Chaperone ผู้ดูแลนักเรียนไทยไปต่างประเทศ
ได้รับโอกาส ให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยไปต่างประเทศ(Chaperone) ของโครงการเยาวชนเอเอฟเอสเพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม นานาชาติ รุ่นที่ 57 ณ เมือง Dallas มลรัฐ TEXAS กับน้องๆจำนวน 16 คน
น้องๆ ทั้ง 16 คน ล้วนผ่านกระบวนการเข้าค่ายเตรียมความพร้อมฯ ระยะเวลา 4 วัน 3 คืน เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน 2561 กับเพือนๆรวม 159 คน ซึ่งกิจกรรมของค่ายจะประกอบไปด้วยสาระความรู้และข้อมูลสำคัญที่จำเป็น ต่อการนำไปปรับใช้ในสังคมอเมริกัน หากผู้เข้าร่วมโครงการคนใดไม่ผ่านกระบวนการค่ายนี้ จะหมดสิทธิ์ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนฯ จากนั้นน้องๆจะมีเวลาในการเตรียมกายและใจ อยู่อีก 3 เดือน ต้องตระเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนที่ลาหยุดได้ก่อนเดินทางแค่ 7 วัน การเตรียมการด้านทักษะทางภาษาเบื้องต้น การเตรียมการด้านวัฒนธรรมไทยที่ต้องนำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนในฐานะทูตวัฒนธรรม รวมทั้งปัจจัยเสริมอื่นๆ
*** ช่วงก่อนการเดินทาง 1 วัน มีการประชุมผู้ปกครองและน้องๆ อีกครึ่งวัน เรียกว่าเตรียมความพร้อมกันจนหยดสุดท้ายเลยทีเดียว ***
บรรยากาศการประชุมฯ ผู้ปกครองและนักเรียนก่อนการเดินทาง 1 วัน
Chaperone ทั้ง 5 คน ( ซ้าย 2 และขวา 3 ) ถ่ายภาพกับ ผอ.ฝ่ายบริการการศึกษาและผู้จัดการฝ่ายฯ)
วันเดินทางอันแสนวุ่นวายแต่น่าประทับใจ
นัดหมายกันที่บริเวณ ตัวอักษร T ในเวลา 18.30 น . พบเจอนักเรียนหลายรายมาก่อนเวลาถึง 3 ชั่วโมง รวมทั้งผู้เขียนเอง เนื่องจากเข็ดเขี้ยวเรื่องปัญหาการจราจรที่ติดสนั่น แบบไม่อาจคาดเดาได้ ยิ่งตนเองต้องเป็นผู้นำไปด้วย ต้องเป็นแบบอย่างของการตรงต่อเวลา มองเห็นภาพประทับใจเบื้องหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความรัก-ความผูกพันของครอบครัวยามต้องจากลากัน เกือบ 1 ปี บางคนมีญาติมาส่งเยอะได้เงินติดตัวไปหลายซองเลย ภาพเพื่อนๆนักเรียนร่วมชั้นที่พร้อมใจกันมาส่งเพื่อนไปต่างประเทศฯ ภาพการคัดสรรสัมภาระลงกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องเนื่องจากข้อจำกัดของน้ำหนัก เป็นต้น
กว่าจะต้อนคณะฯเข้าสู่ขั้นตอนการเดินทางออกนอกประเทศได้ นี่เหนื่อยใจพอดู แทบไม่มีเวลาพักร่าง ฯ เผอิญเครื่องบินดีเลย์ รอตรวจความเรียบร้อยไป กว่า 45 นาที กว่าจะเทคออพ( Take Off) บินสู่ท้องฟ้ารวมเวลาล่าช้าไปเป็นชั่วโมง นักบินประกาศว่าจะบินในระยะความสูง สี่หมื่นฟุต ผู้เขียนจึงจินตนาการตามว่า ความเร็วก็น่าจะอยู่ที่พันกิโลเมตร/ชั่วโมงเป็นแน่ แล้วเครื่องบิน 2 ชั้นนี่การทรงตัวมันจะโคลงๆ เหมือนรถปรับอากาศ 2 ชั้น ของบ้านเราไหมน๊า
การต่อเครื่องที่สนามบินดูไบ
นักเดินทางหลายท่านคงคุ้นเคยกับสนามบินดูไบ ที่มันกว้างพอควร จากจุดจอดเครื่องบิน ต้องต่อรถถึง 2 ช่วง และเดินลากขาไปเป็นกิโลๆ คณะฯของผู้เขียนมัวเสียเวลาตรวจสอบจำนวนนักเรียนและรอคอยเพื่อเคลื่อนตัวไปต่อเครื่องที่ประตู A 17 ในจุดแรกนานถึง 15 นาที เนื่องจากน้องๆในกลุ่มหายไป 4 คน กว่าจะติดต่อได้ว่านักเรียนที่หายไป ได้เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว จึงทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ จากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปต่อเครื่องตามเส้นทางที่กำหนด
คณะของผู้เขียนไปถึงประตู A 17 ทันเวลาทำการเช็คอินพอดี จึงขอให้นักเรียนทั้ง 12 คนไปเช็คอินโดยด่วน จากนั้นค่อยไปใช้ห้องน้ำบนเครื่องแทน ส่วนผู้เขียนก็ไปตามน้องๆที่ล่วงหน้ามาก่อน 4 คน ให้รีบเช็คอิน เดี๋ยวจะตกเครื่อง เพราะน้องๆทั้ง 4 ยังผลัดกันเข้าห้องน้ำ-แปรงฟัน อยู่เลย กว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้ หืดขึ้นคอเลย เพราะมัวเสียเวลาให้สัมภาษณ์หลายคำถามมากราวกับจะขอวีซ่าเข้าประเทศฯอย่างนั้นเลยเชียว พอผ่านไปถึงด่านเอ็กซเรย์ข้างใน(อีกรอบ)ก็สุ่มเช็คสัมภาระในกระเป๋าอย่างละเอียด คณะของผู้เขียนโดนสุ่มไป 4 คน รวมทั้งตัวผู้เขียนด้วย เจ้าหน้าที่ผู้หญิงขอ Boarding pass ไปดูแล้ววางรวมๆกับของคนอื่นอีก 3 คน จากนั้นจึงนำมาให้ดูผ่านตาแว๊บๆ
Boarding pass ใบนี้ของคุณหรือปล่าว
ใช่ซินี่คือของฉัน
ตกลงชื่อไร แน่
ชื่อ สกุล นี้ไง
ชื่อนี้เหรอ อ้าวทำไมอีกคนหนึ่งบอกว่าเป็นของเขา
มันเป็นของฉัน มันจะเป็นของเขาไม่ได้หรอก
งั้นถือกระเป๋าสัมภาระเข้ามานี่ มีอะไรบ้าง พูดอธิบายหน่อย แล้วเปิดของทุกสิ่งอย่างให้ดูด้วย
ไหนคุณบอกว่าเพาเวอร์แบงค์ อันไหน ๆ เปิดซิ อ้อ.. เปิดเครื่อง Laptop ให้ดูหน่อย
*** พอเปิดให้ดูหล่อนก็ไม่ดู แถมปิดฝาให้เลย ยัยคนนี้ มันต้องปิดตามระบบ นะยะ ***
กระเป๋าใบนี้มีอะไร
อ๋อเครื่องประทินโฉมฉันจ้า
แล้วในนั้นมีอะไรอีก
ก็กระเป๋าเงินฉันน่ะซิ
กระเป๋าเงินฉันไม่อยากดู เก็บๆ ของใส่กระเป๋าได้เลย
***….โอ๊ย… ปวดท้องอยากจะเข้าห้องน้ำ ยังมาเจอแบบนี้อีก กรรมจริงๆ …
*** สรุปว่า ด่านนี้ บริจาคนาฬิกาข้อมือ กับกำไรข้อมือให้ไป ช่วงที่ จนท. เอ็กซเรย์ ย้ำให้ถอดออก วางลงกระบะใส่ของ แล้วผู้เขียนก็ลืมหยิบกลับมา เพราะความรีบร้อน ดีนะที่ไม่ได้ยืมเพื่อนมาใส่ ไม่งั้นต้องชดใช้เลยนะนั่น
เคยเห็นโลโก้ คำขวัญที่เขียนไว้ให้ผู้คนปฏิบัติในสังคมไทยว่า โปรดเอื้อเฟื้อแก่ เด็ก สตรี คนชรา และคนพิการ นี่ตนเองได้สิทธิถึง 3 ประเภทเชียวหรือ แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์ใดๆเลย ปกติเวลาไปท่องเที่ยว จะได้นั่งกับเพื่อนๆ หรือคนรู้จัก จะนั่งริมหน้าต่าง ตรงกลาง หรือตรงไหนก็ไม่เป็นปัญหา
แต่ครั้งนี้มีปัญหาเวลาจะเข้าห้องน้ำ เพราะถูกจัดให้ไปนั่งกลางมีผู้ชาย 2 นายขนาบข้าง แถมตัวใหญ่ทั้งคู่
นายคนแรกนั่งกินที่ แถมนำมือมาวางใกล้ๆขาผู้เขียน บางจังหวะเหมือนจะสะกิดหน่อยๆ ต้องใช้ผ้าห่มบนเครื่องมาห่อตัว-ห่อขาไว้ ยังมีการโมเมว่าหมอนของสายการบินที่แจกให้ใช้ของผู้เขียนเป็นของตัวซะอีก จึงจัดการเปิดไฟช่วยหาคืนให้ โถ… มันอยู่ตรงซอกหน้าต่างนั่นไง
นายคนที่สองนั่งปิดแถว หลับตลอดทาง จะเข้าห้องน้ำทีก็ต้องปลุกให้ตื่นที ยังสงสัยว่าพวกเขาทำไมไม่ค่อยเข้าห้องน้ำ ระยะห่างตั้ง 4-5 ชั่วโมง กิน-ดื่มเข้าไป ทำไมไม่ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำกันละเนี่ย ที่แน่ๆ มีกลิ่นเหมือนลมที่ผายออกมาจากก้นของใครสักคนที่อยู่บริเวณนั้นโชยมา 2 ครั้งในรอบช่วงบินอยู่ 15 ชั่วโมง ดึงผ้าห่มมาปิดจมูกแทบไม่ทันเลยทีเดียว
ไม่มีความเห็น