นักเรียนชั้น ๖ เป็นนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่ผลการสอบ SAT (Scholastic Aptitude Test) ด้านภาษามีค่าคะแนนสูงที่สุดในรอบ ๙ ปีที่ผ่านมา ซึ่งความถนัดหรือสมรรถนะที่ฝังลึกในด้านภาษานั้น มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสามารถในการอ่าน และทำความเข้าใจความหมายของถ้อยคำ เรื่องราว ตลอดจนทักษะการการตีความและการจับใจความได้ สมรรถนะทางภาษาสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการรู้คำตรงข้ามกัน รู้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เข้าใจนัยของคำ รู้ศัพท์สัมพันธ์ การวิเคราะห์คำได้ว่าเกี่ยวข้องกับอะไรมากที่สุด การแปลความหมายของคำเมื่ออยู่ในบริบทต่างๆ รวมไปถึงการเข้าใจภาพและสื่อความหมายของภาพได้ เป็นต้น
เมื่อตอนที่นักเรียนกลุ่มนี้เรียนอยู่ชั้น ๕ พวกเขามีโอกาสได้เรียนหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยกับคุณครูเจน – ญาณิสา และ คุณครูเกมส์ – สาธิตา ในหลักสูตรใหม่ที่ค่อยๆ ปรับมาเน้นแนวคิดเรื่องของการพัฒนาสมรรถนะทางภาษาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นมาแล้ว (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบันทึกนี้https://www.gotoknow.org/posts/604670)
ในปีการศึกษา ๒๕๕๘ ครูผู้สอนในระดับชั้น ๖ คือ คุณครูนัท – นันทกานต์ อัศวตั้งตระกูลดี และ คุณครูบิ๊ก – พิษณุ กมลเนตร์ ซึ่งสอนหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยในหลักสูตรใหม่ที่ค่อยๆ ปรับมาเน้นแนวคิดเรื่องของการพัฒนาสมรรถนะทางภาษาเป็นปีที่ ๒ ได้นำกระบวนการมาร้อยเรียงและปรับเพิ่มสมรรถนะบางอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียนรุ่นนี้มากขึ้น โดยพิจารณาจากสมรรถนะเดิมของนักเรียนเป็นหลัก
จุดเน้นที่หลักสูตรของนักเรียนรุ่นนี้มีการเพิ่มเติมให้เข้มข้นขึ้นไปกว่าปีการศึกษาที่ผ่านมาคือ
ภาคฉันทะ มีการเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ในเรื่องที่จะช่วยเพิ่มพูนสมรรถนะทางภาษาในด้านต่างๆ ดังนี้
ภาควิริยะ ครูเอื้อโอกาสให้นักเรียนได้นำเอาเครื่องมือหรือทักษะที่นักเรียนมีอยู่แล้วมาใช้อย่างต่อเนื่อง เช่น นำทักษะการพูดอภิปรายมาใช้ในการอธิบายแยกแยะลักษณะของฉันทลักษณ์ “โคลง” และ “กลอน” ให้ชัดเจนแล้วเปิดประเด็นให้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องฉันทลักษณ์ทั้งสองประเภทอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มกระบวนเรียนรู้ที่จะช่วยนำพาให้นักเรียนได้รู้จักกับการประมวลความคิดและการสืบค้นในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
ภาคจิตตะ ครูปรับกระบวนการเรียนรู้ให้มีความร้อยเรียงและเชื่อมโยงอย่างลื่นไหลมากขึ้น ดังนี้
ในภาคเรียนนี้นักเรียนสามารถแปลความหมายของคำจากความเข้าใจในความหมายของคำแต่ละคำที่มาประสมกันโดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม ไม่รู้สึกกลัว หรือเบื่อเมื่ออ่านบทร้อยกรอง หรือบทความต่างๆ ที่ครูเลือกสรรมาให้เรียนรู้ และยังมีความชื่นชมและมีความสุขอย่างชัดเจนเมื่อถึงช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานงานเขียนของเพื่อน ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่าการเรียนรู้ในหน่วยภูมิปัญญาภาษาของระดับชั้น ๖ ได้พัฒนามาถึงจุดที่การเรียนในหน่วยภูมิปัญญาภาษาไทยสามารถสร้างความสุข ความรู้ ความเข้าใจ และสมรรถนะทางภาษาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้อย่างน่าพอใจ
ภาควิมังสาครูเปลี่ยนโจทย์การบ้านโครงงานใหม่ เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสได้แสดงออกทางภาษาอย่างเต็มที่ ด้วยการให้นักเรียนจัดรายการวิทยุ
ปัจจัยความสำเร็จ
๑. ครูผู้สอนมีความชัดเจนในเป้าหมายของการจัดกระบวนการเรียนรู้มากขึ้น
ครูผู้สอนได้มีส่วนร่วมในการคิดแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางที่ คุณครูใหม่ - วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ได้ร่วมคิดและร่วมสอนในลักษณะของ Lesson Study มาตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๗
ต่อมาในปีการศึกษา ๒๕๕๘ ได้มีการนำเอาแผนการเรียนรู้เดิมมาพัฒนาให้กระบวนการเรียนรู้ให้มีความร้อยเรียงและเพิ่มเติมเรื่องของการพัฒนาสมรรถนะทางภาษาให้ชัดเจน
การที่ครูผู้สอนได้สอนแผนการเรียนรู้เดิมซ้ำอีกครั้งหนึ่งในปีการศึกษาถัดมากับคู่วิชาคนเดิมนั้น ช่วยทำให้ครูได้มองเห็นจุดเน้นและวิธีคิดของแผนแต่ละครั้งได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม และแม่นยำในวิธีการที่จะนำผู้เรียนไปสู่แนวคิดหลักของแผนได้มากยิ่งขึ้น
อีกปัจจัยหนึ่งคือการพัฒนาครูไปบนกระบวนการ Lesson Study ที่ประกอบไปด้วยการคิดแผนการเรียนรู้ การสังเกตการณ์สอน และ การสะท้อนหลังสอนกับคู่วิชา ประกอบกับการกลับไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณครูใหม่ในทุกสัปดาห์พร้อมกับการวิเคราะห์ชิ้นงานที่เกิดขึ้นในแต่ละคาบเรียนนั้นได้ช่วยให้ครูเกิดการเรียนรู้จากการการตีความความรู้ร่วมกัน และเกิดการค้นพบความรู้ปฏิบัติจากผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้งมากขึ้นไปอีก
๒. การสร้างบันไดการเรียนรู้ที่มีความต่อเนื่อง
ในปีการศึกษา ๒๕๕๘ มีการออกแบบกระบวนการให้ร้อยเรียง สอดคล้อง และต่อเนื่องกันมากขึ้น ซึ่งก่อนการออกแบบการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง คุณครูใหม่จะถามถึงความต้องการของครูผู้สอนและทบทวนเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในแผนการเรียนรู้ของแต่ละภาคเรียนเสมอว่า ครูต้องการจะให้นักเรียนได้ทักษะหรือความรู้เรื่องใด จากนั้นจึงทำการประเมินร่วมกันว่าความต้องการของครูนั้นมีมากไปหรือน้อยไปหรือไม่อย่างไร และทักษะที่ผู้เรียนมีอยู่ในขณะนี้เพียงพอที่จะสร้างบันไดให้ผู้เรียนค่อยๆ ก้าวต่อไปจากความรู้ที่มีอยู่เดิมเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ไหม หากไม่พอทักษะที่ยังขาดอยู่คืออะไร และจะสร้างให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้อย่างไร ซึ่งนั่นหมายความว่าครูต้องคิดกิจกรรมการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อให้ผู้เรียนเดินทางไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยตัวเขาเองให้ได้
การออกแบบการเรียนรู้จึงมีลักษณะเป็นขั้นบันไดที่ต่อยอดการเรียนรู้เดิมออกไปเรื่อยๆ เช่น ในคาบเรียนแรกที่พบกันครูทราบอยู่แล้วว่าเมื่อครั้งที่เรียนอยู่ชั้น ๕ นักเรียนเคยเรียนเรื่องวรรณรูปมาแล้ว ครูจึงเริ่มต้นการเรียนรู้ด้วยการให้นักเรียนสร้างวรรณรูปเพื่อสะท้อนความหมายของคำว่า “คนดี” ที่อยู่ในใจของนักเรียนแต่ละออกมา ผลที่เกิดขึ้นก็คือกิจกรรมการทำวรรณรูปนี้ได้ช่วยให้ครูสามารถทำความรู้จักกับผู้เรียน และหยั่งเข้าไปถึงพื้นความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ยังทำให้บรรยากาศการเรียนรู้ในวันนั้นผ่อนคลาย เพราะผู้เรียนเกิดความมั่นใจที่ได้เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องใหม่จากพื้นความรู้เดิมที่ไปช่วยเติมความรู้ใหม่อย่างเป็นลำดับอีกด้วย
๓. การเรียนรู้งานเขียนของกันและกัน ด้วยการ “อ่านภาษา...อ่านความคิด”
ก่อนเริ่มต้นเข้าสู่เนื้อหาที่เรียน ครูจะสร้างสมาธิและภาวะพร้อมเรียนด้วยการอ่านงานเขียนของนักเรียนที่มีความน่าสนใจให้ทุกคนในห้องได้ฟัง แล้วให้ลองทายดูว่าเพื่อนกำลังคิดหรือต้องการบอกอะไรผ่านงานเขียนนั้น ซึ่งคำตอบของนักเรียนบางคนก็เป็นประโยชน์ที่นำมาต่อยอดหรือเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาที่เรียนในวันนั้นด้วย ทำให้การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเริ่มต้นจากผลงานของนักเรียน ดำเนินต่อไปโดยความคิดเห็นที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และเป็นความรู้ที่นักเรียนสร้างขึ้นมาเองอย่างแท้จริง
๔. การเพิ่มเติมทรัพยากรทางภาษาในขั้นนำเข้าทรัพยากรทางภาษาและการคลี่คลาย
การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ Open Approach ๗ ขั้นตอนในหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทย เป็นกระบวนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ซึมซับและทำความเข้าใจกับภาษา ที่เชื่อมโยงไปสู่โจทย์สถานการณ์ปลายเปิดมากขึ้น
ในปีการศึกษา ๒๕๕๘ ครูได้เพิ่มเติมคลังทางภาษาให้มากขึ้นกว่าปีการศึกษาที่ผ่านมาเพื่อนักเรียนมีประสบการณ์ในการทำความเข้าใจถ้อยคำที่มีความหมายหลายนัยมากขึ้น เช่น การนำเอาคำว่า “หาบ-หาม” มาสร้างเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความเชื่อมโยงกันในหลายบริบท โดยอาศัยการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริงเข้ามาเป็นตัวเดินเรื่อง ด้วยการนำเหตุการณ์ในวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนางคัลแรกนาขวัญที่จัดขึ้นในช่วงเวลานั้น เข้ามาเป็นโจทย์ให้นักเรียนต้องไปบันทึกความรู้แล้วนำเข้ามาอภิปรายกันในชั้นเรียน
นอกจากนี้ครูยังนำเอาเทพีหาบเงินหาบทองมาเป็นจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้แล้วเชื่อมโยงต่อไปที่คำเรียก “ลูกหาบ” จากนั้นเชื่อมโยงไปสู่การรู้จักสำนวน “รักดีหามจั่วรักชั่วหามเสา” และสำนวนที่เกี่ยวกับคำว่าหาบ และหามอื่นๆ ต่อไป
ครูพบว่าการเรียนรู้ในลักษณะนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดการพินิจพิเคราะห์ คิดใคร่ครวญ และเกิดความสนุกที่ได้ทำความเข้าใจความหมายของคำในบริบทต่างๆ ได้มากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น เกิดการเรียนรู้จากการตีความทางภาษาได้ลึกซึ้งขึ้นกว่าที่เคยเป็น
๕. สร้างความสนใจในเนื้อหาที่ต้องอ่านด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ
ก่อนเริ่มต้นการอ่านทุกครั้ง ครูจะมีคำถามหรือถ้อยคำที่กระตุ้นความอยากรู้และอยากอ่านให้กับนักเรียน เช่น การอ่านเรื่อง “คุณพระเศวตฯ กับนางเบี้ยว” ที่เป็นประพันธ์โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีการตั้งคำถามชวนคิดให้กับนักเรียนก่อนเริ่มต้นอ่าน และฝึกให้นักเรียนอ่านอย่างมีเป้าหมายทุกครั้ง รวมทั้งเรื่องที่นำมาให้อ่านก็ยังมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ต่อไปในครั้งนั้นๆ ด้วย
๖. ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะการอ่านไปพร้อมกับการคิดอย่างสม่ำเสมอ
ในปีการศึกษา ๒๕๕๗ ครูได้เริ่มปรับรูปแบบคำถามใหม่เพื่อให้นักเรียนได้คิดอย่างหลากหลายมากขึ้น ตัวอย่างของคำถามเช่น “เมื่อได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว นักเรียนเกิดความคิดอะไรขึ้นมาบ้าง” “ความรู้ใหม่ที่นักเรียนได้เรียนรู้คืออะไร” เป็นต้น เปลี่ยนจากเดิมที่ครูมีเพียงชุดคำถามปลายปิดที่เป็นคำถามเกี่ยวกับตัวเรื่อง ความรู้ ความจำ และความเข้าใจที่เกิดขึ้นเท่านั้น
๗. นักเรียนได้ฝึกการอ่านอย่างหลากหลาย
นอกจากการอ่านตัวเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในเล่มที่มีลักษณะเป็นคำประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองแล้ว ในปีการศึกษา ๒๕๕๗ ครูได้เพิ่มการรับรู้ทางภาษาเข้าไปอย่างหลากหลาย ทั้งการฟัง และการดู เช่น การใช้สื่อวีดิทัศน์ในการเรียนรู้เรื่องรามายณะนานาชาติ เพื่อให้นักเรียนเริ่มต้นรู้จักประวัติและความเป็นมาของเรื่องรามเกียรติ์ หรือการใช้ภาพจิตรกรรมฝาผนังในการอ่านเรื่องราวและคาดเดาเหตุการณ์ในภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ในการอ่านหนังสือที่เป็นงานเขียนเชิงวิชาการในหัวเรื่องที่แต่ละคนมีความสนใจอยากศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อเนื่องจากเรื่องที่ได้เรียนรู้มาในชั้นเรียน เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
๘. ฝึกการอ่านร้อยกรองที่ต้องตีความและทำความเข้าใจความหมายมากขึ้น
การอ่านร้อยกรอง ช่วยให้นักเรียนฝึกการทำความเข้าใจความหมายจากบริบท และการตีความบทประพันธ์ที่ใช้คำน้อยแต่กินความมาก เช่น การอ่านสุภาษิตสอนหญิง หรือการอ่านโคลงโลกนิติ ซึ่งผู้เรียนจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ก็ต่อเมื่อทำการตีความคำสอนในบทประพันธ์ให้ถ่องแท้เสียก่อน
๙. ย้อนทวนการเรียนรู้ที่ได้จากคาบเรียนที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมาย ก่อนเริ่มเรียนรู้เรื่องใหม่เสมอ
ครูจัดให้มีช่วงเวลาของการทบทวนงานเขียนและเปิดโอกาสให้นักเรียนเรียนรู้งานเขียนของกันและกันผ่านการอ่านงานเขียน อ่านความคิด อ่านคำตอบของนักเรียนกันเอง เพื่อย้อนทวนการเรียนรู้ รวมทั้งพานักเรียนสรุปการเรียนรู้ในคาบเรียนที่ผ่านมาแล้วจึงเชื่อมต่อไปสู่ประเด็นการเรียนรู้ใหม่ โดยนักเรียนจะนำทักษะและความรู้เดิมมาใช้ซ้ำแต่ต่อยอดการเรียนรู้มากขึ้น เช่น การตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนางานเขียนของตนให้มีเสน่ห์ตามประเด็นที่แต่ละคนเลือกเองนั้นเป็นวิธีการที่เริ่มทำขึ้นในปีการศึกษา๒๕๕๗ และยังคงทำอย่างต่อเนื่องต่อไป
๑๐. ใช้คำถามก่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ครูใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เช่น เมื่อนักเรียนอ่าน ดู ฟัง แล้วรู้สึกอย่างไร คิดว่าทำไมครูจึงอยากให้นักเรียนได้อ่านเรื่องนี้ เรื่องที่อ่านนี้เชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนรู้ก่อนหน้านี้อย่างไร เป็นต้น และในช่วงท้ายคาบเรียนก็จะมีช่วงเวลาของการ AAR และการสะท้อนคิดร่วมกันว่าในวันนี้ใครได้เรียนรู้อะไร
หากเป็นช่วงสัปดาห์ของการทำโครงงานครูก็จะมีแบบ AAR มาให้นักเรียนประเมินตนเองและตั้งเป้าหมายในการทำงานในคาบต่อไปทุกครั้งเพื่อให้นักเรียนจัดการกับงาน และมีทักษะในการบริหารจัดการ ทั้งการจัดการเนื้องาน จัดการกับเวลา จัดการกับความสัมพันธ์ ตลอดจนจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการระบุถึงเหตุของปัญหา พร้อมทั้งแนวทางและวิธีการแก้ไข ที่เมื่อไม่สำเร็จก็จะต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ หรือตั้งเป้าหมายใหม่ให้เหมาะสมกับเงื่อนไขและข้อจำกัด เพื่อให้คำถามทำหน้าที่ช่วยสร้างการเรียนรู้และนำพาสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด