เตรียมตัวเป็นสังคมคนแก่ในยุค 4.0


  เมื่อวานนี้(16 ก.ค.2560)ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมคนป่วยที่เป็นน้าชายที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วผู้เขียนได้ไปเยี่ยมน้าชายคนนี้แหล่ะซึ่งคราวนั้นป่วยด้วยโรคที่นำมาซึ่งข่าวอันน่าตกใจเพราะต้องผ่าสมองเอาก้อนเนื้อดีออก ตอนที่ไปเยี่ยมพวกเราต่างทำใจกันว่าจะพบกับร่างคนป่วยที่น่าเวทนา แต่พอไปถึงน้าชายกลับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เหมือนคนปกติ

   คราวนี้พวกเราที่มีผู้เขียน คุณแม่บ้านและน้องปอทราบข่าวจากญาติๆว่าน้าชายเป็นวัณดรคระยะเริ่มต้น ไม่น่าเป็นห่วงอะไรมาก ลุกเดินเข้าห้องน้ำได้ พวกเราต่างเบาใจ ซื้อผลไม้มีลองกอง มังคุด ระกำไปฝาก

   ตึกเพชรรัตน์ชั้น12 คือห้องที่ญาติๆบอกไว้เราเดินเข้าลิฟท์กดชั้นที่12 (2ปีที่แล้วชั้น5มีป้ายห้ามกด นำมาซึ่งข้อสงสัยว่าเพราะอะไรตามบันทึกนี้https://www.gotoknow.org/posts... )เตียงที่30อยู่ด้านขวาสุด เราเดินไปห้องผู้ป่วยรวมแต่น้าชายเป็นเตียงที่มีประตูกั้นต่างหาก คงเป็นเพราะวัณดรคเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง แต่คงอาการไม่ร้ายแรงนักถึงอยู่ห้องรวมได้และไม่ห้ามญาติเข้าเยี่ยม

   เมื่อน้าชายเห็นน้องปอก็ถามว่าใคร พอบอกชื่อก็ร้องไห้ พร้อมเรียกชื่อพวกเราทุกคน น้าชายพยายามยกมือขึ้นเพื่อให้พวกเราเข้าไปจับมือ ถามไถ่ว่ากินข้าวยัง ก็ตอบว่ากินไม่ได้ ไม่รู้เอาอะไรมาให้กิน พร้อมชี้ไปที่ถาดอาหารที่ทางโรงพยาบาลวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ พวกเรามองดูเห็นอาหารก็ไม่น่ากินนักดูท่าจะจืดชืดน่าดู แล้วอยากกินอะไร คนข้างกายถาม น้าชายบอกอยากกินส้ม เลยปอกระกำให้กิน คงอยากกินอะไรที่เปรี้ยวๆ น้าชายกินได้เยอะพอสมควร ผู้เขียนถามว่าแล้ววันนี้ไม่มีใครมาเลยเหรอ ตอบว่าไม่มีใครมาเลยเสียงเครือๆคล้ายจะร้องไห้ คุณแม่บ้านบอกว่าเดี๋ยวพวกเขาคงมากันล่ะน่า ทุกคนก็ต้องทำงาน สักพักคนป่วยบอกอยากเปลี่ยนแพมเพอร์ส ผู้เขียนและคนข้างกายช่วยกันเปลี่ยนให้ก็ไม่เห็นมีเลอะเทอะเปอะเปื้อน ขณะที่น้าชายบอกตัวเองว่าดูทุเรศต่อสายตาคนอื่น น้าชายพยายามเอาผ้ามาปิดจมูกตัวเอง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่พวกเราไม่มีใครป้องกันกันสักคน

   สักพักลูกชายของคนป่วยก็มาถึงหิ้วรำกำมาอีกถุง มีส้มตามที่น้าอยากกินอีกถุง มาถึงตั้มลูกชายคนป่วยก็ดุทันทีว่า นี่พ่ออ้อนเป็นเด็กไปได้ เมื่อวานยังเดินเหินได้ ไม่เห็นแบบนี้เลย แล้วแพมเพอรืสก็ไม่รู้จะใส่ทำไม เดินไปเยี่ยวก็ได้อยู่ น้าชายดูเงียบไป พวกเราก้ถามไถ่อาการทั่วๆไป ตั้มบอกว่าน่าจะได้กลับวันจันทร์นี้ ระหว่างนั้นน้าชายก้ให้ตั้มประคองเดินเข้าห้องน้ำ ตั้มเดินส่ายหน้ายิ้มๆ

   ระหว่างกลับจากเยี่ยมน้าชายพวกเราสนทนากัน สรุปว่าน้าชายป่วยจากวัณโรคขั้นต้นจริง แต่ไม่น่าเป็นห่วง ที่เป็นห่วงคือน้าชายขาดกำลังใจ ต้องการกำลังใจจากคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นภรรยาที่ไม่ยอมมาเยี่ยมอ้างไม่ชอบโรงพยาบาล เดินเหินลำบาก ลูกชายสองคนต่างติดภารกิจทำงานไม่มีใครเฝ้าใกล้ชิดเหมือนคนป่วยอื่นๆในห้องนั้น ที่มีคนนั่งเฝ้าเกือบทุกเตียง

   ก่อนนอนคืนนั้น ผู้เขียนคุยกับคนข้างกายว่า เราเองก็เตรียมทำใจ เตรียมร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้ การดูแลตัวเอง เป็นที่พึ่งให้ตนน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะแก่ตัวมาไม่รู้หรอกว่าลูกจะมีเวลามาดูแลเรามากน้อยแค่ไหน ยิ่งมีคนเดียวเสียด้วย

....................

  

หมายเลขบันทึก: 631167เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2017 15:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม 2017 15:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ใช่ค่า ... ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้วนะคะ ... สู้ๆๆ ช่วยกัน นะคะ

-สวัสดีครับ

-กำลังใจสำคัญที่สุดนะครับ

-ขอเป็นกำลังใจให้คุณน้าอาการทุเลาขึ้นโดยไวนะครับ

-ใช่เลยครับ ต้องดูแลตัวเอง สุขภาพดีไม่มีขายนะครับ..

-ด้วยความระลึกถึงท่านครับ

วันนี้ คือ วันพรุ่งนี้..วันนี้..คือวันวาน ที่ผ่านไป..อโรคา...คือลาภ อันประเสริฐ..และตนคือที่พึ่งแห่งตน..คือ..ที่สุด..ที่หลีกไม่พ้น..เกิด แก่ เจ็บ..ตาย..อันเป็นที่สุด..สภาวะ..(นะเจ้าคะ)

คุณมะเดื่อก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกันจ้าาา

ไปพบหมอตามนัดทุกครั้ง  ณ วันนี้ร่างกาย

เข้าสู่วัยชราแบบปกติจ้ะ  แต่วันหน้า..ยังไม่รู้นิ

คิดถึงเสมอจ้าา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท