ผมเกิดความคิดขึ้นว่า การสร้างพลเมืองที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความซับซ้อนกว่าที่เราคิด และผมคิดว่า ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพฤติกรรม ไม่ใช่แค่ความเชื่อ และเชื่อมโยงไปสู่สิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า integrity ซึ่งผมเรียกว่าความอดทนต่อความเย้ายวน
ความอดทนต่อความเย้ายวน ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ฝรั่งเรียกว่า deferred gratification มีการทดลองทางจิตวิทยาที่ถือว่าเป็นผลงานคลาสสิค ชื่อว่า The Marshmallow Study ทำเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว ในเด็กเล็กอายุ ๓ ปีครึ่ง ถึง ๕ ปี ให้ไปนั่งในห้องคนเดียว มีขนมหวาน marshmallow วางตรงหน้า มีกล้องวีดิทัศน์แอบถ่ายพฤติกรรมของเด็กขณะนั่งในห้องคนเดียว เริ่มจากผู้ใหญ่เอาขนมมาวางตรงหน้าเด็ก และบอกว่าผู้ใหญ่จะออกไปธุระ ๑๕ นาที ขนมนั้นเด็กกินได้ แต่ถ้ารอจนผู้ใหญ่กลับมา จะได้กินขนม ๒ ชิ้น
ผลการทดลองได้เด็ก ๒ กลุ่ม คือกลุ่มกินขนม กับกลุ่มยังไม่กิน รอให้ได้สิทธิ์สองชิ้นก่อน คณะนักวิจัยติดตามเด็ก ๒ กลุ่มนี้ระยะยาว ดูผลการเรียน ชีวิตการงาน ครอบครัว การหย่าร้าง การติดยาเสพติด พบว่ากลุ่มรอได้มีชีวิตที่ดีกว่าอย่างชัดเจน
ต่อมามีการวิจัยพบว่า คุณสมบัติทนความเย้ายวนเฉพาะหน้าได้ เพื่อผลระยะยาว (deferred gratification) เป็นสิ่งที่ฝึกได้ ไม่ใช่คุณสมบัติติดตัวและตายตัวมาแต่กำเนิด และต่อมามีการค้นพบว่า คุณสมบัตินี้เป็น ส่วนหนึ่งของ Executive Function (EF) ของสมอง และเป็นเรื่องสำคัญในหนังสือ เลี้ยงให้รุ่ง
เรามักคิดว่า ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณสมบัติภายในของคน ซึ่งคงจะมีส่วนถูกอยู่ด้วย แต่ผมคิดว่า ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับคนอื่น และกับสังคมแวดล้อม ผ่านการหล่อหลอมในชีวิตจริงการปฏิบัติจริง
หนังสือ Influencer : The New Science of Leading Change บอกว่า การเปลี่ยนกระบวนทัศน์คน ทำไม่ได้โดยการบอก หรือสั่งสอน แต่ทำได้โดยการช่วยเหลือให้ได้ทำพฤติกรรมที่เหมาะสม นั่นคือต้องเรียน ผ่านการปฏิบัติของตนเองแล้วใคร่ครวญไตร่ตรองสะท้อนคิดอย่างจริงจัง โดยมี “ตัวช่วย” คือ influencer หรือ facilitator ที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้สะท้อนคุณค่าของกระบวนทัศน์ด้านบวก ซึ่งในที่นี้คือความซื่อสัตย์ สุจริต
การศึกษาแบบถ่ายทอดความรู้สำเร็จรูป สอนศีลธรรมคุณธรรมความดีสำเร็จรูป จะไม่มีวันสร้าง พลเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริตได้ เพราะจะสู้กระแสลบที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แบบด่วนได้ ไม่ไหว คือแพ้กระแสทุนนิยมบริโภคนิยมวัตถุนิยมในสื่อมวลชน จะมีพลเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต ต้องให้เขาได้ฝึกต้านกระแสด้านลบในสังคมในสถาพจริง ตั้งแต่เล็ก และฝึกต่อเนื่องตลอดชีวิต
ผมก็กำลังฝึกอยู่
วิจารณ์ พานิช
๒ เม.ย. ๕๙
อ่านแล้วเห็นความสำคัญของการฝึกต่อเนื่อง..เช่นกัน
เห็นด้วยอย่างยิ่งผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้านความซื่อสัตย์ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยโรงเรียนถ้าอธิการบดี/คณบดี/ครูใหญ๋เป็นแบบอย่างที่ดีทีมงาน/ลูกน้อง/ลูกศิษย์ย่อมปฏิบัติตาม ในทางกลับกันถ้าผู้ใหญ๋มักมาก โลภทีมงาน/ลูกน้อง/ลูกศิษย์ย่อมปฏิบัติตามเช่นนั้น ชัดๆดูจากคนที่ขึ้นเป็นคณบดี ต้องสังเกตในดีว่าในอดีตเขาเคยเรียนรู้อยู่กับหัวหน้า/ทีมงานแบบใด เขามักจะแสดงออกในทำนองเดียวกัน ต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมซื่อสัตย์ในองค์กรทางการศึกษาค่ะ
อธิบายได้เห็นภาพชัดเจนมากครับ จะขออนุญาติไปเผยแพร่ในกลุ่มเพื่อนๆ