้องๆที่ใส่เสื้อเอเอฟเอสสีฟ้า ไม่เห็นใครเลยสักคนท่ามกลางหมู่คนมากมายยืนรอกระเป๋าจากสายพานที่หมุนไปเรื่อยๆ กวาดสายตาไปมองกระเป๋าหลายสิบใบวางอยู่ที่พื้น นึกสงสัยว่าผู้คนที่ยืนรอเหล่านี้น่าจะมาจากเครื่องอีกลำหนึ่ง เพราะไม่เห็นกระเป๋าของน้องๆสักใบเดียว อ้าวนั่นกระเป๋าของผู้เขียนตั้งไว้รวมกับของใครไม่รู้ รีบคว้ากระเป๋ามาถือไว้ ป่านนี้น้องๆน่าจะออกไปแล้ว เพราะช่วงที่ผู้เขียนเดินไปๆมาๆ ก่อนใช้เครื่อง Mobile Passport มองเห็นแถวน้องขยับไปใกล้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแล้วนี่นา น่าจะผ่านไปก่อนแล้วนะ ผู้เขียนจึงรีบเร่งเดินออกไปเพื่อตามติดสถานการณ์
พอผู้เขียนเดินออกมาด้านนอก พบเจ้าหน้าที่เอเอฟเอสอเมริกา จึงรับรู้ว่าตนเป็นคนแรกที่ออกมา ตกใจสุดขีด งานเข้าละ !!!
คณะของเจ้าหน้าที่เอเอฟเอสอเมริกาก็ดูจะวุ่นๆ รีบบอกตนว่าไม่ต้องกังวลเพราะมีคนรอรับอยู่ด้านในเพื่อส่งขึ้นเครื่องบินไปต่อ ผู้เขียนจึงรีบไลน์ติดต่อน้องๆ ด้วยความห่วงใย
เรื่องจริงคือเจ้าหน้าที่เอเอฟเอสอเมริกาที่อยู่ด้านใน รีบพาน้องๆ ส่งขึ้นเครื่องต่อไปสนามบินอื่นๆ จำนวน 10 คน มีแค่ 6 คน เท่านั้นที่ไม่ต้องต่อเครื่อง….แล้วเดินออกมาพบกันด้านนอก ….เฮ้อออ…โล่งอก Mission Completed !!!
ยังมีทุน AFS เหรอคะ ดีจัง
โครงการนี้ยังมีอยู่นะคะ มีเด็กเข้าร่วมโครงการฯปีละ 800 คนโดยประมาณค่ะ หลายทวีปเลยค่ะ สนใจเข้าไปศึกษาดูนะคะ https://afsthailand.org/