ยิ้มที่จางหายจากสยามเมืองยิ้ม


ยิ้มที่จางหายจากสยามเมืองยิ้ม


ในห้วงสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม 2559 ต้นสัปดาห์ก็มีข่าวลือหนาหูเรื่อง "ในหลวง" บ่ายๆวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ข่าวยิ่งแพร่สะพัด และมีเพื่อนๆส่งข่าวพอได้ทราบเป็นระยะ บ่ายวันนั้น ผมกำลังหารือกับท่าน ผอ. และ รอง ผอ. เพื่อเตรียมการงาน เพื่อปรับแผนการต่างๆ และเป็นการติดตามงานกัน และในขณะหนึ่ง ผอ. ก็รับสายโทรศัพท์และหารือสั้นๆ จากนั้นก็โทรศัพท์มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักฯ ร่วมกันจัดเตรียม เร่งงาน สวดมนต์บทโพชฌังคปริตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ทีแรกท่าน ผอ. จะจัดในวันพรุ่ง แต่ผมสัมทับว่า จัดวันนี้แหละ หากจะมีเวลาน้อยเรื่องเตรียมการ ก็ยินดีจะช่วย แต่อยากให้จัดวันนี้ จึงโทรศัพท์ประสานใหม่ และร่วมด้วยช่วยกันประชาวสัมพันธ์ให้ทราบถึงการจะจัดการสวดมนต์ฯ ถวายพระพรฯ

การสวดมนต์ในวันนั้น ดูจะหนักอึ้งสำหรับผม ผมหยิบไมโครโฟนอีกตัวที่ว่างอยู่จากผู้นำสวดอีกคน มาช่วยนำสวดรอง ขณะสวด ใจไม่อยู่กับตัว ท่าน ผอ. มากระซิบว่า หลังสวดให้ผมเป็นผู้กล่าวถวายพระพร ฯ สั้นๆ เมื่อสิ้นเสียงสวดมนต์จบสุดท้าย เสียงสั่นเครือของผมก็เปล่งออกมาเมื่อหมายทำหน้าที่ และนั่น เป็นการกล่าวคำว่า ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ครั้งสุดท้าย ของผม และคิดว่า ครั้งสุดท้ายของหลายๆคน

สำนักฯ จัดกิจกรรมสวดมนต์ทำวัตรเย็นในทุกเดือน คนที่มาก็ยิ้มแย้มดั่งมองเห็นสุข ทักทายกันอย่างกัลยาณมิตร ด้วยสุขจากการท่องมนต์และฟังธรรม แต่ในวันนี้ทุกอย่างดูเงียบงัน รอยยิ้มจางหายไป เมื่อเสร็จภารกิจ ก็แยกย้ายตามฐานานุรูป

เมื่อกลับหอพัก ปรากฏว่าทุกๆคนรอฟังแถลงการณ์สำนักพระราชวังในเวลา 19.00 น. อย่างใจจดจ่อ เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนต่างถอดสีหน้า แถลงการณ์ ฯ ดุจแจ้งข่าวอันประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ทำใจยอมรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"ในหลวง สวรรคต" เป็นเหตุการณ์และข่าวที่เสมือนมีอำนาจมาหยุดลมหายใจของผู้ชมผู้ฟังไปชั่วขณะ

ทุกคนคงสลดใจ โทมนัสอย่างหาที่สุดมิได้ หลายคนคงเศร้าใจมาก ค่ำคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ดุจเป็นพญาช้างสาร มาฉุดดึงหัวใจไปทิ้งไว้ก้นมหาสมุทร ... รอยยิ้มพิมพ์ใจ และความโสมนัส ดูจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง

ค่ำคืนของวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ดูจะเป็นค่ำคืนที่เหงียบเหงา แสงไฟที่เคยส่องสว่างกลับดูมืดมิด ดนตรีที่เคยขับกล่อมให้รื่นรมย์สราญโสต กลับดูไม่นุ่มโน้มน้าวใจ ที่นอนที่อ่อนนุ่มกลับดูแข็งกระด้างไม่ชวนหลงใหล ข้าวยาปลาปิ้งที่เป็นเรื่องสำคัญกลับกลายเป็นเรื่องท้ายๆที่จะให้ความใส่ใจ แม้คืนเดือนหงาย ขึ้น 12 ค่ำ แสงจันทร์ก็ยังดูริบหรี่เฉกคืนจันทรคราส ลมที่พัดมากระทบกายก็ดูเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ... แม้ลมหายใจก็ดูแผ่วเบารวยรินดั่งจะขาดรอนๆ ... คืนอันเงียบสงัด หากเป็นดั่งคืนปรกติคงหลับสบายผ่อนคลายหู แต่คืนอันเงียบนี้ดูอึกทึกสะเทือนใจ ดั่งแผ่นดินไหวสะเทือนทั้ง 3 ภพก็ว่าได้... มิใช่ความวิตกกังวล มิใช่ความโศกเศร้าอันเกิดแต่พบจากเสียใจ มิได้อาดูรแต่การเกิดแก่เจ็บตายเป็นปุถุชน หากแต่เป็นมหาทุกข์โทมนัส และเป็นค่ำคืนที่ทำให้รอยยิ้มจางหายไปทั้งแผ่นดิน

น้อมจิตอันเป็นกุศลถวายแด่ ธ ผู้สถิตอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสู่แดนธรรม

13 ตุลาคม 2559

///ขอบพระคุณรุ่นพี่ มข. รุ่นที่ 9 ที่ส่งภาพพระราชกรณียกิจ ในคราวเสด็จพระราชดำเนิน มาพระราชทานปริญญาบัตร บัณฑิตรุ่นที่ 5 ที่ มข. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2515 และมีพระกรุณาฯ ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 รุ่นที่ 9 เข้าเฝ้าฯ พร้อมทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรั

หมายเลขบันทึก: 617354เขียนเมื่อ 22 ตุลาคม 2016 21:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 ตุลาคม 2016 22:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท