ฉันใช้เวลาที่ผู้จัดการประชุมจัดให้เป็นวันทัศนศึกษาเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น...ฉันเลือกที่จะเดินทางเอง อาจจะลำบากบ้าง และมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่ผู้จัดจัดให้ ฉันเลือกที่ท่องเที่ยวเพียงที่เดียวคือ เกาะยอ...
ฉันใช้ชีวิตที่นี่ประมาณ 6 ชม. ยังค้นหาคำตอบไม่เจอ ว่าทำไมเกาะยอถึงชื่อเกาะยอ 555+ ว่าจะถามชาวบ้านแล้ว แต่ก็มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับสรรพสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็น....ม่วนขนาด
9.00 น. ฉันกินบุฟเฟต์มื้อเช้าจากโรงแรม เรียกพี่วินมอไซด์ให้ไปส่งที่ บขส. ในราคา 30 บาท เพื่อรอรถตู้ รถสายสั้นจากหาดใหญ่สงขลาก็มี...แต่ฉันคงรอนานเกินไป...ฉันโก๊ะๆ ไปซื้อตั๋วรถตู้ไปเกาะยอ...แต่เป็นรถสายยาวที่ไปถึงนครศรีธรรมราช ทำเอาค่ารถฉันพุ่งกระฉูด...ทั้งที่รถตู้สายสั้นราคาประมาณ 30 บาทเอง
ฝนดันมาตก...ลงจากรถตู้ฉันก็ยึดร้านกาแฟ รอฝนหาย ...เอาอะไรแน่กับฝนภาคใต้ในเดือนพฤศจิกายน
เล่นแมว อ่านหนังสือ หาข้อมูลการเดินที่ยว เกาะยอจะเที่ยวให้ทั่วเกาะต้องมีรถมอเตอร์ไซด์ ชาวบ้านน่ารักมาก เค้าบอกว่า พี่เดินไม่ไหวหรอกมันไกล...เชื่อค่ะ ฉันไม่รั้นหรอกค่ะ เมื่อมองจากสงขลา เกาะยอมีขนาดใหญ่มาก...
สโลแกนของร้านทำให้ฉันไม่ยึดคิดกับสายฝน ตกได้ก็ตกไป
ฝนยังไม่หาย ฉันกินยำสาหร่าย อาหารเฉพาะถิ่นฆ่าเวลา ต้องลองค่ะ รสชาติคล้ายเมี่ยงคำ เจ้าของร้านกาแฟบอกฉันว่าเดี่ยวนี้สาหร่ายของเกาะยอแทบจะหาไม่ได้แล้ว ต้องสั่งซื้อจากที่อื่น
...ฝนเริ่มซา ฉันยืดเส้นยืดสายก่อนออกทริปด้วยการช้อปผ้าบาติก และผ้าทอเกาะยอ...น่าเสียดายที่ฉันไม่สะดวกในการหอบหิ้ว เลยได้ผ้าบางชิ้นมาเป็นแค่ของที่ระลึก
ระหว่างทางจากร้านขายผ้าเดิน 150 ก้าวไปวินมอไซด์เพื่อออกสู่โลกกว้าง (ค่ารถ 20-30 บาทตามระยะทาง) จะพบเห็นคนที่นี่ตากปลา ซึ่งปลาแห้งหรืออาหารทะเลก็จะมีจำหน่ายที่ตลาดหรือร้านข้างๆทาง ที่เห็นในรูปนี้คือปลามะเขือ ปีหนึ่งมีเพียงฤดูกาลเดียว
เห็นว่า ปลามะเขือนี่ถ้าสดก็ใช้ทำแกงส้ม ตากแห้งแล้วก็เอามาทอด...อร่อยอยากบอกใครเชียว...เสียดายไม่มีโอกาสได้ชิม
ฉันเลือก "วัดท้ายยอ" เป็นจุดแรก ปกติแนววัดนี้ไม่ใช่แนวเท่าไหร่ แต่เลือกมาวัดนี้เพราะมาดูสถาปัตยกรรมบ้านของคนท้องถิ่นที่มีการสร้างมาตั้งแต่โบราณ และกระเบื้องหลังคาที่เป็นแบบเฉพาะเกาะยอ เรียกพี่วินให้มาส่งค่าบริการ 20 บาท ขับเข้ามาในซอยไกลพอสมควร ผ่านสวนผลไม้และบ้านเรือน...รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยว...ดีนะที่ฉันมีหน้าเป็นอาวุธ 5555+
กระเบื้องเกาะยอมีลักษณะพิเศษ มีความเป็นอัตลักษณ์ ทำจากดินเหนียวน้ำเค็มลุ่มทะเลสาบสงขลา สันหัวแหลมเป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาแต่โบราณ ซึ่งคาดว่าประมาณสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
--หอระฆัง รูปทรงแปลกตา...มีห่าน 2 ตัว เป็นยามดูแลความเรียบร้อย จัดระเบียบผู้เข้าชม--
ฉันเดินไปถ่ายรูปที่ท่าน้ำด้านข้างของวัด ลมเย็นหลังฝนทำให้ฉันนั่งเล่นมองดูนก เหยี่ยวแดง บินร่อนเหนือป่าโกงกางและกะเตง หรือขนำน้อยกลางทะเล นั่งเพลินๆ ก็ต้องมอบรอบๆตัวอยู่เรื่อย ด้วยว่าบรรยากาศแถวนี้เงียบมาก นี่แหล่ะนะข้อเสียของการเดินทางคนเดียว บางทีก็เกิดภาวะไม่มั่นใจขึ้นมา
...ความเงียบที่ก่อให้เกิดความกลัว...มันทำให้ฉันอดที่จะคิดถึงเพื่อนร่วมก๊วนหลายๆคน…คิดถึงหากพวกเขามาด้วยฉันคงอุ่นใจมากกว่านี้ และอีกมุมนึงถ้ามาด้วยกันเป็นก๊วน...ฉันคงไม่มีเวลานั่งดูเหยี่ยวแดงบินโฉบขึ้นโฉบลง กระบวนการกลุ่มก็จะกำหนดรูปแบบการท่องเที่ยวไปอีกแบบ จนฉันสงวัยว่ามันเป็นรอบโชว์ตัวหรืองัย
มันทำให้ฉันรู้สึกถึงความ "ไม่มีอะไรดีที่สุดมากขึ้น เมื่อเลือกแล้ว มันคงดีที่สุดในสภาวะนั้น"
ดูวัดท้ายยอเสร็จจะกลับออกไปปากซอยยังงัยหล่ะ...ทางไกลมากนะ...ฉันก็คงมีความฉลาดอยู่ จึงขอเบอร์โทรพี่วินมอไซด์ไว้ โทรหาพี่แกก็มารับ...ฉันให้ไปส่งที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา ก่อนไปส่งพี่วินบอกว่าจะกินขนมจีนใบยอ น้ำยารสเข้มที่อยู่หน้าวินก่อนไหม ฉันผลัดไปก่อน ท้องยังแน่นยำสาหร่ายอยู่นี่นา
ระหว่างทางไปพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยานั้นสวยงามมาก เลาะทะเล มองเห็นหมู่บ้านชาวประมงและสะพานติณสูลานนทร์ที่ทอดยาวเชื่อมเกาะยอกับจังหวัดสงขลา ดูสวยงามจริง ...มอไซด์พาฉันวิ่งฝ่าลมเย็นๆ ไปฉันรู้สึกถึงกลิ่นสดชื่นของทะเล (Sea Breeze) และความอบอุ่นของแสงแดด อุ่นจนร้อนก็มันเกือบบ่ายโมงแล้วนี่นะ
เป็นปลิ้มกับอารมณ์ขี่มอไซด์เที่ยว...แม้จะเป็นพี่วินก็เถอะ ประมาณอารมณ์...กลับไปเยี่ยมวัยเยาว์
จ่ายค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา 50 บาทเสียดายที่หาบัตรนักศึกษาไม่เจอ ไม่งั้นจะได้ราคาถูกกว่านี้ ใช้สิทธินักศึกษา 10 บาทเอง
หลังจากได้ตั๋วเข้าชมกำลังจะแบกสังขารขึ้นไปตามทาง พี่ยามที่อยู่หน้าประตูก็รีบมาบอกว่า เดินตัดเขาขึ้นไปด้านหลังนะครับ จะได้ไม่ร้อนแดด ขึ้นด้านหลังเขานี่จะเจอกกับตำหนักพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ศาลาลูกปัด เป็นต้น แต่ความเหนื่อยและร้อนอ้าวของป่าร้อนชื้นกลางเกาะ ก่อนฝนจะตกนั้น ทำเอาฉันไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปเอาซะเลย
ความที่ต้องขึ้นที่สูงและร่างกายไม่ได้ออกกำลังกาย เล่นเอาสังขารฉันหอบแฮ่กๆๆๆๆ และไปทรุดตัวในห้องแสดงผลงานเพื่ออังแอร์โดยไม่อายใครๆ ส่วนผู้ที่มีรถส่วนตัวมา ขับขึ้นไปเล้ยยยย รถจอดได้หน้าอาคารแสดงนิทรรศการ (ส่วนมอไซด์รับจ้างจะจอดส่งที่ประตูด้านหน้า)
--ความเชื่อเกี่ยวกับลายแกะสลักกริช--
-ชนาง หรือชะนาง เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง--
--กระต่ายขูดมะพร้าว แกะจากไม้ท่อน...รูปทรงทำเอาผู้พบเห็น อมยิ้ม--
--เครื่องจักสานจากไม้ไผ่ จำชื่อและประโยชน์ใช้สอยไม่ได้--
ฉันใช้เวลาที่นี่นานมากเกือบ 2-3 ชม. ทีเดียว ประเทืองความรู้ได้มากมาย แต่บางอย่างดูแล้ว เห็นแล้วก็ลืมไป ก็เขียนบันทึกจึงช่วยเก็บความทรงจำช่วยเซลล์สมองที่เสื่อมตามกาลได้อย่างดี ต้องขอบคุณ G2K อีกครั้ง
ระหว่างนั่งพักเหนื่อยก็ชมวิถีของคนเกาะยอผ่านผนังกระจกของพิพิธภัณฑ์ ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์หาน้องอร ที่ไปอีกคณะหนึ่ง เผื่อเจอกันจะได้ชวนไปเปรี้ยวกันสองคน...คุยกันคร่าวๆว่าเผื่อไปถ่ายรูปย่านเมืองเก่าสงขลากัน...ปรากฏว่าดวงชะตาเราไม่สัมผัสกัน บ่ายนี้ฉันยังเป็นฉันอยู่คนเดียว
หายเหนื่อยและชมห้องจัดแสดงนิทรรศการจนครบแล้วก็คงเป็นเวลาที่ฉันต้องกลับ ที่นี่หากเป็นผู้สนใจสารสนเทศจริงๆต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. กำลังดี มีห้องจัดแสดงหลายห้องที่เดียว
หลังจากนี้กำลังว่าจะไปซ้ำที่ถนนนางงาม ย่านเมืองเก่าอีกทีดีไหมนะ อยากจะรอดูพระอาทิตย์ตก หรือจะเข้าหาดใหญ่แล้วไปว่ายน้ำ อบซาวน่าที่โรงแรมให้สบายตัว รอการเดินทางกลับขอนแก่นในเช้าวันพรุ่งนี้แบบสบายๆ
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าฉันจะเดินลงไปรอรถสองแถวที่หน้าพิพิธภัณฑ์จะไหวไหม...รถสองแถวจะผ่านมาง่ายหรือเปล่า...วันนี้อากาศร้อบอบอ้าว แดดแจ๋ใส ...พอขี้เกียจหน่อยฉันก็สรุปจบไปที่สังขารว่ามันไม่ไหว ทั้งที่มันก็ไม่น่าจะลำบากมากมาย ฉันจึงยกโทรศัพท์หาพี่วินอีกครั้งเพื่อเรียกให้มารับฉันไปส่งที่ 5 แยกเกาะยอ...เพื่อให้ฉันตัดสินใจว่าจะไปสงขลา หรือหาดใหญ่
เดาไหมคะว่าฉันจะเลือกไปไหน
Footnote ------------------------------------------------------------------------
-ค่ารถมอไซด์รับจ้างประมาณ 20-30 บาท จากเกาะยอไปส่งที่ 5 แยกเกาะยอ 50 บาท
-ยำสาหร่าย 30 บาท
- ค่ารถสองแถว เมื่อขึ้นจาก 5 แยกเกาะยอจะไปสงขลา ใช้ สายสทิงพระ-สงขลา 10 บาท
-ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ 50 บาท
ต่อสงขลาเลยค่ะพี่
น่านนะซิ ใกล้ๆ นิ
ขอบคุณค่ะ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่สองท่านแนะนำค่ะ...ไปสงขลา ไปถ่ายรูปกัน
ไม่ทราบมาสงขลา
อดเจอครับ