โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

​วันไหว้ครู


ในฐานะของครู จึงขอทำหน้าที่ให้แก่ศิษย์ทุกคนตามหลักของพระพุทธองค์ด้วยการยกตัวอย่างชีวิตของคนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกให้ศึกษากันไว้ ว่าเขาและเธอเหล่านั้น ไม่ได้มีชื่อเสียง มีทรัพย์สินเงินทองมาแต่ต้น เขาสร้างชีวิตสร้างธุรกิจตามแนวทางของตน การต่อสู้ชีวิตอย่างทรหดเอาจริงเอาจัง ไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และนำมาปฏิบัติตาม ให้เกิดผลอย่างดีในชีวิตของเราเอง

โสภณ เปียสนิท

.............................

ถึงวันไหว้ครู อดนึกถึงโรงเรียนเก่าๆ ริมแม่น้ำแควใหญ่กาญจนบุรีไม่ได้ จากความทรงจำของคนวัยห้าสิบห้าปี ที่บางเรื่องก็กระจ่างเหมือนเพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นาน บางเรื่องแม้จะไม่นานแต่ก็ลางเลือนเหมือนผ่านไปนานแสนนาน ใช่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า “ความจำไม่เที่ยง” หมายถึงว่า ความจำนั้นไม่แน่นอน แต่เรื่องการเรียนที่โรงเรียนหลังเล็กบ้านท่ามะนาว กาญจนบุรี ช่างกระจ่างแจ้งอยู่ในความทรงจำเนิ่นนาน ผมเดินจากเรื่อต่อลำใหญ่ในลำนำแควใหญ่ผ่านทรายขาวโพลนกลางหน้าหนาว หนาวทรายจนเท้าชาทั้งสองข้าง มองไปที่ลำน้ำแควใหญ่เห็นไอหมอกขาวคลี่คลุมผิวน้ำพวยพุ่งขึ้นเป็นสายสวยงามไม่น้อย

ยุคแรกทั้งโรงเรียนมีครูคนเดียวทำหน้าที่ทุกอย่างในโรงเรียน “ครูจรัส ปิ่นกุมภีร์” สอนทุกวิชาแม้กระทั่งวิชาร้องเพลงไทยเดิม “เขมรไทรโยค” เนื้อเพลงผมจำได้กระท่อนกระแท่น แต่จำได้ว่าได้ยินเพลงนี้จากครูใหญ่ วันเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ ผมไม่รู้ว่าเพราะบุญทำกรรมแต่งอย่างไรทำให้ผมได้มาเป็นครู อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ผ่านการสั่งสอนมายาวนานพอควร ตอนอายุ 18-19 เริ่มเป็นครูสอนโรงเรียนปริยัติธรรมวัดราษฏร์ประชุมชนาราม (ท่ามะขาม) จนได้ใบประกาศจากคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี และใช้สิทธิสอบเทียบครู พกศ. พม. จบก่อนเข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เข้าร่วมเป็นครูสอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์วันพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) และสอนวิชาสังคมศึกษาด้านศาสนาเปรียบเทียบ ที่โรงเรียนราชินีแถวปากคลองตลาด ก่อนมาเป็นครูที่ มทร รัตนโกสินทร์ วังไกลกังวล เคยเป็นครูอยู่โรงเรียนร่มเกล้า ทองผาภูมิ กาญจนบุรี และเป็นครูสอนที่มหาวิทยาลัยศรีปทุมอีกระยะหนึ่ง

ในฐานะของความเป็นครู ถึงวันครูย่อมต้องให้โอวาทหรือคำสอนอันเป็นหลักสำคัญในการเรียนรู้ เพื่อนประโยชน์อันสูงสุดแก่ศิษย์ทุกคนด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง และไม่มีประมาณ อันเรียกได้ว่า เป็นอัปปมัญญาเมตตา ไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่อศิษย์คนหนึ่งคนใด ไม่ว่าศิษย์คนนั้นจะเคารพครู หรือไม่เคารพครู แสดงให้เห็นว่า ใจของครูก้าวข้ามพ้น “อคติ4” ไม่ลำเอียงด้วยความรัก ไม่ลำเอียงด้วยความชัง ไม่ลำเอียงด้วยความกลัว ไม่ลำเอียงด้วยความไม่รู้ใดใด

มุ่งสั่งสอนให้เป็น “คนดีมีวิชา” คนดีคือมีคุณธรรม อันประกอบด้วย ทานการให้ ศีลการสำรวมการกับวาจา ภาวนาการสำรวมใจ ให้พร้อมสำหรับการพัฒนาไปเรื่อยๆ สูงขึ้นตามลำดับ คนมีวิชาคือคนที่สามารถหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ด้วยวิชาที่ได้ศึกษาเรียนรู้ไปจากสถานศึกษาหรือจากครูแต่ละคน

การสั่งสอนนั้น ครูอาจารย์ยึดแนวทางของบรมครูคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักเบื้องต้น ซึ่งสรุปย่อได้ 4 แนวทาง ครูควรอธิบายให้ “แจ่มแจ้ง” อธิบายแจ่มแจ้งดุจการนำผลมะขามป้อมมาวางให้ตรงหน้า ครูควร “จูงใจ” พูดจูงใจให้ศิษย์ทุกคนอยากปฏิบัติตามที่สอน ครูควรเร่าใจผู้เรียนให้ “หาญกล้า” ทำให้ผู้ฟังเกิดความกล้าหาญ มั่นใจที่จะปฏิบัติตาม และครูควร ทำให้บรรยากาศในการเล่าเรียน “ร่าเริง” ให้ผู้ฟังเกิดฉันทะในการฟัง สนุกสนานไปกับการสอน ไม่เบื่อ แม้ว่าการสอนวิชาการให้สนุกนั้นเป็นงานหนักสำหรับครูทุกคนไม่น้อย

ผู้มองการไกลเคยเปรียบครูเหมือนเรือจ้าง เพราะเห็นว่า ชีวิตของครูอยู่กับสถานศึกษารอให้ศิษย์เดินทางมาศึกษาเล่าเรียนแล้วเดินทางต่อไป นึกภาพแล้วเห็นจริงตามนั้น สอดคล้องกับโวหารเปรียบเทียบในเรื่องเวสสันดรชาดก ตอนพระเวสสันดรขอให้ลูกน้อยสองคน “กัณหา ชาลี” เป็นสำเภาทองนำพ่อสู่เป้าหมายคือการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การศึกษาประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในอดีต อาจช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาได้ดียิ่งขึ้น เป็นการดำเนินการสอนตามแบบของพระพุทธองค์อีกด้วย จึงขอยกประวัติของบุคคลที่ประสบความเร็จมาให้อ่านกันพอสังเขป เพื่อเจริญปัญญาแก่ผู้อ่านดังนี้ คนแรกขอนำเสนอประวัติย่อของ เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) ทุกวันนี้ทุกคนจะรู้จักชื่อเสียงของ ฟอร์ด เป็นอย่างดีในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการรถยนต์ แต่เชื่อไหมว่า กว่าที่จะมีวันนี้ได้เขาต้องล้มเหลวกับธุรกิจมาก่อน และทำให้เขาต้องหมดเนื้อหมดตัวมาแล้วถึง 5 ครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนได้อย่างสง่าผ่าเผยอย่างยิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้

คนต่อมา อาร์ เฮช เมซี่ (R. H. Macy) หรือ โรแลนด์ ฮัสซี่ย์ เมซี่ เจ้าของศูนย์การค้าชื่อดังที่มีสาขาอยู่หลายแห่งทั่วอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้ เขาต้องต่อสู้และฟันฝ่าอุปสรรคมากมายกว่าที่จะทำให้ธุรกิจของเขากลับมาได้รับความนิยมและยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยเฉพาะร้านในเมืองแห่งความศิวิไลซ์อย่าง นิวยอร์ก ที่มีผู้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยกันมาก

คนต่อมา คือนาย เอฟ ดับบลิว วูลเวิร์ธ (F. W. Woolworth) หรือ แฟร้งค์ วินฟิลด์ วูลเวิร์ธ ผู้ก่อตั้งกิจการห้างในชื่อเดียวกันกับเค้าคือ "วูลเวิร์ธ" ซึ่งบางคนอาจจะไม่คุ้นหูชื่อร้านสักเท่าไหร่ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้เข้าไปใช้บริการมากที่หนึ่งในอเมริกา โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นแค่พนักงานธรรมดา ๆ อยู่ร้านสะดวกซื้อมาก่อน ก่อนที่จะมีแนวคิดทำธุรกิจส่วนตัวนี้ขึ้นมา และบริหารจนกิจการค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ

คนต่อมา นายโซอิชิโร ฮอนดะ (Soichiro Honda) เจ้าของธุรกิจรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น "ฮอนด้า" ที่คนรู้จักกันดี เขาล้มลุกคลุกคลานในวงการธุรกิจมาไม่น้อย ก่อนจะกลายเป็นนักธุรกิจพันล้านเช่นทุกวันนี้ ใครจะเชื่อเล่าว่า เขาเองเคยเดินเข้าสัมภาษณ์งานกับบริษัทคู่แข่งอย่าง โตโยต้ามาก่อน ในตำแหน่งวิศวกร เขามิได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงาน ซึ่งทำให้เขาตกงาน เดินหางานทำอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มสร้างรถสกูตเตอร์ด้วยตัวเองที่บ้าน และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน

อากิโอะ โมริตะ (Akio Morita) คนไทยอาจจะไม่คุ้นชื่อเขาคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงสินค้ายี่ห้อ "โซนี่" (Sony) คนไทยต้องรู้จักทันทีแน่นอน ซึ่งสินค้าที่ทางโซนี่ผลิตออกมาเป็นชิ้นแรก คือ หม้อหุงข้าว แต่ผลิตภัณฑ์กลับไม่ได้รับความนิยมในท้องตลาดอย่างที่คาดหมายเอาไว้ โดยขายได้ไม่ถึง 100 ชิ้น อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวในครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ โมริตะ และหุ้นส่วน หมดไฟในการทำงาน ทว่ากลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้เขาสร้างสรรค์สินค้ายอดนิยมต่าง ๆ ออกมาได้อย่างมากมาย

บิล เกตส์ (Bill Gates) คนไทยเกือบทุกคนรู้จักชายอัจฉริยะผู้นี้ แรกเริ่มเดิมทีเส้นทางของเขาไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบสักเท่าไหร่ เขาล้มเหลวทางการศึกษา เรียนไม่จบปริญญาตรี เพราะเขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังจากนั้น เขากับเพื่อนได้ร่วมกันคิดผลงานที่ชื่อว่า ทราฟ-โอ-ดาต้า (Traf-O-Data) ขึ้นมาแต่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเคย แต่คนอย่างเขาไม่เคยหยุดนิ่งเพียงเพราะก้าวแรกที่ผิดพลาด ภายหลังเขากับเพื่อน ๆ ก็ได้คิดผลงานที่สร้างชื่อให้เขาที่สุดอย่าง "ไมโครซอฟท์" (Microsoft) ขึ้นมา จากนั้นไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเขาอีกต่อไป

คนต่อมา นายฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอร์ส (Harland David Sanders) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ผู้พันแซนเดอร์ส คงคุ้นหูมากกว่า และนึกถึงชายแก่ร่างท้วมใส่ชุดสูทสีขาวยืนอยู่หน้าร้านขายไก่ทอดชื่อ "เคเอฟซี" (KFC หรือ Kentucky Fried Chicken) ทุกคนต้องร้อง อ๋อ อย่างแน่นอนที่สุด เพราะเคยเห็น และเคยใช้บริการของเขามาก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่าสูตรลับในการปรุงไก่ทอดที่ออกมาเป็นที่นิยมในปัจจุบันนั้น กลับถูกปฏิเสธจากร้านอาหารต่าง ๆ มามากถึง 1,009 ครั้ง (อ่านว่า หนึ่งพันกับอีกเก้าครั้ง) ก่อนจะประสบความสำเร็จ

คนต่อมา นายวอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney) ชื่อ "วอลท์ ดิสนีย์" เลื่องลือไปทั่วโลกว่า เป็นผู้สร้างความยิ่งใหญ่ในโลกแห่งจินตนาการให้กับทุกคน ซึ่งมีรายได้จำนวนมหาศาลจากสวนสนุก ผลิตภัณฑ์สินค้าและภาพยนตร์ แต่เขากลับต้องเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ด้วยความทุลักทุเล โดยหลังจากที่โดนไล่ออกจากงานหนังสือพิมพ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า "ขาดจินตนาการและความคิดดี ๆ ในการสร้างสรรค์งาน" เขาก็ได้เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง แต่ทำได้ไม่นานกิจการก็ต้องล้มพับไป แถมยังล้มละลายอีกด้วย อย่างไรก็ดี คนที่เคยถูกตราหน้าว่าไร้จินตนาการ ก็ได้ร่ายเวทมนต์ เนรมิตผลงานของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แบบไร้ข้อกังขาอีกต่อไป

คนต่อมา นายอัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เมื่อได้ยินถึงชื่อชายผู้นี้แล้ว คนส่วนใหญ่จะให้นิยามเขาว่า "อัจฉริยะ" ใครจะรู้ว่า เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ว่า ตั้งแต่เกิดมา ไอน์สไตน์ พูดไม่ได้จนกระทั่งเขาอายุได้ 4 ขวบ และอ่านไม่ได้จนอายุ 7 ขวบ โดยที่บรรดาครูและพ่อแม่ของเขาต่างคิดว่า เขาอาจจะมีความผิดปกติทางด้านจิตใจ จนถูกให้ออกจากโรงเรียนในที่สุด นอกจากพัฒนาการของเขาช้ามากแล้ว เขายังต่อต้านการเข้าสังคมอีกด้วย ครั้งหนึ่งเมื่อเขากำลังซื้อของ มีคนถามว่า คุณชื่ออะไร เขานึกถึงชื่อตัวเองไม่ออก ตอบไม่ได้ว่าตนเองชื่ออะไร แต่ใครจะเชื่อล่ะว่า เมื่อโตขึ้นมาเขาจะคว้ารางวัลโนเบลไปครอง และยังพลิกโฉมหน้าวงการฟิสิกส์ให้ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าใครจะคาดคิด เป็นประโยชน์แก่โลกอย่างไพศาล

คนต่อมา นาง โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักเธอในฐานะ "เจ้าแม่พิธีกรรายการทีวี" ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยและเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในโลกด้วย แต่ชีวิตในวัยเด็กของเธอต้องเผชิญกับความยากลำบาก และเธอเคยถูกไล่ออกจากงานนักข่าวทางทีวี ด้วยเหตุผลที่ว่า "เธอดูไม่เหมาะกับรายการทีวี" อย่างไรก็ดี ตอนนี้คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเธออีกต่อไปแล้ว คนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน แต่ต่อสู้ชีวิตจนก้าวขึ้นสู่ความมีชื่อเสียงโด่งดังมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทองทรงอิทธิพลมีให้เห็นอยู่มากมาย ผู้หญิงคนนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ที่น่าศึกษา เพื่อใช้เป็นแนวทางได้อย่างดี

ในฐานะของครู จึงขอทำหน้าที่ให้แก่ศิษย์ทุกคนตามหลักของพระพุทธองค์ด้วยการยกตัวอย่างชีวิตของคนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกให้ศึกษากันไว้ ว่าเขาและเธอเหล่านั้น ไม่ได้มีชื่อเสียง มีทรัพย์สินเงินทองมาแต่ต้น เขาสร้างชีวิตสร้างธุรกิจตามแนวทางของตน การต่อสู้ชีวิตอย่างทรหดเอาจริงเอาจัง ไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และนำมาปฏิบัติตาม ให้เกิดผลอย่างดีในชีวิตของเราเอง

หมายเลขบันทึก: 613793เขียนเมื่อ 12 กันยายน 2016 16:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กันยายน 2016 11:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท